คนหลงทาง #5 : หัวใจสร้างศรัทธา วันเวลาสร้างประเพณี ที่นี่...ภูเก็ต วิถีชีวิต เลื้อดเนื้อ และความเชื่อ

‘ภู เ ก็ ต’ เรียกได้ว่า เป็นจังหวัด ที่เป็นสวรรค์ของคนรักท้องทะเล หากคุณเคยชินกับการไปภูเก็ตแล้วต้องไปทะเลๆๆๆ ผมเองก็เป็นคนนึงที่ผ่านมา เวลาที่ออกเดินทางก็มักจะเลือกเข้าหาธรรมชาติไว้ก่อน ไปที่ใดสักที่ ที่คิดว่าร่างกายจะได้อิ่มใจ และไปชาร์ตแบตให้ตัวเอง ก็ยังไม่เคยลองออกเดินทางไปสัมผัสถึงวิถีชีวิต และความเชื่อตามประเพณีแบบถึงพริกถึงขิงกันดูสักที

 

การเดินทางไปภูเก็ตของผมในครั้งนี้ เรียกว่าลืมทะเล แล้วเทไว้ข้างหลัง เพราะผมตั้งใจมาสัมผัสวิถีชีวิต และความเชื่อ ของชาวภูเก็ต ภายใต้ความศรัทธาที่มีต่อเทศกาลถือศีลกินเจ หรือที่ชาวภูเก็ตเรียกว่า ถือศีลกินผัก กันอย่างจริงๆจังๆกันดูสักที เห็นภาพผ่านสื่อมาก็ตั้งมากมาย ก็เกิดข้อสงสัยหลายอย่างจนทำให้อยากพาตัวมาอยู่ในประเพณีนี้ เสียงประทัดนับแสนนับล้านนัด ที่ดังสนั่นท่ามกลางเมืองภูเก็ต ควันคละคลุ้งปกคลุมทั่วเมือง กับเหล่าม้าทรงที่ทิ่มแทงของมีคมต่างๆเข้าตามร่างกาย เปลี่ยนภาพเมืองภูเก็ตที่เคยติดตา เป็นภาพใหม่ในหัวที่คุณจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน

 

และแล้วการเดินทางของ คนหลงทาง จึงเริ่มต้นขึ้น…

 

 

การเดินทางของผมในครั้งนี้ เริ่มต้นในตอนเที่ยงๆ ของวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา จองตั๋วเครื่องบินไว้ได้ไฟลท์ตอนบ่ายโมงครึ่ง ลางานครึ่งวันบ่ายครับ ช่วงเช้าก็ก้มหน้าก้มตาทำงานเข้าบริษัทกันไปก่อน อีกไม่กี่ชั่วโมงผมจะมีความสุขอย่างออกนอกหน้าและไปวิ่งร่าอยู่ที่ภูเก็ตแล้วววว 

 

รอบนี้โชคดีมากที่ได้เป็นตั๋วโปรโมชั่น ไปกลับ กทม.-ภูเก็ต คนละประมาณ 1600บาท เท่านั้น เป็นของพี่สิงโตนะครับ มือไวใจเร็วจองได้ทัน 555+ ส่วนที่พักก็จองล่วงหน้าไว้ 2 เดือนเห็นจะได้ครับ เพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาล ต้องจองล่วงหน้าอย่างหนักหน่วง นั่นแปลว่าผมแพลนไว้พอสมควรแล้วครับ ว่าปีนี้ตั้งใจจะมามากๆ ไม่ใช่ปุบปับก็มาแบบงงๆ นี่ขนาดที่พักจองล่วงหน้าตั้ง 2 เดือน ตอนโทรไปนี่ เหลืออยู่ห้องสุดท้ายพอดี! ถ้าผมคิดช้ากว่านี้ สงสัยจะไม่มีที่นอนเป็นแน่ เนื่องจากโรงแรมที่ผมเลือกนั้น คืออยู่ในตัวเมืองเก่าชิโนโปรตุกีสเลยครับ แล้วขบวนแห่ของอ๊ามต่างๆ ก็ผ่านถนนเส้นนี้เลย คือไม่ต้องไปไหนไกลให้ชีวิตมันวุ่นวาย เดินทางสะดวกมากๆ แล้วราคาหลักร้อย ก็ตกลงปลงใจหลงรักที่นี่เลยทันที แต่จะเป็นที่ไหนนั้น ผมจะเล่าให้ฟังต่อไป…

 

เรามาเริ่มต้น เก็บกระเป๋า แบกกล้อง แล้วเตรียมใจให้พร้อม กับการไปลุยประเพณีที่มีความสวยงาม ซ่อนอยู่ภายใต้เลือดเนื้อ และความเจ็บปวด ที่มีเสน่ห์ และสอดคล้องกับความเชื่อความศรัทธาของผู้คนที่นี่ และดึงดูดให้ช่างภาพทั่วทุกสารทิศ ใฝ่ฝันอยากจะมาให้เห็นกับตา ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่าง #เทศกาลถือศีลกินผัก ของชาวภูเก็ตกันเลยครับ

 

ผมใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ในการบินจากดอนเมืองมาลงยังสถานีที่ภูเก็ต แต่ไฟลท์มีการดีเลย์บ้างนะครับ คือแบบทัวร์จีนมาเยอะ ซึ่งช่วงเวลา 1.30 ชม. ที่เดินทางมานั้น หืมมมม ชีวิตผมไม่เคยอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายอะไรแบบนี้มาก่อน นั่งท่ามกลางทัวร์จีน คือฉ้งเฉ้งๆๆๆๆๆ อาม่า อากง อาตี๋ อาหมวย ทั้งหลาย พี่พร้อมใจกันตะโกนคุยกันมาก แล้วครับแล้ว…พีคกว่านั้น ไอ้ตี๋น้อยวัยประมาณ 5 ขวบที่นั่งเบาะหลังผม คือมันเล่น โหวกเหวก ตีเบาะที่ผมนั่งปังๆๆๆ อาม่าที่นั่งก็ไม่จับไม่คุมหลานตัวเองเลย ปล่อยให้มันทำอยู่นั่น คือเหมือนจะมาบ่นให้ฟังนะครับ แต่แม่มไม่ไหวจริงๆ ขอบ่นสักหน่อย 5555+ 

 

จะมีที่เป็น Airport bus และ รถตู้นะครับ ด้วยความที่ลองไปสอบถามดูแล้ว เหมือนว่า Airport นั้น ค่อนข้างที่จะต้องรอนาน กว่ารอบต่อไปจะมา แต่มันสะดวกตรงที่ว่า นั่งไปลงถึงในย่านชิโนโปรตุกีสได้เลย ส่วนรถตู้ก็ไปถึงแค่บิ๊กซีเท่านั้นครับ แล้วต่อรถสองแถวไปอีกหน่อย ซึ่งก็สามารถขึ้นได้เลยไม่ต้องรอนาน 

ผมจึงตัดสินใจขึ้นรถตู้ไปลงที่บิ๊กซี แล้วต่อสองแถวเอาก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา แล้วบรรยากาศก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเต็มที งั้นไปเลยแล้วกันค่าบริการก็อยู่ที่ คนละ 100บาท ครับ แต่ถ้าไปไกลกว่านั้นก็จะราคาเพิ่มขึ้นตามระยะทาง

 

เมื่อถึงบิ๊กซีแล้ว แหมชุ่มฉ่ำเลยครับถนนหนทาง ฝนตกตลอดทาง นั่งรถตู้มาเข้าถึงตรงนี้ก็ 30 นาทีกว่าๆเห็นจะได้ครับ แต่โชคดีที่ฝนตกตอนนั่งอยู่ในรถ พอลงจากรถก็หยุดพอดี 

 

ก็ขอแวะเข้าไปหาข้าวปลาอาหารกินให้้เป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อย เพราะพอพักเที่ยงปุ๊บ! ก็รีบโดดขึ้นแท็กซี่มาดอนเมืองเลย เครื่องต้องออกตอนบ่ายโมงครึ่ง เลยไม่ทันได้กินอะไร ผอมโซทีเดียวเชียว ห่วงเที่ยวมากกว่าห่วงกิน 5555+

 

ก็มาฝากท้องกันที่นี่ ลองสั่งข้าวราดแกงแบบเจๆมากินกันดูสักหน่อย จะได้เริ่มอินกับเทศกาลดูบ้าง

 

อิ่มแล้วก็มารอขึ้นกันเลยครับ รถสองแถวจะพาไปส่งถนนแถวๆชิโนโปรตุกีสนะครับ เพราะที่พักผมอยู่แถวนั้น ค่ารถก็คนละ 15 บาทเองครับ ไปกันเลยๆๆ

 

 

ตอนรถออกมีกันแค่นี้จริงๆครับ ขึ้นกันไป 3-4 คนเท่านั้น ส่วนพี่ผู้หญิงจะเป็นคนเก็บเงินนะครับ ตอนแรกก็สงสัย ว่าคนน้อยๆนี่ออกแล้วหรอ แต่ออกเลยจริงๆครับ รอบออกทุกๆ 10 นาที แล้วก็ไปแวะรับลูกค้าที่โบกเรียกตามทาง ก็จะมีขึ้นเพิ่มมาเรื่อยๆระหว่างทาง

 

 

นี่ล่ะครับ และแล้ว...รถสองแถว ก็พาผมมาส่งลงตรงแยกมนตรี-พังงา แล้วบอกว่าให้เดินต่อไปหน่อย ถึงจะถึงถนนเยาวราชตัดกับดีบุก ซึ่งโรงแรมที่ผมจองไว้อยู่ตรงถนนเส้นนั้น ผมก็ด้วยความไม่รู้ครับ ลงไปแบบงงๆ คิดไปว่าคงเดินใกล้ๆละมั้งงงง พี่แกถึงบอกให้เดินต่อไปหน่อย

 

ก็เลยกะว่าไม่เป็นไรครับ เดินชมบรรยากาศไป ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆก็ได้ เดินไปได้นิดเดียวก็เจอ #ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข หรือปัจจุบันกลายเป็น #พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ต ไปแล้ว แต่พอดีผมมาถึงก็ทุ่มนึงไปแล้ว ก็ปิดทำการละครับ ได้แต่ชื่นชมอยู่ข้างหน้า ว่าแล้วก็เดินๆๆ ค่อยๆเดินไปกันเลยครับ

 

 

ระหว่างที่จะค่อยๆเดินไปเรื่อยๆไปหาที่โรงแรมนั้น ก็เดินเปิด Google map ไป แล้วก็โทรไปถามทางจากโรงแรม ก็ได้ความมาว่า ถ้าลงรถตรงนั้น ต้องเดินมาประมาณ 20 นาทีนะคะ...เอาแล้วไงครับ ออกกำลังกายยามค่ำ พร้อมกับกระเป๋าสะพายใบใหญ่ และกระเป๋ากล้องโคตรหนัก ขาตั้งกล้องอีก กล้ามเนื้อไม่ขึ้นให้มันรู้ไปครับ 55555+

 

เดินๆไป ก็มีพี่ๆที่เป็นเจ้าหน้าที่เทศบาลขนพวกขยะตรงถนนเส้นนั้นพอดี ก็เดินมาถามเลยครับ คงดูรู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว กลัวเราจะหลง งงทาง หาที่พักไม่เจอ หลงทาง หรือเดินกำลังหาที่พักอยู่มั้ย พี่ๆก็คุยให้การต้อนรับกันน่ารักมาก แถมบอกว่านั่งติดรถตรงเบาะหน้าไปลงแถวๆโรงแรมก็ได้นะ พวกพี่แกจะเดินตามรถเอา คือจะเสียสละให้ผมนั่งไปแทน 

 

โหววว..คนภูเก็ต มีน้ำใจและน่ารักมากครับ คนไทยมีน้ำใจให้กันทุกที่เสมอ

 

ผมก็สัมภาระเยอะก็เกรงใจ พอดีมองๆไป ข้างหน้าก็เป็นตึกเก่าๆ มีไฟมีแสงสี ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆก็ได้ ถ่ายรูปเล่นไประหว่างทาง ก็เลยขอบคุณพี่ๆเค้าไป ประทับใจมากจริงๆ ฝากขอบคุณพี่ๆทุกคนไว้ตรงนี้อีกทีนะครับ

 

เดินไปๆ เก็บภาพกันไปเรื่อยๆครับ เริ่มเข้าสู่ย่านชิโนโปรตุกีสกันแล้ว ตึกสวยๆเยอะมาก ต่อให้เป็นร้านค้าสมัยใหม่ยังไง ก็จะสร้างอยู่ภายใต้ตึกเก่าๆเหล่านี้ ย่านนี้มีเสน่ห์ที่น่าหลงไหลมากๆ

 

 

บรรยากาศย่านตึกเก่าชิโนโปรตุกีสในยามค่ำคืน ถึงแม้ร้านค้าต่างๆ จะพากันปิดหมดแล้ว แต่ก็ได้อารมณ์ที่สวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันกันเลย

 

ถึงแล้วววว เดินมาได้สักพัก แวะเล่นข้างทางอีก แต่ก็เหงื่อแอบชุ่มๆเหมือนกัน

โรงแรมที่ผมจองไว้จะเป็นที่ Chino Town Gallery Guesthouse นะครับ อยู่ตรงแยกเยาวราชตัดกับดีบุก เป็น Guesthouse น่ารักๆ อบอุ่นๆ ราคาหลักร้อยเท่านั้น คืนละ 690บาท เป็นห้องแอร์ อย่างที่เคยเกริ่นไปครับ ว่าที่เลือกพักที่นี่ คือตอบโจทย์อะไรหลายๆอย่าง ราคาไม่แพง ที่พักสะอาด ได้บรรยากาศแบบชิโนโปรตุกีสด้วย อยู่ใจกลางเมืองภูเก็ต เดินทางไปงานตามอ๊ามต่างๆได้สะดวก และที่สำคัญคือ ขบวนแห่ผ่านถนนเส้นนี้เลยครับซึ่งดีต่อใจมากๆ เช็คอินๆกันครับ มาเช็คอินกันค่ำเลยทีเดียว

 

 

อาคารที่พักของที่นี่จะมีสองส่วนนะครับ คือส่วนที่เป็นด้านหน้าถนนเยาวราชเลย กับอีกส่วนที่จะอยู่ในซอยข้างๆกัน คือเดินมาหน่อย 5 นาทีก็ถึงครับ ห้องที่ผมจองมาอยู่ในโซนของซอยข้างๆนี้ 

ส่วนตรงด้านหน้าเมื่อกี้ จะเป็นจุดเช็คอินนะครับ ที่อยู่ส่วนหน้าถนนแล้วพนักงานจะพาเดินมาตรงนี้อีกที

 

ท่ีนี่จะเน้นโทนขาวๆ กับไฟโทนอบอุ่นๆ และการตกแต่งแบบวาดด้วยลายเส้นสีขาวดำ ดูเรียบๆ แต่เก๋ดี ด้านหน้าจะมีจุดให้นั่งเล่นอ่านหนังสือ มีเครื่องชงกาแฟ ที่ปิ้งขนมปังต่างๆ ให้ใช้ได้ตามสบายเลย

 

ภายในห้องนอนครับบบบ

 

ถึงแล้วที่พักกายของผม ตกแต่งแบบเรียบๆ โมเดิร์นๆหน่อย แต่จะไม่มีทีวีนะครับ ตอนแรกก็นึกว่ามีเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ผมมันมนุษย์ยูทูปอยู่เเล้ว และอีกอย่างก็ชอบออกไปขี่ตระเวนไปทั่ว ดูทีวีน้อยอยู่แล้ว 

 

โดยรวมแล้วโอเคหมด แต่ขอติ ตรงผ้าห่มหน่อยครับ อยากให้เปลี่ยนแบบที่หนา และยาวกว่านี้หน่อย คือเป็นแบบไหนก็ได้ครับ แต่แบบนี้ผืนมันเล็กไป ห่มแล้วแขนขาเลยผ้าทีเดียว คือมันสั้นและเล็กกว่าทั่วไป เลยต้องเดินไปถามแม่บ้าน ว่ามีผ้าห่มอีกมั้ย แบบนี้ห่มตัวผมไม่มิดเลย 5555+

 

ก็เลยได้ผ้าห่มผืนใหญ่มาใหม่ ค่อยยังชั่วหน่อย อิอิ 

 

 

ไหนๆก็ไหนๆแล้วครับ คืนแรกมาถึงผมก็เช่ามอเตอร์ไซค์เลยครับ ทางโรงแรมจะจัดการติดต่อให้เสร็จสรรพ ค่าเช่าวันละ 250บาท นับแบบครบ 24 ชม.นะครับ ของผมมาคืนวันศุกร์ แล้วคืนเวลาเดียวกันในวันอาทิตย์ ก็นับเป็น 2 วัน แบบนี้คุ้มดี จ่ายแค่ 500บาท แล้วได้ใช้ครบจำนวนชั่วโมง

 

บางที่จะนับตามจำนวนวัน ถ้าผมเช่าคืนวันศุกร์ แล้วคืนวันอาทิตย์ ก็นับเป็น 3 วัน แบบนั้นจะโดนไป 750บาทเลยทีเดียว ได้รถมาแล้วก็ขอออกไปขี่รถเล่นตระเวนไปมาในคืนแรกของการเอาเท้ามาแตะภูเก็ตกันสักหน่อย ตั้งใจไว้เเล้วว่าจะไปที่อ๊ามอะไรสักแห่งใกล้ๆ เพื่อขอสัมผัสกับพิธีเดินบันไดมีดกันหน่อย เพราะตามข้อมูลที่ได้หามา เหมือนวันนี้จะมีพิธีเดินบันไดมีดกัน ขี่วนไปแบบสุ่มๆทางก็ไปเจอกับอ๊ามบางเหนียว เห็นเหมือนกำลังมีพิธีกันอยู่ก็แวะเข้าไปเลยครับ

 

 

ชื่อเสียงของเทศกาลนี้ เรียกว่าไม่ต้องมานั่งอธิบายกันให้เสียเวลา คริสมาสตร์สำคัญต่อชาวคริสต์ทั่วโลกฉันใด เทศกาลกินเจ ก็สำคัญต่อชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองภูเก็ตฉันนั้น คริสมาสตร์ทุกคนพร้อมใจกันใส่สีแดงสดใส เทศกาลกินเจนั้น ก็สร้างสรรค์ให้เมืองภูเก็ต กลายเป็นสีขาวไปด้วยเสื้อผ้าของชาวภูเก็ตละลานตาไปทุกหนทุกแห่ง ที่พร้อมใจกันนุ่งขาว เพื่อเป็นการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ เสมือนกับสีของเสื้อผ้าที่ใส่ มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวสบายตาสบายใจแก่คนต่างถิ่นอย่างเราจริงๆ 

 

ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติครับ ที่ดูเข้าอกเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นอย่างดี นุ่งขาวกันแทบทุกคน แถมบางคนใส่เสื้อที่มีข้อความกินเจด้วยเสียอีกกกก เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ครับ ที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ เป็นนักท่องเที่ยวที่น่ารักแบบนี้

 

แต่แหม...ผมมาถึงก็ดึกไปแล้ว พิธีเค้าเริ่มตั้งแต่ 1 ทุ่มแล้ว นี่ผมมาก็สองทุ่มครึ่งละครับ 55555+ อดไปตามระเบียบ มาถึงก็เพิ่งจบพิธี และกำลังจะเก็บบันไดมีดกันพอดี เสียดายเล็กๆครับ แต่ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้ลุยกันใหม่ คืนนี้ขอไปตระเวนให้คุ้นชินเส้นทางกันหน่อย

 

 

ธนาคารกสิกร สาขาใจกลางเมืองภูเก็ตเเห่งนี้ ต้องบอกว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่พลาดไม่ได้ เมื่อมาเยือนภูเก็ตกันเลย ด้วยรูปแบบของสถาปัตยกรรม และความลงตัวของความงามของไฟที่สว่างไสว ทำให้ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็จะมีตึกนี้ที่เป็นเหมือนวิมาน พาใจให้เราต้องแวะมาชื่นชม

 

 

เช้าวันที่สองของการมาภูเก็ต ผมเริ่มต้นด้วยการรีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว ใส่ชุดขาวกันแต่เช้า แล้วก็คว้ามอเตอร์ไซค์แว๊นออกมา จอดตรงบริเวณสี่แยก แถวน้ำ เพราะจะมารอดูขบวนแห่กันตรงนี้แหละครับ แอบตื่นเต้นจริงๆ ว่าจะเป็นยังไง

 

แต่ตื่นเช้ามาทั้งที ก็ขอเติมพลังกันหน่อย แวะนั่งร้านโรตีตรงสี่แยกนี้เลย คนที่นี่จะชอบทานโรตีเป็นอาหารหลักกันรึเปล่า ผมไม่เเน่ใจนะครับ แต่เห็นหลายร้านจะเป็นโรตีทานคู่กับแกงต่างๆ ผมก็มองๆเมนู

 

เอ....เอาอะไรดีนะ มีโรตีกับแกงนั่นนี่มากมาย แต่อ่านแล้วน่าจะกินอันนี้ได้ ก็เลยสั่ง โรตีใส่ไข่ กับแกงไก่ไป 1 ชุด 

 

ร้านนี้พี่เจ้าของร้านน่ารักทีเดียวครับ สนุกสนานเป็นกันเอง คุยกับพี่แกแล้วฮาดี เล่านั้นเล่านี่ให้ฟัง ท่าทางการทำก็ลีลาเด็ดสุดๆ เล่นหูเล่นตา 5555+ ติดใจตรงนี้ล่ะครับ

 

 

มาแล้วครับ โรตีแกงไก่ของผม

 

ตอนแรก สั่งแกงไก่ ไอ้เราก็จินตนาการไปว่ามันก็คือแกงเขียวหวานไก่เหมือนบ้านเราเป็นแน่แท้ แต่เปล่าเลยครับ มาเป็นแกงไก่หน้าตาแบบนี้แทน 5555+

 

ว่าแล้วต้องจัดสักหน่อย ปกติจะกินแต่โรตีเป็นขนมหวาน นี่เพิ่งจะเคยกินเป็นอาหารคาว แล้วที่นี่ก็ดูจะนิยมกันมาก 

 

แหม...ไก่เนื้อนุ่ม ทานกับโรตีแล้วอร่อยใช้ได้ นี่เป็นครั้งแรกก็สั่งมาทานแบบงงๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังครับ ไว้คราวหลังต้องลองแกงอื่นๆดูบ้างแล้ว 

 

 

แค่นั้นยังไม่พอครับ ตอนแรกก็นั่งคิดอยู่ในใจว่า เอ๊ะ อยากกินไข่ลวกจัง แต่ดูในเมนูไม่เห็นมี จะมีมั้ยน๊าาาาา

 

นั่งคิดไปคิดมา ยังไม่ทันจะอ้าปากสั่ง พี่ผู้หญิงในร้านครับ เดินถือถ้วยเล็กๆมา แล้วถามว่า สั่งไข่ลวกรึป่าว ?

 

เฮ้ยยยยย พี่อ่านใจผมออกหรือพี่ !?! 5555+ 

แต่เปล่าหรอกครับ โต๊ะอื่นสั่ง แล้วพี่แกนึกว่าโต๊ะผม เลยเดินเอามาวาง พี่ผู้ชายอีกคนเลยบอกว่าของโต๊ะโน่นๆๆ แต่ปรากฎว่า โต๊ะนั้นได้ไข่ลวกไปแล้ว เอามาเสิร์ฟซ้ำ ผมเลยบอกพี่แกไปว่า งั้นเอามาโต๊ะผมได้เลยครับ ผมขอรับไว้เอง 

 

สมใจนึกมั้ยละครับ ได้กินไข่ลวกสมใจ

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129}

เพิ่งเคยรู้สึกว่าแต่งตัวได้น่าเลื่อมใส และบริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดในชีวิตก็วันนี้ละครับ 5555+

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129}

ชาวบ้านเริ่มมากันแล้วครับ ทุกคนนุ่งขาวกันทั้งชุด แล้วไม่ใช่แค่แต่งแบบนี้กันไม่กี่คนนะครับ แต่บอกเลยว่าทุกทิศทุกทาง แทบจะทั้งตัวเมืองภูเก็ต ทุกคนพร้อมใจกันแต่งขาว ทุกคนเป็นใจเดียวกัน

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129}

อีกสิ่งนึง ที่ขึ้นชื่อมากของภูเก็ต คงหนีไม่พ้น Street Art ที่สวยงามเหล่านี้ จะมีตามจุดซอกซอยต่างๆ ทั่วตัวเมืองภูเก็ตครับ แต่ผมไม่ได้ตามเก็บทุกที่นะครับ พอดีถนนที่ขบวนแห่จะผ่าน คือจะผ่านตรงด้านหน้าซอยรมย์มณีด้วย ผมก็จอดรถทิ้งไว้ที่แยก แล้วเดินไปเดินมา หามุมไปทั่ว ระหว่างรอขบวนมา 

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

และแล้ว...เวลาที่ผมรอคอยก็มาถึงครับ 

 

เริ่มจะตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อันที่จริงก่อนจะมาก็หาข้อมูลมาพอสมควร แต่เมื่อได้ลงสนามจริงแล้ว บอกเลยว่าที่อ่านมาก็ไม่สำคัญเท่าได้มาอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ด้วยตัวเราเอง 

 

สิ่งที่ผมเห็นผ่านภาพถ่ายของท่านอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก แต่พอมาเห็นม้าทรงที่เดินทิ่มแทงสิ่งต่างๆเข้าสู่ร่างกายกับตา และศรัทธาชาวบ้านที่เคารพนับถือกราบไหว้กันในเวลานั้น มันทำให้อินเนอร์นี่มาเต็มจริงๆ ลบความรู้สึกและข้อสงสัยในใจก่อนจะมาไปจนหมดสิ้น

 

ภาพหลังจากนี้ไป มันคือประสบการณ์ในชีวิตที่สำคัญของผมอีกครั้งนึง ถึงแม้จะได้ชมขบวนที่ชาวภูเก็ตบอกว่า ยังไม่ใหญ่ที่สุด แต่การมาครั้งแรกแบบไม่มีอะไรในหัวมาเลย มาแบบมือเปล่า สมองว่างเปล่า ครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมพิธีสำคัญ ก็ถือว่าสุดในระดับที่อิ่มใจแล้วจริงๆ 

 

การได้ลุยเข้าไปในดงประทัดนับแสนนัด และวิ่งหามุมในการถ่ายที่ใช่ที่สุด ซึ่งผมเองก็รู้สึกว่า มันบ้าระห่ำไปหน่อยมั้ย 5555+ แต่มาแล้วต้องเอาให้สุดครับ ผมจะไม่มาครึ่งๆกลางๆแล้วเสียดายมันในภายหลัง โดนประทัดก็เจ็บๆคันๆ จบงานนี่สภาพอย่าให้พูดครับ ขี้เถ้า เขม่า ดินปืน เต็มหน้า เต็มตัว กล้องก็โดนสะเก็ดประทัด แต่สะใจดีครับ แอบมันส์อยู่ลึกๆ 

 

คือลักษณะเหมือนเป็นสงครามกลางเมืองยังไงยังงั้น หากใครที่จินตนาการไม่ออกว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร แล้วมีแต่ควัน แต่ไฟ มีแต่เสียงประทัดเสียงระเบิดสนั่นทั่วเมือง ประสบการณ์ครั้งนี้ มันเป็นอะไรมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวจริงๆครับ

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

พูดถึงขบวนแห่นี้ โดยปกติแล้ว ต้นสายจะแห่ออกมาจากอ๊ามจุดต่างๆในตัวเมืองภูเก็ตนะครับ คือออกมาจากศาลใครศาลมันเลย แล้วก็เดินมาตามเส้นทางของตัวเอง จนมาบรรจบกันตรงถนนเส้นใดเส้นหนึ่ง (ซึ่งทั้งตลอด 10 วันที่มีงานก็ต่างเส้นทางกันไปทุกวัน) จนรวมกันเป็น 1 ขบวนที่ต่อกันมาในบริเวณจุดตัดของถนนนั้นๆ

 

โดยต้นขบวนจะมีม้าทรงต่างๆที่แสดงอิทธิฤทธิ์ในรูปแบบที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษของม้าทรงแต่ละท่านว่าชอบสิ่งใด ถามว่าการนำสิ่งต่างๆมาทิ่มแทงร่างกาย เป็นการแสดงถึงอิทธิฤทธิ์อย่างไร ? เป็นการทรมานตัวเองมั้ย ? 

 

ความหมายของการทำสิ่งนี้ จริงๆแล้วคือ ม้าทรงเหล่านี้ จะขอรับความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานของประชาชนไว้เอง ม้าทรงเป็นเสมือนผู้ที่มาปลดปล่อยความเจ็บปวดเหล่านั้น เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีความสุข 

 

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

ส่วนบริเวณท้ายขบวน จะเป็นเหมือนการนำเทพเจ้า และศาลเล็กๆ มาร่วมขบวนแห่ โดยจะมีกลุ่มพี่ๆน้องๆผู้ชายมาร่วมกันแบกขึ้นเหนือไหล่ แล้วชาวบ้านตลอดสองข้างทาง จะพากันจุดประทัดแล้วโยนใส่เข้าไปที่ศาลเจ้า หรือเทพเจ้าเหล่านั้น

 

ตามความเชื่อที่ว่า การจุดประทัดใส่นั้น ยิ่งเยอะยิ่งดังยิ่งดี เพราะมันหมายถึงความร่ำรวย เจริญรุ่งเรืองของธุรกิจและหน้าที่การงาน นี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมประเพณีถือศีลกินผัก หรือเทศกาลกินเจที่คนทั่วไปเรียกกันของชาวภูเก็ตนั้น ถึงได้สนั่นหวั่นไหวไปด้วยประทัดนับแสนนับล้าน 

 

ผมเองพอถึงจุดนี้ ก็วิ่งลุยไปกับขบวนแห่ตลอดเส้นทาง คือไม่ได้ยืนถ่ายนิ่งๆเลย ประทัดก็ถาโถมเข้ามา เรียกว่าหูอื้อกันไปข้าง 5555+ 

 

ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลั่นมาทุกทิศทาง เจ็บๆคันๆ เหมือนมดกัดตามร่างกาย นี่ก็เพิ่งเคยได้ลิ้มรสทำอะไรแบบนี้กันเป็นครั้งแรก ในช่วงที่มีการจุดประทัดกันนี้ ควันจะเยอะมากครับ คือจะหายใจยากมากจริงๆ จึงจะต้องคอบมีคน เอาผ้ามาปัดๆๆ ควันเล่านั้นให้กระจายตัวออกไป ผมเองคราวหน้าคราวหลังถ้ามาอีก คงต้องเตรียมหน้ากากมาหน่อย จะได้พร้อมกับสถานการณ์กว่านี้

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

ขบวนแห่ จบลงที่เวลาประมาณ 10โมงกว่าๆ ซึ่งข้อดีของที่นี่คือ หลังจากขบวนเดินกันจนจบแล้ว ก็จะมีเศษประทัด กระจายทั่วไปหมดตามพื้นถนน ซึ่งรถต่างๆก็จะไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ถูกต้องมั้ยครับ ?

 

สุดท้ายยยยยของขบวนเลย จึงมีพี่ๆที่ทำหน้าที่กวาดถนน ตามกวาดมาพร้อมกับขบวนตลอดเส้นทาง คือขบวนเดินไปตรงไหน หน้าขบวนเดินไป ท้ายขบวนกวาดทำความสะอาดทันที คือกวาดๆๆๆๆ กวาดกันเร็วมากครับ ขบวนเดิน 2 ชั่วโมงกว่าๆ แต่กวาดกันแปปเดียว 5 นาที ถนนนี้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน 55555+

 

สุดยอดเลยมั้ยครับ !?!

 

เป็นการแก้ปัญหาจัดการถนนหนทางที่ดีมาก คือพอขบวนเดินผ่านถนนนี้ไป มุ่งหน้าสู่ถนนเส้นต่อไป ท้ายขบวนกวาดต่ออีก 5 นาที ตำรวจสามารถเอาแผงกั้นออก แล้วเปิดถนนให้คนขับขี่ต่อได้เลยทันที โดยที่ไม่มีเศษประทัดเหลือสักชิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ เศษประทัดกองเต็มถนนทุกซอกทุกมุมไปหมด

 

จบจากเช้านี้แล้ว เป็นประสบการณ์ที่สุดๆสำหรับผมจริงๆ เดินออกมาจากขบวน เนื้อตัวมอมแมม เละเทะ ดำปี๋ไปหมด ก็เลยกะว่าจะกลับห้องพักไปอาบน้ำนอนพักสักหน่อย ก็ขอแวะ Fresh Mart ตรงหน้าปากซอยที่พักซื้ออะไรกินสักหน่อย ที่นี่พวกเซเว่นหายากนะครับ ยากมาก ถ้าจะหาอะไรกินอาจต้องขี่ออกไปจากละแวกนี้สักหน่อย เพราะร้านหลายร้านก็ปิดหยุดกันเนื่องในเทศกาล 

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

ถึงแม้ว่าการมาภูเก็ตครั้งนี้ของผม จะตั้งใจมาร่วมประเพณีโดยเฉพาะ แต่ช่วงบ่ายๆเย็นๆที่ว่าง ผมก็ขอแว๊นไปที่หาดกะหลิมกันหน่อยครับ อยากจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่บริเวณนี้ วันนี้ผมมา คลื่นแรงลมเเรงมากกกก ถามชาวบ้านดูก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำกันสักเท่าไหร่ 

 

หาดกะหลิม อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนักครับ ขี่มอเตอร์ไซค์มา ประมาณ 30นาทีเอง อยู่เยื้องๆกับหาดป่าตองเลยครับ แต่ตรงนี้คนจะน้อยกว่า ไม่พลุ่กพล่านเหมือนตรงป่าตอง ก็เงียบๆสงบดี เลยไปซื้อน้ำซื้อขนมมานั่งกินชมวิวทะเล รอพระอาทิตย์ตกไป เพลินมากทีเดียว

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px} span.s1 {color: #355899}

เสร็จจากหาดกะหลิมแล้ว ผมก็วนกลับเข้าไปที่ตัวเมืองอีกครั้ง เนื่องจากขากลับจากหาดกะหลิม ก็ผ่านทางตรงถนนเส้นนึง (จำชื่อไม่ได้ขออภัยครับ) มองไปเห็นอยู่ไกลๆว่ามีอ๊ามอยู่ ปักธงสวยงามเรียงราย เลยกะว่าจะขอแวะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง เป็นชุดสีขาว แล้วออกมาที่อ๊ามนี้กันสักหน่อย

 

หลังเปลี่ยนชุดอะไรเรียบร้อยแล้วก็ขี่กลับไปทางเดิมเมื่อกี้เลยครับ พอขี่เข้าไปใกล้ จนถึงลานจอดรถถึงได้รู้ว่า อ๊ามที่เห็นนั้น คือ #อ๊ามจุ๊ยตุ่ย เป็นอ๊ามใหญ่อีกแห่งนึงที่คนภูเก็ตให้ความเคารพศรัทธา

 

เดินเข้ามาในงานก็จะมีร้านอารมณ์คล้ายๆงานวัด ยิงปืน ยิงเป้า ปาโป่งทั้งหลาย ผมก็เอาสักหน่อยครับ 5555+ ชอบมาก เห็นแล้วต้องได้เล่นทุกที ก็ได้ตุ๊กตาตัวน้อยกลับมา 1 ตัวเป็นที่ระลึกกัน

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129}

เดินเลยออกมาจากทางลานจอดรถ ก็จะเป็นถนนคนเดินที่ขายอาหารเจทั้งเส้นเลยครับ คนเยอะมากๆ คึกคักดีทีเดียว

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

เข้ามาด้านใน คือคนยิ่งเยอะกว่าด้านนอกมากมายหลายโข คือผมนี่หารูแทรกไม่ได้เลย 5555+

 

วันนี้ที่อ๊ามจุ๊ยตุ่ย จะมีเป็นพิธีสะเดาะเคราห์ครับ จะเปิดให้ชาวบ้านเข้าแถว บริจาคทำบุญตามกำลังศรัทธา แล้วรับตุ๊กตาตัวเแทน เพื่อใช้ร่วมพิธี ซึ่งแถวยาวมากกกก ยาวเลยไปประตูด้านหลังอ๊ามกันเลย ผมจึงได้แต่เดินดูบรรยากาศอยู่ไกลๆ เก็บภาพรอบๆแทนไปครับ ไม่สามารถเข้าถึงด้านในได้จริงๆ

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

หลังจากมะงมมะงาหลาอยู่ในดงคนจำนวนมากได้สักพัก กว่าจะเดินจนหาทางออกได้ครับ 5555+

 

ก็เลยขอออกมาขี่มอเตอร์ไซค์เล่นตามเคย พอดีจำได้ว่าเมื่อวานนี้ที่รถเล่นไปมา ก็ผ่านตรงวงเวียนหอนาฬิกา ตรงนี้จะมีประดับประดาไฟสวยงาม และมีชาวบ้านใส่ชุดขาวมานั่งจุดประทัด ไฟเย็นอะไรกัน พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็พาลูกเล็กเด็กแดงมาจุดดอกไม้ไฟเบาๆ พอให้สนุกสนาน บรรยากาศเหมือนเราเล่นกันตอนลอยกระทงแบบนั้นเป๊ะ!

 

 

 

ขี่รถตระเวนไปทั่วเมืองเพื่อหาข้าวเย็นกันสักหน่อย ก็ผ่านแยกธนาคารแสตนดาร์ด ชาร์ตเตอร์ตรงนี้เลยครับ สวยงามมากๆเช่นกัน 

 

อ้อ...อีกสิ่งนึงที่ผมลืมบอกไป คือการจะขับขี่ในตัวเมืองภูเก็ตนั้น ต้องอาศัยทฤษฎีในการคาดคะเนเส้นทางสักนิดนะครับ สำหรับคนต่างถิ่นแบบเราๆ คือที่นี่เนี่ย ถนนทุกเส้น แทบจะ 100% เลยครับ เป็น One Way หมด!! 

 

คือต่อให้คุณจำทางได้ว่า เนี่ยๆๆ เมื่อกี้ขี่มาทางนี้ นั่นคือคุณจะขี่กลับทางเดิมไม่ได้!! ถึงจำทางมาได้ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะเวลากลับคุณต้องไปทางอื่น 5555+ หากจะกลับไปยังจุดหมายเดิมที่มา คุณต้องคาดคะเนว่า วนไปทางไหนถึงจะกลับไปที่เดิมได้ มาวันแรกผมนี่มึนเลยครับ ขี่วนๆๆๆ วนไปวนมาไม่รู้วนอีท่าไหน 

 

โหวววววว...ออกไปไกลยันขั้วโลกเหนือ 55555+

 

บ้านช่องอยู่ไหน นาทีนั้นลืมหมดเเล้ว คือเริ่มต้นไม่ถูกเลยว่ามาจากที่ไหน จนต้องค่อยๆขี่ไป ถามทางไป จนเจออะไรที่คุ้นชิน ก็ค่อยๆไป จนพอเข้าสู่วันที่สองเริ่มจับหลักได้แล้วครับ ว่าวนทางนี้นะ ทางนั้นนะ ก็เริ่มฉลาด วนกลับมาที่จุดหมายปลายทางได้ถูกต้องสักที มาที่นี่ก็ได้เพิ่มรอยหยักในสมองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

 

 

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 14.0px Helvetica; color: #1d2129; min-height: 19.0px}

มาครับ มาๆๆ ถึงผมจะไม่ได้กินเจทุกมื้อ แต่ถ้ามื้อไหนมีโอกาส ก็จะกิน เลยจัดเลยครับ ข้าวมันไก่เจร้านนี้ 

 

ถามจะถามว่าร้านนี้อยู่ตรงไหน ตอบยากครับ จำทางไม่ได้ 55555+

 

คือด้วยความที่ถนนที่นี่มัน One Way หลังจากที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์วนไปๆๆ จนถึงปากซอยที่พักแล้ว เลยตัดสินใจ จอดรถไว้มันหน้าปากซอยนี่แหละครับ จะได้ตัดปัญหาขี่รถวนไม่ถูก คือถ้าเดินเนี่ย ไปทางไหน ก็เดินกลับทางนั้นครับ ชีวิตจะได้ง่ายขึ้น ตอนนี้หิวจนสมองไม่จำทางวนกันละ

 

ก็เลยเดินจากปากซอยที่ถนนเยาวราชมา ตรงไปๆๆเรื่อย ก็เจอร้านนี้ครับ อยู่ตรงหัวมุมใกล้ๆวงเวียนอะไรสักอย่างก็เลือกร้านนี้เลยครับ 

 

 

ด้วยความที่ผมนั้น กินเจบ้างไม่เจบ้าง ปะปนกันไป ก็พยายามกินให้ชินนะครับ แต่การกินโปรตีนเกษตรที่ทำเป็นข้าวมันไก่เนี่ย ยังห่างไกลความเคยชิน กินๆเข้าไป รู้สึกเหมือนกินพลาสติกนิดหน่อย 5555+

 

คงต้องหัดกันต่อไปครับ อีกหน่อยคงเริ่มชินและกินได้ไม่รู้สึกแปลกๆ 

 

จบคืนนี้กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินกลับห้องไปนอนหลับกันครับ วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว ไว้เรามาลุยกันใหม่

 

 

เช้าวันที่ 3 นี้ ผมก็ได้ฤกษ์ยาม ในการเดินเก็บเกี่ยวในย่านชิโนโปรตุกีสกันให้เต็มอิ่มเสียที ตึกที่นี่ อาคารบ้านเรือนทุกอย่างคือเป็นแบบนี้หมดทุกหลังจริงๆ แอบอิจฉาคนที่นี่จังครับ ทีโชคดีได้มีที่อยู่อาศัยในย่านนี้ เป็นอาคารสวยๆแบบนี้ ผมเองยังอยากอยู่บ้างเลยครับ นี่พูดจริง! ชอบมากกกกก

 

 

เช้านี้ก็มาจัดโรตี กับแกงอีกเช่นเคย แต่เป็นคนละร้านกับเมื่อวานนะครับ มาลองร้านใหม่ อยู่ในย่านชิโนโปรตุกีสอีกเช่นกัน  ร้านนี้ชื่อ #ร้านอรุณโภชนา นะครับ หาไม่ยากครับอยู่ตรงบริเวณหัวมุมๆ ตรงถนนถลาง มีเมนูหลากหลายทีเดียวครับ อาหารตามสั่งอะไรก็มี ราคาก็ทั่วไปเลยครับ ไม่แพง

 

 

มาแล้วครับ วันนี้เปลี่ยนเป็นโรตีใส่ไข่ดาว กับแกงปลา แกงปลานี่เครื่องเทศจัดอยู่เหมือนกันครับ ใครทานเผ็ดน่าจะชอบ หลังจากสั่งอันนี้มาเเล้ว ผมก็สั่งข้าวหมกไก่มาอีกจานครับ ด้วยความอยาก

 

แต่ข้าวหมดไก่นี่ฟาดเรียบไปไม่ทันได้มีรูปมาฝากกัน แต่หน้าตาก็เหมือนข้าวหมกไก่ทั่วไปครับ รสชาติใช้ได้ อร่อยลิ้นเลย

 

 

อิ่มท้องแล้วมาเดินเล่นกันต่อเลยครับ

 

 

ตรงนี้จะเป็นซอยรมย์มณีนะครับ สังเกตุได้ง่ายๆจาก Street Art ที่อยู่ตรงด้านหน้า

 

 

เดินเล่นจนเวลาก็ล่วงเลยมาจน 11 โมงแล้ว กลับที่พักไปอาบน้ำเก็บของ เตรียมตัวเช็คเอาท์กันครับ

 

 

หลังจากเช็คเอาท์แล้ว ด้วยความที่เวลาผมเหลือเยอะพอสมควร เพราะไฟลท์บินคือตอนสองทุ่ม ก็เลยไปฝากของไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมครับ แล้วก็นัดคืนมอเตอร์ไซค์ไว้บ่าย 4 โมงเย็น ก็เลยขอตระเวนเที่ยวต่อแถวนี้กันหน่อย

 

อันที่จริงคืนสุดท้ายของเทศกาลกินเจนี้ จะยิ่งใหญอลังการ และสนั่นหวั่นไหวที่สุด แต่งานจะเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 3 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนไป 

 

ด้วยความที่มาแบบไม่รู้อะไรเลย จึงเพิ่มมารู้ข้อมูลเหล่านี้เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับคนในพื้นที่นี่แหละครับ แอบเสียดายเล็กๆ แต่ตั้งใจไว้เเล้วว่า ปีหน้าครับ! ปีหน้า! ผมจะกลับมาลุยขบวนแห่วันจบงานที่แสนยิ่งใหญ่ในยามค่ำคืน

 

 

มาแวะนั่งเล่นกินกาแฟแบบชิลๆ สบายๆที่นี่กันหน่อย ตกแต่งร้านสวยดีครับ มีความวินเทจดี แล้วบรรยากาศรอบๆก็เข้ากั๊นนนเข้ากัน เพลินเลยครับ

 

 

ชาเย็นสักแก้วครับ ให้ชื่นใจ

 

 

แล้วต่อด้วยนมร้อนอุ่นๆอีกที 5555+

ไม่รู้ผมนี่ตกลงร้อนหรือหนาวนะครับ อยากอะไรก็สั่งมา กินๆสลับกัน

 

 

อ้อออ...กาแฟร้านนี้ ชื่อ The Old Phuket Coffee นะครับ ผ่านมาผ่านไปลองไปแวะกันดู บรรยากาศดี แนะนำเลยครับ เสร็จแล้วไปเดินเล่นกันเถอะครับ

 

 

หลังจากเดินเล่นกันได้สักพักครับ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าขอขี่มอเตอร์ไซค์ไปดูหน่อยว่าสถานีขนส่งของภูเก็ตนั้นอยู่ที่ไหน เพราะต้องไปขึ้น Airport Bus กลับไปสนามบิน จะได้กะเวลาเดินทางถูก ว่ามันใกล้ไกลแค่ไหน เอาจริงๆระยะทางจากย่านชิโนโปรตุกีสนั้น เลยออกมานิดเดียวครับ 

 

แต่ Google map มันพางงครับ ผมเลยวนไปไกล พอถามวินมอเตอร์ไซค์ หลังจากวนไปวนมา กลายเป็นว่า อ้าวววว...ใกล้เเค่นี้ 5555+ คิดในใจแล้วนี่กูขี่ไปไหนมาวะ ไม่เคยเข็ดหลาบกับ Google map ครับ ถึงยังไงบางเวลาก็คงต้องพึ่งมันอยู่ดี

 

Airport Bus นี่จะมีรอบออกตามเวลานะครับ ตอนแรกกะว่า มาแล้วจะซื้อตั๋วไว้เลยละกัน แต่ปรากฎว่า ไม่มีขายล่วงหน้าครับ คือมาตอนไหนก็ขึ้นตอนนั้นเลย ซื้อตอนนั้นเลย ก็เลยไม่ได้ซื้อตั๋วไว้ กลับไปวิ่งเล่นต่อรอเวลา

 

 

ค่าบริการ Airport Bus คนละ 100 บาทนะครับ ส่งตรงถึงสนามบิน สะดวกและประหยัดดี รอบสุดท้ายจะหมดท่ี 18.30 น. นะครับ ถึงใครจะกลับไฟลท์ดึกแค่ไหน ก็ควรเผื่อเวลามาตั้งแต่ 18.30 น.อยู่ดี เพราะถ้าไปค่ำๆแล้ว มีทางเดียวครับ แท็กซี่ ซึ่งแพงมากกว่าหลายเท่าเลย

 

 

ว่าแล้วก็ขี่กลับเข้าไปที่ตัวเมืองกันครับ ระหว่างทางก็ขี่ผ่าน ททท.ของภูเก็ต หืมมม ตึกสวยเชียวครับ ที่นี่เค้าคงเอกลักษณ์แบบนี้กันทั้งเมืองเลย

 

 

ข้างททท.ภูเก็ต จะมีมังกรสีทองสวยงามเลยครับ

 

เวลาตอนนี้ก็เที่ยงกว่าแล้ว ก็หิวสิครับจะรออะไร 5555+

 

ไปเจอร้านหมี่ผัดฮกเกี้ยน ก็ต้องลองเลยครับ หมี่ผัดฮกเกี๊ยนนี่เป็นอะไรที่มาภูเก็ตแล้วต้องลอง อีกอย่างที่ขึ้นชื่อคือหมี่ต้นโพธิ์ จริงๆชี่ผ่านว่าจะเเวะแล้วครับ หมี่ต้นโพธิ์ แต่คนเยอะมาก ไม่ไหวจริงๆ กระเพาะบอกอยากย่อยแล้วววว

 

จนมาเจอร้านนี้ เป็นแบบเจด้วยยย เอาเลยๆๆ สั่งๆๆๆ

 

มาแล้วครับ หมี่ผัดฮกเกี๊ยนร้อนๆ อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเลยครับ มาเป็นถ้วย ราคาถ้วยละ 50 บาท แอบสูงนิดนึง เพราะขนาดถ้วยไม่ได้ใหญ่ เป็นชามตราไก่ใบน้อยตามรูปเลยครับ แต่อร่อยถูกใจ กินจนหมดเกลี้ยงผมก็สบายใจละครับ 5555+

 

 

เดินไปเดินมาไปตามทาง ก็มาเจอนี่เลยครับ พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว แวะกันเข้าไปเลยยย

 

 

ที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เเละบอกเล่าเรื่องราวของชาวไทยเชื้อสายจีนที่เก่าแก่ของภูเก็ต ประวัติความเป็นมา วิถีชีวิตและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ค่าเข้าคนไทยอยู่ที่ 50บาทนะครับ

 

ลองมาเที่ยวแบบหาความสาระบ้าง ปกติชีวิตอาจจะไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แค่ได้ก้าวขาเข้ามาในนี้ ก็แลดูฉลาดขึ้นทันทีเลย 5555+ ว่าแล้วเรามาเยี่ยมชมข้างในกันเลยครับ

 

 

อันนี้จะเป็นหลักฐานใบอพยพการเข้ามาอาศัยอยู่ในภูเก็ตของชาวจีนสมัยก่อน ต้นฉบับๆแบบเดิมๆ ที่ยังเก็บรักษามาจนทุกวันนี้

 

 

เสร็จแล้วก็ขอไปหาที่นั่งพักกันหน่อยครับ อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวมากกกกก เหงื่อแตกพลั่กเลยครับ อากาศแบบนี้เหมือนฝนกำลังจะตกแน่นอน ไปหาที่นั่งชิลๆกันดีกว่า

 

เอาล่ะครับ เจอแล้วร้านนี้ 2-3 วันนี้ขี่ผ่านไปผ่านมาอยู่หลายครั้ง ก็ขอแวะกันเลยกับร้าน Macchiato House

 

ภายในตกแต่งแบบเรียบๆ มินิมอลๆหน่อย สบายตาดีครับ ข้างในร้านคนเยอะทีเดียว บรรยากาศดี เหมาะกับการมานั่งเล่นพักผ่อน หลังจากเดินตากแดดตากลมร้อนมาได้เป็นอย่างดี ที่นี่จะมีทั้งเครื่องดื่ม และขนมหวาน / เค้กต่างๆมากมาย

 

 

ผมเองก็กินมาซะมากมายหลายอย่างจนจุกแล้ว และด้วยความเป็นผู้ชายก็คงไม่ค่อยพิศวาสขนมหวานสักเท่าไหร่ ร้อนๆแบบนี้ ขอเป็น #สตรอเบอร์รี่โซดา ซ่าๆสักแก้วครับ ดับกระหายได้ดีมาก ราคาอยู่ที่ประมาณ 45-55 บาทประมาณนี้ครับ จำราคาแน่นอนไม่ได้ 5555+ ก็ราคาเหมือนคาเฟ่ร้านกาแฟทั่วไปครับ ไม่ใช่ว่าเป็นภูเก็ตแล้วจะยิ่งแพงหรืออะไร รสชาติก็ดี

 

 

จากนั่งเล่นในร้านกาแฟได้สักพัก ก็กลับไปยังโรงแรม เก็บข้าวของ แล้วพอสักบ่าย 3 ครึ่ง ก็เดินทางไปบขส.ภูเก็ต เพื่อขึ้น Airport bus ทันที 

 

จากโรงแรมไป ก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปครับ คนละประมาณ 40บาท แล้วก็รอรถออกประมาณ 4 โมงครึ่งเย็น เดินทางไปสู่สนามบิน

 

ได้เวลาที่เราต้องบอกลา เมืองแห่งอารยธรรมที่หลากหลายแห่งนี้ไปกันแล้วครับ ภูเก็ตนั้น เป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างความเก่าในอดีต และความสมัยใหม่ของปัจจุบันได้อย่างลงตัวในทุกหนแห่ง ความเชื่อ ความศรัทธา และวิถีชีวิต ที่หล่อหลอมรวมกันด้วยหัวใจ กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนทั่วโลกต่างหลังไหลกันมาชื่นชมเเละเรียนรู้ ลองลืมภาพของภูเก็ตเมืองแห่งแสงสี และผับบาร์ Night Life ที่ขึ้นชื่อ แล้วลองมาสัมผัสอีกด้านของภูเก็ตดู คุณจะตกหลุมรักในความแปลกใหม่ของภูเก็ตแง่มุมนี้อย่างแน่นอนครับ

 

ติดตามการเดินทาง ของ #คนหลงทาง ในทริปต่อไปได้ เร็วๆนี้ครับ...

พูดคุยการเดินทางเพิ่มเติมกันได้ที่ : https://www.facebook.com/Lost.Somewhere.Together