ตื่นเช้า อาบน้ำ แปรงฟัน ลุงชวนมากินกาแฟ และขนมลองท้องก่อนออกเดินทาง จะไม่มีอาหารหนัก ใครที่หิวก็พกขนมไปด้วย เพราะเราจะนั่งเรือลุยยาว โดยเฉพาะช่างภาพ หรือนักท่องเที่ยวที่อยากถ่ายภาพมุมโน้นมุมนี่ บอกลุงได้ ลุงกับคนเรือจัดให้ ซึ่งทำให้เราใช้เวลานาน ผมลงเรือ 05.35 น. กว่าจะกลับก็ปาไป 10.00 น.ได้ครับ ถือว่าถูกมากกับค่าเรือ 1500 บาทเมื่อร่วมเวลา ข้อมูล จุดถ่ายภาพที่บางคนไปไม่ได้ เพราะเป็นสถานที่ ๆ ต้องขออนุญาตก่อน แต่ผมเข้าไปกับคนเรือซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลพื้นที่ห้ามล่าสัตว์อยู่แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะรู้ดีว่า อะไรควรทำไม่ควรทำ
เช้าขนาดนี้ไม่ได้มีเพียงผมที่ออกมานอกบ้าน ยังมีนักท่องเที่ยว และช่างภาพนั่งเรือออกมาหวังชื่นชมความงาม และถ่ายรูป อีกทั้งยังมีชาวบ้านเริ่มมายกยอกัน ซึ่งการยกยอบางฤดูกาลจะมีชาวบ้านออกมายกยอเยอะมาก เพราะว่าน้ำจากแม่น้ำไหลลงมาที่ปากอ่าว ปลาจะชุมกว่าปกติ แต่สำหรับวันที่ผมมาเป็นช่วงที่ชาวบ้านออกมายกยอกันบ้างไม่มากนัก
ชาว บ้านพายเรือออกมาขึ้นยอของตนเองตั้งแต่เช้าตรู่ จับปลาตัวเล็ก ๆ มาใช้ทำอาหาร ถ้าเหลือก็เอามาขาย ปลาที่ได้จากยอจะเป็นปลาตัวเล็ก ๆ เวลากินก็จะกินทั้งตัว ปลาใหญ่ ๆ จะไม่ค่อยมีติดมาเท่าไหร่
จุดแรกที่เราไปถ่ายกันก็คือ ยอยักษ์ยามเช้า อย่างที่บอกไปแล้วว่าการถ่ายภาพยอยักษ์นิยมถ่ายช่วงเช้าเพราะจะได้ภาพยอ ยักษ์กับพระอาทิตย์ และถ้าวันไหนโชคดีไม่มีเมฆ เห็นพระอาทิตย์กลมโต ก็จะเห็นชาวบ้านยกยอตักตะวัน แต่วันที่ผมไปนั้นมีเมฆอยู่ที่เส้นขอบฟ้าทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ได้ภาพที่น่าประทับใจไม่น้อย
ยอเมื่อถูกยกขึ้นมา ชาวบ้านก็จะเอาสวิ่งด้ามยาวมาตักปลาตัวเล็ก ๆ แล้วก็จุ่มยอลงไปในน้ำเหมือนเดิม
ตลอดเวลาเราจะเห็นเรือชาวบ้านวิ่งผ่านไปขึ้นยอ หรือออกไปจับปลา หรือเก็บสายบัวอยู่เรื่อย ๆ
ยอยักษ์อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ตรงปากแม่น้ำ จุดอื่นผมก็เห็นมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมีแค่ 1 – 2 ยอเท่านั้น เพราะไม่ใช่ปากอ่าวที่จะมีปลาชุกชุม เพราะฉะนั้นผมจึงใช้เวลาอยู่ที่จุดนี้นานมาก และอาจจะเป็นเพราะวันที่ผมไปนั้นมีเมฆที่เส้นขอบฟ้า ทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพ “ตักตะวัน” ได้ จึงบอกลุง และพี่คนเรือวนถ่ายอยู่แถวนั้นนานมาก
ซึ่งลุงก็ยินดี ลุงพูดย้ำอยู่หลายครั้งว่า ต้องการให้จอดตรงไหน ถ่ายตรงไหน บอกได้เลยอย่าเกรงใจ ลุงต้องการให้ภาพเหล่านี้ออกไปนำเสนอต่อชาวโลก เพื่อชักชวนคนมาเที่ยวพัทลุง (ทำเป็นเล่นไป ลุงเรียนจบปริญญาาโท สาขาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนะครับเนี้ย ได้รับเชิญไปบรรยายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ) ซึ่งแน่นอน ผมใช้สิทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ และใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานมาก ๆ เพราะรอให้พระอาทิตย์โผล่ขึ้นพ้นก้อนเมฆ
ยอยักษ์มีจำนวนหลายสิบยอ ผมดูด้วยตาคร่าว ๆ น่าจะไม่ต่ำกว่า 50
ยอยักษ์ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ลุงเล่าให้ฟังว่า ไม้ยอนี่ต้องมีการเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ สมัยก่อนชาวบ้านเข้าป่าไปตัดไม้มาทำตัวยอ แต่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ เป็นป่าสงวน ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อไม้มาทำยอ ยอก็มีอายุอยู่ ผ่านไปนานเท่าไหร่ผมจำลุงเล่าไม่ได้แล้ว ซึ่งไม่นานมากนักก็ต้องเปลี่ยนไม้กันใหม่ มันจะพุพัง
บางฤดูกาลเราจะเห็นจำนวนยอเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นฤดูกาลที่มีปลาเยอะ น้ำไหลลงที่ปากแม่น้ำนั้นแหละ ชาวบ้านก็จะมาสร้างยอกัน บางจุดที่ผมผ่านก็ยังเห็นซากยอไม่มีตัวยอ มีแต่นั่งร้านเฉย ๆ
เราจะเห็นนั่งร้านอยู่ติดกัน และยอยักษ์อยู่คนละฟากแบบนี้เสมอ
การยกยอยักษ์จะต้องปีนขึ้นไปที่ปลายด้านหนึ่งเพื่อใช้น้ำหนักตัวดึงตัวยอ ขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติเราจะเห็นยอเล็ก ๆ ที่เวลายกขึ้นมาก็ไม่ต้องใช้คนปีนขึ้นไปแบบนี้
ลุงพยายามผูกมิตรกับชาวบ้าน ลุงจะชวนคนนั้นคนนี้คุยด้วยตลอด เพื่อให้ผมสามารถเข้าไปถ่ายภาพได้ เพราะผมเชื่อว่าชาวบ้านบางคน พื้นฐานแล้วอาจจะไม่อยากโดนถ่ายรูปก็ได้ ซึ่งลุงรู้ดี
ลุงเล่าให้ฟังว่า ลุงมาเปิดโฮมสเตย์ ข้าว ผัก ปลา ชาวบ้านเหลือก็เอามาขายลุง ลุงก็เอามาทำให้นักท่องเที่ยวทาน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ ลุงพยายามชวนคุยเพื่อผูกมิตร ให้ชาวบ้านรู้สึกดี และเข้าใจถึงประโยชน์ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่
ผมลองถามพี่คนเรือว่า เราเข้าไปใกล้มากได้หรือเปล่า จะเป็นการรบกวนการหาปลาของชาวบ้านหรือเปล่า พี่คนเรือเอ่ยแทนลุงว่า เราเข้าไปใกล้มาก ๆ ไม่ได้ ซึ่งผมก็ยินดีที่จะไม่ไปรบกวนวิถีของชาวบ้านมากเกินไป
ซากนั่งร้านที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า เฝ้ารอวันน้ำดี ปลาชุม มันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ความอดทนของผมเป็นผล เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มเป็นลำ ผมรู้อยู่แล้วว่าเมื่อพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นก้อนเมฆแบบนี้ เราจะได้แสงเทพ เวลานั้นมาถึงก็สวยงามจับใจ บอกพี่คนเรือขยับนิด ไปทางนั้นอีกหน่อย พอแล้วพี่ ขอนิ่ง ๆ แล้วก็ได้ภาพด้านล่างมา
ลำ แสงพุ่งทะยานผ่านปอยเมฆเป็นลำเปล่งสีทองสะท้อนกับผิวน้ำ รู้สึกมีความสุข อยากให้ในนามีข่าวรวงทอง ในน้ำก็มีปลาชุม คือจะเกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ละ แต่ผมรู้สึกว่า ไทยคือแผ่นดินเกิดของเรา เป็นแผ่นดินทอง ให้ที่อาศัย เป็นแหล่งอาหาร ทำมาหากินให้เรา
แสงออกแล้ว จริง ๆ มันก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อได้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ภาพ “ตักตะวัน” ก็ตาม จะรอให้พระอาทิตย์เป็นลูกโต ๆ คงยาก เพราะเมฆอยู่สูง ผมจึงหันไปบอกลุง และพี่คนเรือว่า “ป่ะ เราไปกันต่อเถอะครับ” ลุงพยักหน้า พี่คนเรือขานรับ สตาร์ทเครื่องเรือเพื่อเร่งมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไป
นั้นคือ แนวกันน้ำที่ทำจากต้นลำพู ซึ่งเป็นภาพที่หลายคนนิยมมาถ่ายเช่นกัน เมื่อยืนจากฝั่ง เราจะเห็นเหมือนต้นลำพูอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเล ซึ่งเราจะถ่ายกันเฉพาะแสงเช้าเท่านั้น
พี่คนเรือพามาถึงที่ก็ดับเครื่องเช่นเคย และใช้ไม้พาย พายเรือแทน เพื่อไม่ให้เสียงดัง เปลืองน้ำมัน และทำให้เข้าถึงจุดที่ผมต้องการได้ง่าย
ลุง และพี่คนเรือ ณ ต้นลำพู ซึ่งพี่คนเรือจะมีทั้งไม้พาย และไม้ยาว เพราะพื้นที่น้ำแถวนี้ไม่ลึก ใช้ไม้ยาวช่วยค้ำเรือให้นิ่ง หยุดกระทันหันได้เมื่อผมขอให้พี่เขาหยุด
ต้น ลำพูกับเมฆลักษณะนี้ ผมว่าดูสวยงามเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้ลำแสงเทพด้วย ยิ่งสวยงามเข้าไปอีก ใครว่ามีเมฆแล้วถ่ายภาพไม่สวย ผมว่าไม่แน่เสมอไป
ผมถามถึงต้นลำพูคู่ว่ามีไหม ลุงหันไปถามพี่คนเรือ พี่เขาบอกว่าก็มีนะ แต่ไม่ค่อยเห็นใครไปถ่ายรูปกันเท่าไหร่ ผมบอกว่า ผมอยากถ่าย ซึ่งแน่นอน พี่คนเรือไม่เกี่ยงงอน จัดให้ตามคำขอ
เดิมที ภาพนี้จะอยู่ใกล้ต้นมากไปนิด เพราะฝั่งอยู่ใกล้ต้นมาก ผมขอพี่คนเรือว่าให้เลาะเข้าใกล้ฝั่งเลย ถึงได้กอต้นกก หรือต้นอะไรผมก็ไม่ทราบ มาเป็นฉากหน้าไปด้วย เสียดาย ดวงอาทิตย์ตรงกลางระหว่างต้น เป็นภาพที่ผมถ่ายมาแล้วเสีย
ต้น ลำพูมีหลายต้นในพื้นที่แถบนี้ ใครไม่ต้องการนั่งเรือมาถ่าย ก็สามารถใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสเยอะ ๆ หน่อยมายืนถ่ายแถวหลังโรงเรียนบางปากประน่าจะได้ เพราะผมเคยเห็นช่างภาพบางท่านเล่าว่าถ่ายจากที่นั้น
ถึงเวลาเดินทางต่อ ตะวันเริ่มขึ้นสูงมาก แดดก็เริ่มร้อน เหลือมุมถ่ายนก บึงบัว และป่าพุ ผมคิดในใจว่า น่าจะไม่ได้ภาพที่น่าสนใจเท่ากับไฮไลท์ยอยักษ์ และต้นลำพูอีกแล้ว ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ถูก แต่ผมรู้ตัวดีว่าการถ่ายนก จะต้องใช้เลนท์ทางยาวโฟกัสที่ยาวมาก ตัวผมเองมีแค่ไกลสุด 200 mm. จะทำให้ได้ภาพนกใกล้ ๆ ไม่ได้ นกก็จะบินหนีไปเสียก่อนซะส่วนใหญ่ ส่วนบึงบัวผมไม่คาดหวังอะไรนัก สำหรับป่าพุ ผมยิ่งไม่ได้คาดหวังมากกว่าทุกจุด
ตะวันขึ้นสูง เรามุ่งหน้าเดินทางต่อ
จุดหมายต่อไปคือจุดดูนกที่น่าสนใจ และมีภูมิประเทศที่ดูแตกต่าง “ท่งแหลมดิน” ลุงเล่าให้ฟังว่า ฝรั่งที่มาด้วยถึงกับอุทานว่า Amazing Unseen ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่ามันค่อนข้างแปลกตา และดูสวย แต่ผมถ่ายออกมาไม่ได้เรื่องเลย
ลักษณะของมันคือ เป็นพื้นดินที่โดนน้ำกัดเซาะ ถึงน้ำจะไม่ลึก แต่ก็ทำให้ดินที่ถูกกัดเซาะชัดเจน และรอยกัดเซาะบางจุดทำให้เหมือนแผ่นดินเล็ก ๆ เหล่านั้นลอยเหนือน้ำเป็นจุด ๆ เหมือนแผ่นน้ำแข็งในขั้วโลก ต่างกันที่นี่คือดิน บนผิวดินเป็นหญ้าเขียว ดูสวยงาม
แถมที่นี่ยังเป็นแหล่งอาหารของนกที่อพยพมาจาไซบีเรีย หนีหนาวมาเพื่อวางไข่ ฟักลูกแล้วก็จะบินกลับ ทำให้ที่นี่มีนกหลากหลายสายพันธุ์ สำหรับคนชอบส่องนก ที่นี่คือสวรรค์ แต่ว่าเมื่อพ้นช่วงเดือนนี้ เดือนหน้าไป นกก็เริ่มน้อยลงแล้วนะครับ
ลักษณะ ของแผ่นดินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเหมือนเป็นแผ่นหลุดออกมาจากแผ่นดินใหญ่แบบนี้ มีให้เห็นมากมาย ดูสวยงามแปลกตา สามารถขึ้นไปยืนด้านบนได้
เจอ แผ่นดินใหญ่พอประมาณ ลุงขอให้ขึ้นไปถ่ายรูปคู่กับลุงหน่อย แต่ภาพนั้นผมโพสต์ไม่ค่อยสวย เลยเอาออกไป รูปนี้ดูดีกว่าสำหรับลุง และพี่คนเรือ
วิ่งมาเจอเป็นแผ่นดินค่อนข้างใหญ่ เห็นนกจำนวนมาก ลุงบอกให้พี่คนเรือจอด และบอกให้ผมขึ้นไปถ่ายรูปนก เพราะลุงรู้ว่าเลนส์ผมอาจจะไม่อำนวยถ้าถ่ายจากบนเรือ ลุงก็เป็นคนถ่ายภาพ ทำให้มีความรู้เรื่องกล้องอยู่ ผมขึ้นไปแล้วก็ถ่ายภาพนกซึ่งแน่นอนครับ แทบไม่ได้เลย จะเอาจริง ๆ อาจจะต้องหมอบเข้าไป เพราะตรงนี้มันทุ่งโล่ง นกมันก็เห็นเราเดินมา หนีหมดครับ
ถ่ายนกไม่ได้ หันไปถ่ายลุงแก้เขิน ซึ่งลุงจะโพสต์ท่าให้กล้องตลอดที่ผมเล็งกล้องไปหา 555
จะว่าไป ผมลืมอีกหนึ่งไฮไลท์ที่มาทะเลน้อยแล้วไม่พูดถึงไม่ได้ นั้นคือเจ้าควายน้ำ ควายเผือก ซึ่งผมเจอไม่เยอะนัก แต่จริง ๆ มันมีเยอะนะครับ ช่วงเวลาที่ผมไปอาจจะไม่ตรงกับจุดที่ฝูงควายอยู่พอดี จึงได้ภาพมาไม่มาก
บริเวณนี้เริ่มเห็นพืชน้ำที่เป็นวัชพืชขึ้นเยอะเป็นกอ ๆ อยู่กางน้ำ จะว่าไปก็สวยดี ควายน้ำจะดำผุดดำว่ายแถวนี้เยอะ ผมคุยกับลุงว่า ควายตัวค่อนข้างใหญ่ มันอ้วนหรือไม่ ลุงบอกมันก็ไม่อ้วนนะ แต่ผมเห็นมันกินทั้งวัน แปลกใจทำไมมันไม่อ้วน หรือว่าเพราะมันใช้แรงค่อนข้างเยอะในการดำผุดดำว่ายก็เป็นไปได้
ควายน้ำผมมักจะเห็นอยู่กันเป็นฝูง มีบ้างบางตัวที่เดินหลุดฝูงเพราะตามฝูงไม่ทัน
ลุงบอกว่า ควายค่อนข้างคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว บางทีหันมาเล่นกล้องด้วย แต่ผมพบว่า เรือเข้าไปใกล้ ๆ มันก็หนีนะ พี่คนเรือเหมือนรู้ใจ ดับเครื่องแล้วพายเข้าไปแทน จึงได้ภาพควายหันหน้ามา ไม่อย่างนั้นผมจะได้แต่ภาพแบบด้านล่าง เพราะควายพากันหันหลังหนีเรือหมด
ฝูงควายที่พยายามหนีเรือที่ยังติดเครื่องอยู่
บางตัวก็ดูเหมือนไม่แคร์ฝูงเท่าไหร่นัก ค่อย ๆ ว่ายสโลว์ไลฟ์ไปเรื่อย ๆ ก็ในเมื่ออาหารที่นี่อุดมสมบูรณ์ ก็ไม่รู้จะรีบไปทำไม
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควายน้ำเขาเลี้ยงไว้ทำไม จะเอาไปไถ่นาหรือเปล่าก็ลืมถามลุง รู้แต่ว่ามันเป็นหนึ่งในดาราของที่ทะเลน้อย เห็นแบบนี้ก็จะมีคอกของมันอยู่นะครับ ถึงเวลามันก็จะกลับเข้าคอกกัน เช้า ๆ ชาวบ้านก็มาเปิดคอกให้มันออกมาหากิน
จากนี้เราจะเริ่มมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าที่ไหน แต่เริ่มเห็นบัว เพียงแต่มันไม่ใช่จุดชมบัว เพราะเป็นเหมือนลำธารไม่กว้างนัก มีทั้งบัวขาว และบัวแดง บัวขาวลุงบอกจะมีกลิ่นหอมมาก
ก่อน ถึงบึงบัว จะเจอลำธารลักษณะนี้อีกหลายตลอด มีทั้งบัวแบบนี้ และเป็นดอกบัวคนละสายพันธุ์ และยังมีป่าพุ ดงผักกระเฉดก็มี จัดว่าเป็นภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ๆ ระหว่างนี้ก็จะเจอนกตลอดทางครับ
ระหว่างผ่านทางเห็นชาวบ้านสองลุงป้ากำลังเก็บสายบัวไปขาย ลุงก็ทักด้วยสำเนียงใต้อีกเช่นเคย และติดต่อขอซื้อสายบัว บอกว่าจะเอาไปทำให้ผมกินเป็นมื้อกลางวัน ไอ้เราก็ไม่เคยกินเสียด้วย แต่ไม่ได้ เรามาที่ถิ่นไหน อาหารการกินควรจะลิ้มรสของถิ่นนั้นด้วย
ลุงป้าหาสายบัวไปขาย
ลุงสนั่นซื้อมาประมาณ 4 มัด เกือบจะเหมาะลุงป้า ลุงป้ายิ้มแก้มปริ ทั้ง 4 มัดราคาต่ำกว่า 50 บาท
ดอกบัวแถวนี้จะเป็นสีแดงเสียมากกว่า เหมือนกับที่บึงใหญ่ แต่บางจุดก็จะมีแต่ดอกบัวสีขาวที่มีกลิ่นหอม ซึ่งลุงบอกมีสรรพคุณรักษาโรคด้วย
บัวแดงอยู่ทั่วไปในลำธารบางช่วงระหว่างทางไปบึงบัวใหญ่ที่ยังอยู่อีกไกลพอสมควร
นกแปลก ๆ หลายพันู์ยืนเรียงราย แต่น้อยนักที่จะยืนให้ผมถ่าย เพราะช่วงนี้พี่คนเรือจะใช้เครื่องยนต์แทนการพาย
เจ้าตัวนี้ผมเห็นพยายามจะไปยืนบนหลังควายอยู่พักใหญ่ละ
เฮ้ย วงแตก ตำรวจมา อ้าวไม่ใช่ มันกลัวเสียงเรือต่างหาก ต้องขอโทษด้วยที่เข้าไปรบกวน
ตัวเล็กไปแล้ว ตัวใหญ่ตัวเดียวก็ไม่อยู่ครับ
ไม่ รู้ว่าพันธุ์อะไร แต่นกพันธุ์นี้จะใจแข็ง มักจะไม่ค่อยบินหนี (ส่วนใหญ่ก็หนีนั้นแหละ แต่ยังมีบ้างที่ไม่หนี) ผมเห็นบางตัวยืนตัวแข็งทื่อ แบบว่ามันคงเห็นเหยื่อของตัวเองอยู่แถวนั้น
บางตัวก็ทำเนียน นิ่งแอบในพุ่มไม้ แต่ผมเดาว่า มันไม่หนีเพราะน่าจะมีไข่ของมันอยู่ตรงนั้น คงจะหวงไข่ของมัน
ถ้าอยู่สูงสักหน่อย ก็ไม่กลัวเท่าไหร่ ยืนให้ถ่ายพอได้อยู่
บอกตามตรงว่าภาพนกผมแทบไม่หวัง และน่าจะแทบไม่ได้ภาพเลยถ้าไม่ได้มากับพี่คนเรือท่านนี้ พี่คนเรือท่านนี้เหมือนจะเป็นคนสนิท หรือเป็นญาติของลุงสนั่นเอง พี่เขาไม่รีบร้อน และลุงก็บอกพี่เขาอยู่เรื่อย ๆ ว่า ต้องให้เขาได้ภาพออกไปเผยแพร่
พี่คนเรือจะคอยสังเกตุผม ถ้าเห็นผมยกกล้อง พี่เขามักจะเบาเครื่องให้เงียบลง หรือถ้าเห็นผมตั้งใจเล็งอะไรแต่ไกลบางทีพี่เขาจะดับเครื่อง ใช้พายแทน หรือถ้าพี่เขาไม่รู้ เราก็สามารถเอ่ยปากบอกพี่ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ พี่เขายินดีมาก
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเช่าเรื่อจากคิวเรือเอง จะได้แบบนี้ไหม ลุงบอกว่าไม่ได้หรอก และก็จะไม่ได้ไปทั่วแบบนี้ด้วย ผมเสียแพงกว่าเล็กน้อย (1500 บาท) แต่ไปได้หลายที่ ออกตั้งแต่ 05.30 กลับก็ตอน 10.00 น. ส่วนตัวผมถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ กับความเอาใจใส่ของพี่คนเรือในระดับนี้
ป่าพุ หนึ่งในสอง ป่าพุ ที่เราจะผ่าน วิวจะเป็นลักษณะนี้ทั้งหมด
เราเข้ามาถึงป่าพุ ซึ่งให้ความรู้สึกร่มเย็น แต่ผมไม่ได้ภาพมากนัก บอกตรง ๆ ว่าไอเดียผมตอนนั้นค่อนข้างตัน ถ้าย้อนกลับไปได้ ก็อยากไปถ่ายใกล้ ๆ โค่นต้น น่าจะได้มุมที่น่าสนใจ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก
หลังจากอยู่ในป่าพุพักใหญ่เราก็เริ่มออกมาที่ท่องน้ำกว้างอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้จะใกล้บึงบัวแดงแล้ว
เราจะเห็นเครื่องมือหาปลาของชาวบ้าน เราเรียกว่า “ไส” ไว้ดักจับปลาอยู่แถวนี้เยอะมาก
ท้องน้ำกว้างใหญ่กลับมาให้เห็นอีกครั้ง น้ำค่อนข้างนิ่ง คลื่นที่เห็นมาจากเรือของเราเอง
เราจะเริ่มเห็นชาวบ้านมาทอดแห หรือมาดูปลาในไสบริเวณนี้หลายลำ น้ำในบึงนิ่งมาก ภาพสะท้อนสวย ๆ ถ้ามีก้อนเมฆงาม ๆ เราหันหลังให้พระอาทิตย์พอดี ทำให้ฟ้าดูเป็นสีฟ้าสดใส รู้สึกสบาย แม้ว่าจะเป็นช่วงสาย ๆ แดดเริ่มแรงขึ้นมากแล้วก็ตาม
ชาวบ้านมาทอดแห่ แน่นอนลุงสนั่นทักคุยกันไปมาระหว่างผ่านกันเช่นเคย
ไสดักจับปลาอยู่ในบริเวณนี้เยอะมาก
ชาวบ้านมาตรวจไสของตนเอง ผมแปลกใจว่าเขาจำได้ไหมว่าไสไหนของใคร
และแล้วเราก็ถึงบึงบัวขนาดใหญ่ สวยงาม แต่ผมไม่รู้สึกอะไรมากนก ถ่ายเก็บมาไม่กี่ภาพเท่านั้น หลังจากนั้นก็วงเข้าคลองเล็ก ๆ กลับถึงท่าเรือและเข้าที่พัก พักผ่อนยาว เพราะวันนี้จะเดินทางกลับแล้ว ก่อนกลับผมจะแวะไปถ่ายรูปที่ถนนเอกชัย หรือถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาอีกทีก่อนกลับ
บึงบัวแอ่งใหญ่ เราจะเห็นเรือนั่งท่องเที่ยวบริเวณนี้อีกครั้ง
ผมกลับเข้าบ้านลุงสนั่น เช็ครูปคร่าว ๆ ่วาใช้งานได้บ้างไหม ถ้าไม่ได้อาจจะต้องอยู่ต่อ แต่สรุปแล้วคือใช้ได้ ก็เลยเดินไปคุยกับลุงสนั่นว่าจะกลับวันนี้
ลุงสนั่นเสนอให้อยู่ต่อก่อน เพราะเดินทางกลับกลางคืนอันตราย ลุงบอกว่าจะไม่คิดเงิน เพราะผมช่วยลุงเรื่อง Facebook Page และการกำหนดจุดสถานที่ตั้งโฮมสเตย์ไว้ใน Google Map (ตอนนี้อยู่ระหว่างยืนยันสถานที่จริง ซึ่ง Google จะส่งไปรษณีย์บัตรมาให้ลุง เพื่อตรวจสอบว่าตำแหน่งนี้ ลุงดูแลอยู่จริง ๆ)
แต่ผมเกรงใจ และใจคิดจะกลับแล้ว ทานข้าวเสร็จ สายบัวผัดพริกไทยดำ และกับข้าวอื่น ๆ ของลุงอร่อยมาก ๆ
สักพักผมก็นอนเอาแรง 2 ชั่วโมง ตื่นอีกครั้ง 5 โมงเย็น อาบน้ำอาบท่า เก็บของ ลาลุงสนั่น ออกไปที่ถนนเอกชัย ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่คนแถวนี้เรียกกัน เป็นถนนลอยตัวเหนือพื้นที่ชุมน้ำเป็นทางไกล ที่นี่มีบ้านคู่ร้าง ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพที่เห็นได้บ่อย ๆ
บ้านคู่ร้าง ไม่รู้ว่าเคยเป็นของใคร และใช้ทำอะไร แต่ใครมาที่นี่ก็ต้องมาถ่ายรูปเจ้านี้เสมอ
สภาพภูมิประเทศชุมน้ำในฤดูนี้ น้ำน่าจะน้อยลงไปซักหน่อย
พระอาทิตย์จะตกแล้ว
ถนนเอกชัยถูกเคลือบสีด้วยแสงอาทิตย์อัสดง
พระอาทิตย์ตกเหมือนไม่เป็นใจนัก
แสงสุดท้ายก่อนจากพัทลุง
18.30 น.โดยประมาณ ผมเริ่มเดินทางกลับ เป้าหมายคือกรุงเทพ เป็นการขี่กลับที่ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงบ้านก็ปาไป 10.20 น. เห็นจะได้ ผมง่วงทำให้ต้องหยุดพักตามปั้มน้ำมันบ่อย และนาน แต่ก็ดีกว่าไปหลับในแล้วลงไปกลิ้งข้างทาง อุตส่าห์ได้ภาพที่น่าสนใจ จะไม่กลับบ้านมาทำรูปก่อนตาย คงตายตาไม่หลับ