Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
"ดอยหลวงเชียงดาว" คุณค่าที่คุณคู่ควร ดอยหลวงเชียงดาว (Doi Luang Chiang Dao) จ.เชียงใหม่
    • Posts-1
    Chittapon •  January 31 , 2016

    บทที่ 1  

    เดจาวู  

    สวัสดีครับห่างหายไปกับการเขียนรีวิวไปสักพักเลย เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งไปดอยหลวงเชียงดาวมาก็เลยจะมาเล่าให้ฟัง มันเริ่มตรงที่ช่วงพฤศจิกา-ช่วงธันวาที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผมทำงานแบบมาราธอนมาตลอด 2 เดือน เลยอยากจะหาสถานที่พักผ่อน(พักผ๊อนพักผ่อน)เพื่อชาร์จแบทให้กับตัวเอง ผนวกกับน้องผมชื่อปุ้ย อยากขึ้นเขาก็เลยโอเคทริปนี้เที่ยวเหนือกัน ประเด็นคือภูเขามีเป็นร้อยเป็นพันไม่เลือก ดันเลือกดอยหลวงเชียงดาว ผมรู้สมญานามของที่นี้ดีผ่านการเล่าของพี่กุ๊กตอนไปม่อนจองว่าโหดเหี้ยมในเรื่องความชันระยะทางและความสูงมากขนาดไหน โดยรวมๆแล้วมันคือชุดแฮปปี้มิวสำหรับนักเดินป่าตัวยง แต่มันคือชุดคอมโบ้เซ็ต+ชุดจุใจสำหรับผม ผมคิดอยู่สักพักว่าจะไปดีมั้ยมันโหดไปรึป่าว ผมนั่งคิดแบบจริงจังมากเลยนะ พอรู้สึกตัวอีกทีกุกดเบอร์เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเรียบร้อยละ (เอ้า-*-) ผมโทรติดต่อเขตขอขึ้นดอยหลวงเชียงดาวก่อน 15 วันตามคำแนะนำของรีวิวรุ่นพี่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมทำพลาดไปและไม่คิดจะหาคำตอบด้วยคือ “น้องจะขึ้นทางไหน” “มีทางไหนบ้างครับ” “มีปางวัว กับเด่นหญ้าขัด ถ้าขึ้นปางวัวลงปางวัว 1200 ส่วนถ้าขึ้นเด่นหญ้าขัดลงปางวัว1800 น้องจะ.. ” “ปางวัวครับ 1200 ใช่มั้ยครับ งั้นขึ้นปางวัวลงปางวัวครับ” (ยัง ยังไม่รู้ตัวว่าหวยจะออก) เหมือนพี่เขาจะนิ่งๆไปแปบนึงแล้วก็บอกโอเคๆ ผมนี้แบบ ปางวัวคืออะไรไม่รู้แต่ 1200 เองอะแกรรร    

    ผมเก็บกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านวันที่ 1 ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่รอบ 22.25 และก็ตามเคยรถไฟมาถึง 22.47 (ตามหลักมาตรฐานเด่ะๆ) ปีกว่าแล้วมั้งที่ไม่นั่งรถไฟไปเหนือเลย ผมชอบนั่งรถไฟนะยิ่งราคาประหยัดผมยิ่งชอบ ไม่ได้จะ slow life อะไรนะ แต่คือกุไม่มีตัง เคยเป็นมั้ยพอที่นั่งมันไม่ตายตัวเรามันเหมือนถูกบังคับให้ทลายกรอบความเป็นส่วนตัวลงและเริ่มปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น ผมเริ่มชอบที่จะคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้นมันทำให้ผมรู้ว่าสนุกกว่าซีรี่เกาหลีก็เรื่องเล่าของคนบนรถไฟเนี่ยแหละ ผมได้เพื่อนใหม่มา 3 คน คนแรกน้องตินติน น้องบอกว่าชื่อก็น้องน่ารักนะ มารู้จักตินเพื่อนพี่ดิและเราจะเปลี่ยนใจ 55555 อีก 2 คนชื่อแฟนต้า กับ กับ เอ่อ ชื่อไรฟะมันติดอยู่ที่ปลายปากเนี่ยแหละ อื้มมม ข้ามๆ น้อง 2 คนนี้มาเที่ยวแบบไม่มีจุดหมายปลายทางเลยคืออยากไปกุก็ไป เราต่างคนต่างมีเรื่องเล่าของตัวเอง เราต่างแชร์ประสบการณ์และความคิดของกันและกันกลายเป็นสีสันของการเดินทาง เพราะเจออะไรแบบนี้แหละทำให้การเดินทางด้วยรถไฟของผมไม่น่าเบื่อเลย (แต่ถ้าวิ่งไวกว่านี้จะขอบคุณ)     ผมมาถึงเชียงใหม่น่าจะประมาณบ่ายถ้าจำไม่ผิดนะ มาเจอกับน้องผมที่นัดกันไว้ที่สถานี ต้องบอกก่อนเลยว่าน้องผมคนนี้นี่สายชาวป่าชาวเขาเลยนะ น้องแกเคยเดินไปหักคอกระต่ายป่าและหยิบหนอนขึ้นมากินหน้าตาเฉย!! จนบางทีก็คิดว่าน้องกุหรือแบร์ กิล “ขณะนี้ปุ้ยเจอหนอนหน้าตาน่ารัก มันอุดมไปโปรตีนที่มีประโยชน์ -แม่ม !! “ 5555 ผมล้อเล่นน่าน้องผมไม่โหดขนาดนั้นหรอกแต่ความเป็น แบร์ กิล อะจริง ผมพาน้องแหวกว่ายผ่านฝูงรถแดงเดินเข้าตัวเมืองถึงประตูท่าแพ ผมเปิดแผนที่ในมือถือดูเช็คอีกทีว่า สถานีช้างเผือกอยู่ตรงไหน เพราะที่นั้นจะมีรถเมคันสีแดงที่เขียนป้ายว่า เชียงใหม่-เชียงดาว-ฝาง โอเคกุหลบก็ได้ นั้นมันขวาง!!(บาทสองบาท) จนได้บทสรุปว่ามันอยู่อีกฝั่งตรงข้ามประตูท่าแพ เราตัดสินใจเลือกที่จะเดินเพื่อประหยัดเงินในการเดินทางเพราะงบเรามีจำกัดและรถแดงก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงอีกฝั่งของตัวเมืองผมเลยขอแวะกินข้าวสักหน่อย ระหว่างกินข้าวผมก็เปิดแผนที่ดูว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว และมันพีคก็ตรงนี้แหละ “เฮ้ยทำไมมันบอกให้ไปทางขวาว่ะ ก็เมื่อกี้มันบอกกุว่าตรงข้ามนะ” ชิ_หายซิริหลอกกุ เท่านั้นแหละ “ปุ้ยพี่ขอโทษ” “อะไรหรอพี่” “พี่พาเรามาผิดทาง” ช็อตนี้นี่โคตรจะเดจาวูเลย เหมือนเคยได้ยินที่ไหน..   และไม่ต้องถามนะว่าน้องผมจะรู้สึกยังไงเอาเป็นว่าถ้าผมไม่ใช่พี่ นี่กุยับแน่นอน T T  
    • Posts-2
    Chittapon •  January 31 , 2016

    บทที่ 2  

    พรุ่งนี้  

    เรามาถึงสถานีช้างเผือกตอน 14.45 นาที อะไรจะสนุกไปกว่าการที่มาถึงแล้วรถจะออกพอดี พี่กระเป๋ารถเมตะโกนออกมาดังมาก รถจะออกแล้วนะ ผมเลยหันไปดูว่ารถอะไรจะออกว่ะ เชียงใหม่-เชียงดาว-ฝาง อื้มคุ้นๆอยู่ เฮ้ยย !! จังหวะนั้นสัมผัสได้ถึงความเป็น ลูเซนท์ โบ้ว ที่มีอยู่ในตัวพาน้องแบกกระเป๋าวิ่งกันตาตื่นเหมือนหนีผีขึ้นรถเม เรามาถึงกันสายมากในความคิดผม ถึงนู้นก็น่าจะมืดแน่ๆ เพราะตอนไปม่อนจองกว่าจะถึงก็ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง แล้วนี้เรามาตอนบ่าย 2 เดินหาที่พักกันตอนมืดๆโคตรไม่ใช่เรื่องดีเลย “ไปเชียงดาวครับ” “คนละ40บาทครับ” “หื้ม!!เอ้ากุก็นึกว่าเป็นร้อย” ผมเปิดดูแผนที่ในมือถือ มันบอกผมว่าเราจะเดินทางถึงเชียงดาวในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง เดี๋ยวๆนี้กุมาถูกเชียงดาวหรือป่าวเนี่ย แต่มันก็จริงๆ กลายเป็นว่าเชียงดาวนั้นอยู่ใกล้กับตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควร ผมถือว่าการเดินทาง 1 ชม.ในต่างจังหวัดนี้ถือว่าใกล้นะ    

    เรานั่งตากลมร้อนของแดดตอนบ่าย 3 ใครบอกว่าเชียงใหม่หนาวผมนี้เถียงขาดใจ แต่ก็มีความสวยงามของแสงแดดที่ส่องผ่านต้นไม้ที่มีอยู่เกือบตลอดทาง มาถึงบางช่วงที่ขับเรียบภูเขาตรงนี้จะมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นมากผมชอบบรรยากาศแบบนี้ชะมัดเลย เรามาถึงเชียงดาวตอนประมาณ 4 โมงเย็น คำถามเดียวคือ ผมจะไปไหนต่อ ผมกับน้องมองหน้ากัน เราไม่ต้องพูดอะไรกันมากมาย แค่ดูหน้าเราก็รู้เลยว่าคิดอะไร “นี้กุมาอยู่ที่ไหน ดอยหลวงไปทางไหน ใครก็ได้ช่วยกุที T T ”         เราเดินถามทางไปเรื่อยจนมาจบที่ร้านขายของชำร้านหนึ่ง จากคำบอกเล่าของคนที่อยู่ในคลินิกแถวนั้น บอกว่า “จะมีรถไประเบียงดาวจอดข้างๆร้านขายของชำร้านตรงนู้นน” ผมเดินไปที่ร้านขายของชำร้านนั้นไปถามลุงเจ้าของร้านว่ารถไประเบียงหมดรึยังครับ เพราะผมตัดสินใจจะไปนอนที่ระเบียงดาว “อ่อ หมดแล้วหนุ่ม” (แหม่ ฟังแล้วชื่นใจจจ) เขาบอกว่ารถจะมาจอดข้างร้านเขาตอน 8 โมงเช้า ผมก็เลยถามไปอีกว่า “งั้นแถวนี้มีที่พักมั้ยครับ” ลุงก็เลยไปคุยกับเมียเขาว่ายังมีที่พักตรงไหนว่างบ้าง เมียลุงเขาก็บอกให้รอแปบนึงนะ ก่อนจะกดมือถือโทรหาที่พักให้ และเมียคุณลุงก็ยื่นโทรศัพมาให้ผม “สวัสดีครับ” ผมเปิด “ไม่ทราบว่าที่พักนี้มีราคาเท่าไหร่บ้างหรอครับ” “ก็มี 400 500 600 900 ครับ” พี่รู้มั้ยว่าใจผมให้พี่ตั้งแต่เลข 4 ละ 5555 “งั้นผมจองห้อง 400 นะ” พี่เขาก็โอเคซ้ำยังบอกอีกว่า ขอโทษที่ไปรับไม่ได้เพราะอยู่แถวตัวเมืองให้เดินไปแทน ผมยื่นมือถือคืนให้และถามเขาอีกที่ว่าที่พักไปทางไหนเดี๋ยวผมจะเดินไป สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากเลยคือ เมียคุณลุงเดินไปหยิบกุญแจรถของตัวเองยื่นให้ผมและบอกให้ผมขับไป ห๊ะทำไมให้ผมง่ายขนาดนี้ไม่กลัวผมหรอ ผมคนแปลกหน้านะ ผมรับกุญแจมาคุ้นคิดก่อนจะยื่นกุญแจกลับไปพร้อมพูดว่า “ผมขับมอไซต์ไม่เป็นครับ” โอ๊ยยย กุอยากเอาหัวโขกกุญแจ   แต่เราก็เดินกันจนมาถึงที่พักกันจนได้(แบบว่าเดินกันเปื่อยอะ) เราเอาของไปเก็บไว้ในห้องก่อนจะออกไปเดินหาของกินและเสบียงสำหรับขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้เช้า เป็นวันที่เหนื่อยอีกวัน ตั้งแต่ถึงเชียงใหม่ทุกอย่างที่ผมทำมันคือการเสี่ยงดวง ทุกอย่างมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผมไม่คิดว่าจะต้องพาน้องมาเที่ยวอะไรแบบนี้ มาในที่ที่ผมเองก็ยังไม่ค่อยจะรู้จักด้วยซ้ำ แต่ผมรู้ว่าทริปนี้มีความหมาย และผมจะได้รู้เมื่อผมไปถึงข้างบนยอดนั้น   " ในวันพรุ่งนี้... "  
    • Posts-3
    Chittapon •  February 01 , 2016

    บทที่ 3  

    ยิ้มอ่อน  

    เราออกจากที่พักตอน 7 โมงครึ่ง กับหมอกหนาๆหน้าที่พัก หลังจากนี้ 5 กิโล กว่าจะถึงเขตรักษาพันธุ์ป่าเชียงดาว ผมบอกน้องว่าเดินนะ น้องผมมันก็บ้าจี้บอกเดินก็เดิน ที่พักของเราตรงทางเข้าที่มีป้ายหน้าทางเข้าว่า ถ้ำเชียงดาว 5 กิโล เมีนของลุงเจ้าของร้านบอกว่าถ้าเจอโรงเรียนอนุบาลเลยไปหน่อยก็จะเจอที่พัก ผมกับน้องนี้ก็ตั้งใจหาเลยระหว่างเรามองตลอดว่านี้โรงเรียนอนบาลรึป่าว เดินไปสักก็เริ่มงงละ เพราะตั้งแต่เดินมายังไม่เจอโรงเรียนอนุบาลเลยจนผมเริ่มสงสัยแล้วว่าผมเผลอเดินเลยมารึป่าว กระทั้งเจอตึกอาคารหลังใหญ่ตั้งคระหง่านอยู่กลางทุ่ง ใช้ครับนั้นแหละโรงเรียนอนุบาล ใหญ่ ชิ_หายยยยย โอ้โหคุณขาาา นึกว่าอนุบาลเด่นล่า ใหญ่ป๊ายย คือไม่คิดว่าต่างจังหวัดจะมีโรงเรียนอนุบาลใหญ่ขนาดนี้คือถ้าหาไม่เจอนี้กุควรไปหาหมอ    

    มาๆกลับมาในช่วงปัจจุบัน เราเดินกันตามท้องถนน ไปเรื่อยๆ ผมไม่กะให้ตัวเองเดินไป 5 กิโลหรอกผมเชื่อว่ามันจะต้องมีนักท่องเที่ยวแบบผมขับรถมาเองบ้างแหละทีนี้เราจะได้ขอติดเค้าไป และฟ้าก็ส่งมาให้ผม ผมได้ยินเสียงรถมาแต่ไกล ผมตั้งท่าชูนิ้วโป้งเหมือนในหนังฝรั่ง มองไปในจุดทีคนขับอยู่ และปิดท้ายด้วยการยิ้มอ่อนนน ถ้านึกไม่ออกให้นึกภาพพระเอกหล่อๆที่กำลังยิ้มให้นางเอง (แต่ดรอปความหล่อลงมานะ) และรถก็เคลื่อนตัวช้าๆมาจอดตรงหน้าผม ค่อยๆลดกระจกลง ผมรีบเดินเข้าไปหา เท่านั้นแหละ ผมนี้แทบกราบเลย พระทั้งคัน !! " เอ่อออ " กุไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดเลย อ้อคนขับไม่ใช่ " พี่ครับพี่ผ่านบ้านระเบียงดาวมั้ยครับ " " มันอยู่ไหนพี่ไม่ผ่าน " ว่าวอีสานใส่ด้วยนะถ้าผมฟังไม่ผิด " ตรงไปอีก 5 กิโลอะครับ " " ไม่ผ่านๆ เอ้อน้องแล้วน้องรู้จักวัดนี้มั้ย " " เอ่อ ไม่รู้อะครับ " ผมจำไม่ได้ว่าวัดอะไร แต่ลุงงง ผมเพิ่งมาเมื่อวานเองน้าาา และลุงก็ขับรถจากผมไป ผมกับน้องก็เลยต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่แย่ขนาดนั้นเพราะ อยู่ดีๆุณลุงที่ขับรถไปก่อนวกกลับมารับพวกผม และบอกว่าเดี๋ยวไปส่ง ตอนนั้นผมดีใจมากๆ เรารีบขนเป้ขึ้นกระบะ ก่อนจะไปนั่งเนียนอยู่กระบะหลัง 55555     แบบว่าหนาวมาก ด้วยความเร็วของรถ บวกกระอากาศตอนเช้าๆ แค่นี้กุก็สั่นแล้ว T T เรานั่งมากันไกลมาก ผ่านแยกใหญ่ๆ ตัดเข้าหมู่บ้าน ไกลจนน้องผมหันมามองหน้าประมาณว่า นี้ถ้าเดินมานะเมิงงง พี่ก็พี่เถอะ ผมเลยมองกลับไปปานจะบอกว่า ไอ่สองง ใจเย็นๆ รุ่นใหญ่อะใจต้องนิ่ง พี่ไม่ให้เราเดินหรอกกกก ก่อนที่จะฆ่ากันตายอยู่หลังรถ ผมตัดบทมาถ่ายรูปก่อนจากตรงนี้ เราจะเห็นดอยหลวงเชียงดาวได้อย่างชัดเจน หมู่บ้านแถวนี้ดูสงบร่มรื่นมากๆ ในความรู้สึกผม มีต้นไม้ใหญ่ๆ รถผ่านน้อยๆ ถึงแม้ที่นี้จะไม่ออกไปทางชนบทมากนัก แต่มันก็เห็นได้ชัดว่า ธรรมชาติและเทคโนโลยีสามารถอยู่ด้วยกันได้ ขณะที่กำลังถ่ายภาพอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นป้ายขนาดใหญ่ป้ายหนึ่ง " เ ข ต รั ก ษา พั น ธุ์ ป่ า เ ชี ย ง ด า ว " ผมเลยหันไปหาปุ้ย "ปุ้ยเราต้องลงที่เขตใช่มั้ย" "ใช้พี่" "นั้นไงเขต" ผมชี้ไปให้ดู "ใช่พี่"       และผมก็นั่งดูป้ายค่อยๆ.. เลย.. ไป.. เฮ้ย !! ผมรีบตีข้างๆรถเพื่อให้ลุงจอดจนพระท่านที่อยู่ข้างใหนสะดุ้ง (ขอโทษค้าบบบบ) ลุกแกถามว่ามีอะไร ผมก็บอกไปว่าจะลงตรงนี้ครรับลุงก็ถามว่าไม่ไปบ้านระเบียงดาวหรอ ผมก็บอกว่าไม่ไปครับ ลุงเขาก็โอเคนะก่อนที่จะตีรถกลับ ผมเสียใจจริงๆที่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนลงเลย เพราะตอนนั้นผมรีบไปหน่อย เราเดินเข้ามาตามป้ายเรื่อยๆจนกระทั้ง เจอป้อมยามเขต ผมได้แต่ยิ้มในใจ "หึหึ สงสัยเขากลัวกุไม่อิน " โอ้โหทางขึ้นอย่างชัน ชันแบบอื้อหือ ขึ้นไปและนอนบนนั้นเลยได้มั้ย ฝั่งตรงข้ามมันก็ทางราบอะทำไมพี่ไม่ตั้งตรงนี๊ !! ผมค่อยๆเดินขึ้นไป เป็นทางชันๆวนๆ เอ้อมันก็สวยดีนะ กลายเป็นว่าเราทำอะไรช้าลงมันทำอะไรให้เราเห็นชัดขึ้น ถ้าถามว่ามันสวยยังไง รูปเปิดอะนั้นแหละครับทางขึ้น ^ ^   และเราก็มายืนเหงาๆกันอยู่ 2 คนกับป้า ที่กวาดใบไม้อยู่   " นี้กุมาเร็วไปใช่มั้ย... "  
    • Posts-4
    Chittapon •  February 02 , 2016

     บทที่ 4 

    ปางวัว  

    ถึงไหนละนะ 55555 ไม่ได้ทำมา 2 วัน พอดีช่วงนีผมติดงานเลยไม่ค่อยมีเวลามานั่งทำเบย หวังว่าทุกคนจะยังไม่ท้อใจรออ่านอยู่นะครับ ^ ^   เรามาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงด่วยตอนประมาณเกือบ 8 โมงครึ่ง กับคุณป้าที่ยืนกวาดใบไม้อยู่ข้างหน้า บอกเราเลยผมมาเป็นกรุ๊ปแรกของที่นี้เลยมาก่อน เจ้าหน้าที่อีก 55555 แต่ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มาถึง พี่ๆเขาบอกให้ผผมรอพี่ที่ทำเอกสารมาก่อน ถ้าผมจำไม่ผิดผมรอประมาณ 20-30 นาทีได้มั้งและพี่เขาก็มา และไม่นานนักกรุ๊ปอื่นก็ตามมา ที่นี้ก็ถึงขั้นตอนการติดต่อ ผมแนะนำให้โทรไปจองก่อน 15 วันในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆหรือไปถึงเชียงใหม่แล้วแต่ดันลืมจอง แนะนำให้โทรไปถามเขาว่ามีวันไหนว่ามาก ถ้าโชคดีอ่าจจะวันนี้พรุ่งนี้ ถ้าโชคร้ายก็อยู่เชียงใหม่หลายวันหน่อย แต่ผมโทรจองเรียบร้อยมาก่อน 15 วันแล้ว การทำเรื่องเอกสารก็ไม่มีอะไรมาก็จะมีเอกสารให้เซ็นโดยมีพี่เขาคอยแนะนำ  

      คือมันพีคก็ตรงนี้ ขณะที่ผมนั่งเขียนเอกสารอยู่นั้น ผู้หญิงจากอีกกลุ่มหนึ่งก็ถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า ปางวัวนี้เป็นยังไงชันมากแค่ไหน เอ้อ ผมก็ตั้งใจฟังเลยเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าปางวัวที่ว่ามันเป็นยังไง จากคำบอกเราจากพี่กุ๊ก ทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาว มี 2 ทางคือ ทางหนึ่งจะไม่ชันมากแต่เดินค่อนข้างไกล ส่วนอีกทางหนึ่งจะชันมว๊ากกก แต่ระยะทางจะสั้นกว่า กลับมาต่อทางเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าทางมันชันอย่างงี้ !! ผมนี้หัวควับเลย ภาพที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ผู้หญิงยกแขนขึ้นมาประมาณ 60 องศาด้วยความยิ้มแย้ม ซึ่งตรงข้ามกับสีหน้ากุมาก แม่มเอ๊ยยยยยย กุว่าแล๊ววว อย่าเชื่อของถูกกกกก     ผมก็พูดขึ้นมาทีเล่นทีจริงว่าผมของเปลี่ยนเส้นทางได้มั้ย พี่เขาก็หันมายิ้ม แล้วก็กลับไปทำงานต่อ กุถอยกลับไม่ได้แล้วซินะ T T ผมทำเรื่องจองเต็นที่เกือบจะไม่มีเต็นดีนะที่พี่เขายังมีเหลือก่อนจะไปผบกับลูกหาบและคนขับรถ ลูกหาบของผมชื่อกล้า เป็นเด็กหนุ่มมากๆน่าจะเป็นรุ่นน้องๆผม แต่เดินไวมว๊ากกก กับลงคนขับรถที่ลุคเป็นคนดุชะมัด ผมจ่ายค่าเข้าบวกเต้นไป 270 และค่ามัดจำขยะอีก 300 ก่อนจะออกเดินทาง ในการเดินทางครั้งผมมีพี่อีก 2 คน ร่วมเดินทางไปด้วย ชื่อว่า พี่อุ้มกับพี่แตง แต่ว่าพี่เขาอยู่ 2 วัน พวกผมกลับก่อน     เรานั่งรถกระบะออกจากเขตตอน 9.15 นั่งรถอากาศหนาวๆวิ่งอ้อมเขาไปยังทางขึ้นปางวัว ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงมั้งถ้าจำไม่ผิด ผ่านด่านตรวจของหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตรงนี้โปรดนำเอกสารที่พี่เขาให้เราติดตัวไว้ยื่นให้เขาและตั๋ว ก่อนจะหยุดอยู่ตรงป้ายอันใหญ่ๆว่า ดอยหลวงเชียงดาว-อ่างสลุง-ปางวัว-ยมโลก เอ๊ย!! อันหลังไม่มี กล้าบอกให้เราขึ้นไปก่อนเลยเดี๋ยวเขาขอจัดของของเขาก่อน ผมมายืนอยู่ทางเข้าปางวัว พยายามบิ้วตัวเองเพราะเดิมเป็นคนที่ปวกเปียกมาก การออกมาเที่ยวคือการมาออกกำลังกลายประจำปี ผมกับทางชันเป็นเหมือนเพื่อนที่ไม่ถูกกันแต่ชอบไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เอาวะ " ถ้ามารู้สึกท้อตอนนี้ก็ไม่ต้องมาตั้งแต่แรก "     ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆตามทางในช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยมีอะไรมากเดินสบายๆ แต่พอผ่านจุดที่เป็นศูนย์รวมไม้เท้าเนี่ยดิอันนี้ซิของจริง เป็นทางขึ้นที่ชันมากชันประเถทที่ว่าเดินขึ้นไปผมเหมือน ไมเคิลแจ็สันที่ทำท่าโน้มตัวไปข้างหน้าอะ มันก็เหนื่อยดีนะ แต่ไม่เท่าไอ่สิ่งที่อยู่ข้างๆ ใยแมงมมุม ใยแมงมุมเต็มไปหมดเบยยย โอ้โหอย่าได้ให้ล้มเข้าไปเชียว ถ้าล้มเข้าไปนี้ฟิลลิ่งเหมือนโดนซอมบี้กัดอะ "ปุ้ยฆ่าพี่เถอะอย่าให้พี่ทรมานเลย T T "     เดินขึ้นมาได้เกือบ 1 ชั่วโมงเริ่มขึ้นเขาละ ทางซ้ายจะเหมือนเป็นหน้าผามองออกไปจะเป้นภูเขาที่เรียงกันอย่างหนาแน่น และมีหมู่บ้านที่เราเห็นอยู่ไกลๆ ทางเดินตรงจะชื้นมากผมคาดว่าน่าจะมาจากน้ำค้าง ทำให้เราจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวั... ตุบ ตุบ ตุบ ห๊ะเดี๋ยวๆเสียงไร เฮ้ยๆ ท่าไม่ดีละ ผมกับน้องต้องรีบหลบไปข้างทาง(ที่ไม่ค่อยจะมี-*-) เป็นลูกหาบ 2 คนวิ่งแข่ง rally กันลงมาอย่างสนุกสนาน ยัง ยังไม่พอ ตามมาด้วยขบวนของนักท่องเที่ยวอีก 3-4 คน เป็นการแข่งขันที่ค่อนข้างสูสี ถึงแม้ลูกหาบจะอัพ agi มาเยอะแต่กลุ่มนักท่องเที่ยวนั้นยังมีสกิลกลิ้งอยู่ เป็นไปได้ว่าท้ายการแข่งขันนั้นเกมส์อาจจะพลิกได้ ถุ๊ย !! มันจะสนุกกันไปละคุณขาาาาา     เราค่อยเดินไปเรื่อยหยุดบ้างเดินต่อบ้างเดินจนลูกหาบตามทัน ระหว่างทางจะมีคนเดินลงสวนมากมาบ่อยมาก และวิธีทักทายที่ดีที่สุดคือการยิ้มให้ เพราะจังหวะนั้นคงไม่ค่อยมีใครอยากคุยกันสักเท่าไหร แต่ทีเด็ดอยู่ที่มีคุณน้าคนหนึ่งลงมาตอนลงมาเรามองหน้ากันและก็ยิ้ม แต่พอเดินสวนกันเท่านั้นแหละ เหมือนมีเสียงกระซิบนิ่มๆ ผ่านเข้ามาในหู " อีก 5 กิโล " ห๊ะ อารายน้าา เหมือนผมฟังไม่ชัดดดด  
    • Posts-5
    Chittapon •  February 03 , 2016

      บทที่ 5   6 ชั่วโมง   เอาซะผมไม่ได้ยินที่ป้าคนนั้นพูดละกัน 5 กิโล อะไร๊ ไม่เห็นรู้เรื่องเล๊ย 500 เมตรรึป่าว จะแกล้งผมใช่มั้ยล้าา ผมรู้ทันนะนั้น 55555แม่ม555เอ๊ย5555 หลังติดสตั๊นอยู่สักพักผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเราเหลือเวลาอีกเยอะนี้ก็เพิ่ง 11 โมงเอง "น้องขึ้นมาตอนกี่โมง" ห๊ะ !? "ตอน 9 โมงครับ" ผมตอนพี่คนหนึ่งที่เดินผ่านลงมาหลังจากยิ้มให้ตามระเบียบ "รีบหน่อยนะเราขึ้นมาเลทมาก" .... พี่เป็นใครเนี่ยยยย !! นี้พี่เป็นพวกกับคุณป้าคนที่แล้วใช้มั้ยยย ถ้าคุณป้าคนเมื่อกี้เป็นตัวเปิด พี่ก็เอา GG ไปเลย   มันทำให้ผมต้องยืนคิดอยู่แปบนึงว่ากุควรต้องรีบมั้ย ซึ้งได้คำตอยว่า "ก็ไม่นะ" ไม่ควรรีบ ? "ไม่ควรมานั่งคิดเมิงรีบขึ้นเถอะครับโถวไอ่สลอต" เราเดินขึ้นมาเรื่อยๆระหว่างทางก็เจอพี่อุ้มกับพี่แตงที่ขึ้นมาที่หลังแต่นำผมไปแล้วนั่งพักอยู่ คือพี่ทั้ง2คนแบกกระเป๋ามาใหญ่มากด้วยความสงสัยผมเลยขอพี่เขายกดู อยากรู้ว่ามันหนักจริงรึป่าวเพราะพี่แกเดินขึ้นกันไว้มาก 2 มือผมกำหมับที่สายสะพายและก็ออกแรงฮึบ.. ผมคิดในใจ "อื้อหือ อย่างกับยกค้อนธอร์" คำนวนคร่าวๆ เอาว่ายกไม่ขึ้น     ผ่านช่อกหิน ดงกล้วยใช่ดงกล้วยเป็นอะไรที่ผมก็งงนะว่ามาได้ไง เราก็เดินมาถึงทาง ลง ลง ลงและก็ใช่ ลง จนเริ่มใจคอไม่ดีละ เจอทางลงแบบนี้ ชันๆแบบนี้ใช่เลย ทางลงในวันนี้คือทางขึ้นในวันข้างหน้า พอใกล้ๆจุดที่ต้องเดินขึ้นเราเจอชายหนุ่ม 2 คนเดินลงมาพร้อมกับข่าวดี เขาพวกผมว่าอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงครึ่งทาง ผมดีใจมากอย่างน้อยเราก็มาได้ถึงครึ่งทางแล้ว ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู อื้มม ตอนนี้เรามาถึงครึ่งทางตอนเที่ยง ต้องเดินทางต่อไปไม่รู้กี่ชั่วโมงกว่าจะถึงที่พัก อย่างต่ำก็ 3 ชั่วโมง ต้องขึ้นไปต่ออีก กว่าจะถึงยอด 2225 เพราะผมอยากขึ้นไปถ่ายภาพก่อนพระอาทิตย์ตก พอคิดๆดูแล้ว ข่าวดีกุกลายเป็นข่าวร้ายทันทีเลย   เราเดินมาถึงป้ายที่เป็นจุดบรรจบกันของทางที่มาจากเด่นหญ้าขัดและปางวัว ใช่ครับเรามาถึงครึ่งทางแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นเหล่าฝรั่ง ลูกหาบ คนไทย นอนตา.. ไม่ใช่ นอนพักกันแบบพลีกายถวายขากันเลยทีเดียวเชียว พอคิดถึงตอนนั้นผมก็อดขำไม่ได้ มันเหมือนฉากในหนังสงคราม ผมเดินผ่านพวกเขาเหมือน พระเอกที่กำลังเดินผ่านกลุ่มทหารที่ประถมพยาบาลเหล่าคนเจ็บที่ใกล้จะสิ้นใจ เป็นความรู้สึกสิ้นหวังและฮึกเหิมในเวลาเดียวกัน มีเสียงดังอยู่ในหัวผมมันบอกว่า ใช่แล้วเราต้องต่อสู้เพื่อพวกเขา !! ผมหยิบปืนและวิ่งออกไปเพื่อคว้าชัยชนะกลับมาให้พวกพ้อง กุจะสู้ !! ป่าวหรอก กุไม่ใช่พระเอก กุไม่ได้จะไปคว้าชัยชนะอะไรด้วย กุแค่กำลังเดินหาที่นั่งและนอนตายเหมือนพวกคุณเมิงเนี่ยแหละครัช..   เราจะเจอต้นพญาเสือโคร่ง เกือบตลอดทางจะผมนึกขึ้นได้ว่า ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ออกดอกพอดี โชคดีจริงๆ เพราะผมไม่เคยเห็นต้นที่ออกดอกได้เต็มที่ขนาดนี้ มันทำให้ผมยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เรามักจะมองว่าดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ แต่เป็นแค่หนึ่งในสัญลักษณ์ของความอ่อนโยน มันเป็นสิ่งที่เราทุกคนมี เรามักคิดว่ามันจะทำให้เราอ่อนแอ แต่ป่าวเลยมันเป็นแค่อีกมุมมองหนึ่งของเรา จนบางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้เรามักจะมองว่ามันโลกเละเทะหรือจริงๆเราแค่เลือกที่จะมองแต่ในส่วนนั้น แต่อย่างน้อยก็มีที่หนึ่งละที่ไม่ใช่ ^ ^   ผมชอบเดินทางกับคนที่สนิทและสามารถคุยเล่นได้ในระดับหนึ่ง ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วเสน่ห์ในการเดินทางคือการค้นหาบางอย่างและความสนุกระหว่างการเดินทาง เราไม่จำเป็นต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกันแต่เราจะเติมคำใบ้ให้แก่กันและกัน ผมเป็นช่างภาพ น้องผมเป็นนักอนุรักษ์ ผมพร้อมจะปลิดชีพแมงมุมทุกตัวที่เจอ แต่น้องผมเลือกที่จะปล่อยมาและรู้ถึงความเป็นอยู่ของมัน ผมนั่งเฝ้ารอช่วงเวลาที่สำคัญ แต่น้องผมไม่เข้าใจว่าผมรออะไร เห็นม่ะ เรา 2 คนพี่น้องแม่มเดินคนละทางเลยแต่บางคำใบ้แค่เราคนเดียวหาไม่ได้หรอก เราแค่ต้องอาศัยมุมมองของกันและกัน อะแต่มีสิ่งนึงที่ผมกับน้องเหมือนกันคือชอบเดินป่า ใช่แล้วน้องผมชอบมาก ชอบเดินมาก ชอบมากจนเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแต่กุกับป่าไม้อีกแล้ว ... ไสว่าสิบ่ทิ้งก๊านนนนนน     หลุดออกมาจากป่าทึบเราจะเห็นยอดเขา 3 พี่น้องชัดเจนขึ้น ทางทั้งสองขึ้นเราแปลเปลี่ยนจากต้นไม้หนาทึบเป็นต้นหญ้าสูงๆ มองไปไกลๆเราจะเห็นภูเขามากมายเรียงต่อกัน ด้านหน้าเราจะเห็นภูเขาสูงๆอยู่ลูกหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยหลังจากที่เดินทางมาตอนนี้ก็ 6 ชั่วโมงแล้ว คือจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ไหน เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศค่อนข้างเย็นแม้จะมีแดดส่องก็ไม่ทำให้รู้สึกหนาว มันรู้สึกโดดเดี่ยวจนคิดเล่นว่านี้กุหลงป่ารึป่าว เพราะเหมือนทั้งป่ามีผมกับน้องอยู่ 2 คน เหนื่อยเป็นคำพูดที่ผมบอกตัวเองมาเกือบตลอดทางแต่แปลกมันก็ไม่ทำให้กำลังใจผมลดน้อยลงไปเลย ผมหันกลับไปมองเส้นทางที่ผมเดินผ่านมาแค่อยากรู้ว่าผมเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้ว โอโห ผมเดินมาไกลมาก ผมได้แต่ยืมยิ้มกับระยะทางที่ตัวเองได้ชนะมา และหันกลับไปร้องไห้กลับระยทางยังเป็นปริศนาอยู่ข้างหน้า ส่วนน้องผมก็น่ารัก "พี่เจเชื่อมั้ยพอถึงเขาลูกนู้นข้างหน้าอะ เราจะต้องเดินอ้อมเขาไปอีก" "บ้าน่า ถ้ามันอ้อมนะ พี่จะลงไปคุยกับเขตเลยให้วางทางใหม่" ผมก็พูดออกไปเล่นๆ แต่อ้อมภูเขาอะแม่มดันจริง!! จนผมคิดว่าถ้าน้องผมบอกว่าอ้อมอีก ผมจะจับมันโยนหน้าผาลงไปเลย นี้ก็บอกว่าอ้อมจัง!! ลงไป !!!! 55555 !!!! (ซ้อมเล่นใหญ่ๆ)       เราเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เราค่อยๆเดินอ้อมเขาที่ละนิดทีละนิด ขวามือผมเป็นภูเขาส่วนซ้ายมือผม ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกอะไร มันเป็นก้อนหินน่าจะหินปูนตั้งอยู่เป็นร้อยก้อน คือมันเยอะจริงๆ เนียงเป็นระเบียบจนน่าตกใจ ผมขนานนามจุดนี้ว่าทุ้งหญ้าซาวาน่า เพราะแแดดตอนเย็นมาส่องลงมาเปลี่ยนทุ้งหญ้าตรงนี้ให้กลายเป็นสีเหลือง มีเสียงตะโกนมาจากด้านบนคือกลุ่มพี่กลุ่มหนึ่ง ตะโกนมาบอกพวกผมว่า สู้หน่อยน้องจะถึงแล้ว และพี่แกก็ตะโกนร้องเพลงต่อ "บอกให้รู้ไว้ หัวใจรักจริง ไม่เคยทอดทิ้ง ให้ใครเสียใจ" ไอ่เพลงนี้อีกละ!! ทำไมชอบร้องกันจังตอนขึ้นเขาเนี่ยยย !!   ที่นี้หลุดจากทุ่งหญ้ามาเป็น ป่าทึบเหมือนเดิมเราเดินกันแบบมึนด้วยความเหนื่อยล้าเดินไปเดินมา ก็ไปเจอเข้ากับป้ายป้ายหนึ่ง "กางเต้นส์" ป้ายชี้เข้าไปในป่าลกๆมีทางแยก 2 ทาง เอ้าแล้วทางไหนอะ มองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอใคร ผมยืนทำตาปริบๆอยู่แปบนึง สภาพป้ายนี้ เหมือนคนทำหล่นแล้วก็เผลอเหยียบๆและก็เอามาแปะไว้กับตอไม้เพราะกลัวเจ้าหน้าที่จะด่า ก่อนจะนึกสงสัยว่า นี้มีใครแกล้งกุป่ะเนี่ย  
    • Posts-6
    Chittapon •  February 03 , 2016

    บทที่ 6  

    มอดอร์  

    บนภูเขาที่สูงถึง 2225 เมตร บนนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกทิศที่มาเพื่อพิชิตยอดเขาแห่งนี้ ทุกคนรู้สึกดีใจที่ตัวเองมาถึงจุดหมายปลายทาง ผมเองก็รู้สึกเหมือกับพวกเขา แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึก มันคือการมาถึงจุดหมายที่ "ว่างเปล่า"   ผมยืนมองป้ายบอกทางด้วยความสงสัย มันมาทางแยก 2 ทางปัญหาคือมันชี้ไประหว่างกลางทางแยก มันต้องมีใครกวนที_กุแน่ๆเลย ผมซุ่มเดินเข้าไปในเส้นทางหนึ่ง เราเดินไปเจอกับกลุ่ใลูกหาบมั้งและก็นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ผมถามเขาว่าจุดกางเต้นส์ไปทางไหนเขาก็บอกว่ามันไปได้ 2 ทางอะแหละ เขาถามผมกลับว่ามากับใคร ผมนิ่งไปแปบนึง "เอ้อ ลูกหาบกุชื่ออะไรฟะ" จนเขาย้ำอีกทนึง ผมเลยพูดพรวดไปเลยว่า "เก่งกล้า" ครับ ทีนี้ถึงฝ่ายพี่เขายืนงงบ้างละ 5555 แต่ก็เหมือนว่าเขาจะเข้าใจว่าลูกหาบผมชื่ออะไรเลยชี้ไปทางด้านบน เขาบอกผมว่าขึ้นไปทางนี้ก็ได้จะได้ไม่ต้องอ้อม ส่วนกิ่วลมไปทางนี้นะ และก็ยอดดอย 2225 ไปทางนู้น ผมขอบคุณพี่เขามากๆที่บอกทางให้ผมติดอยู่นิดนึง คือทางทางที่พี่เขาชี้ไปคือป่าหมดเลย มันเลยชัดเจนว่าแค่หันหลังผมก็ลืมแล้ว 5555   เราเดินเข้าไปในทางที่พี่ลูกหาบเขาบอกไปเจอกับเหล่าเต้นส์นักท่องเที่ยวมากมาย คนมาเที่ยวที่นี้เยอะมาก ตอนแรกผมไม่คิว่าคนจะขึ้นมาเที่ยวที่นี้เยอะขนาดนี้ เพราะมันสูงมากจนไม่คิดว่าจะมคนเลือกเดินทางมาที่นี้ แต่ผมก็คิดผิด ผมเดินหา กล้าลูกหาบของผมที่ หายสาบสูญไปตั้งแต่บทแรกๆ ผมเดินไปเจอกับพี่อุ้มกับพี่แตงเราแวะทักทายกันก่อนจะถามหากล้าที่หายสาบสูญไป และก็แน่นอนว่าพี่เขาไม่เห็น "พี่ครับ" ผมหันตามเสียงไปก็ผมพบกับกล้าและบอยแบรนย์ของเขา อีก 2 คน ผมไปสะดุดตาเข้ากับเต้นส์สีส้มที่กางอยู่กลางแดด ร้อนขนาดนี้ยิ้มเตาอบกลางแจ้งชัดๆ ที่ร่มเป็นร้อยมาตั้งอะไรตรงนี้วะ แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรแค่ขอไม่ใช้เต้นส์กุก็พอ ผมเข้าไปทักทายกล้าและถามเข้าว่ากางเต้นไว้ตรงไหน กล้ายิ้มและตอบกลับมาว่า ครับ และชี้ไปที่เต้นสีส้มที่ตั้งอยู่ข้างๆ ใช่ครับไอ่เต้มส์สีส้มเนี่ยแหละเต้นส์ผม -*- "นี้โกรธอะไรปะเนี่ยย"    

    เราเอาของโยนเข้าไปในเต้นส์จัดให้เรียบร้อยก่อนจะนอนแผ่ลงไปด้วยความอ่อนล้า แดดที่ส่องลงมามันช่าง.. ร้อนชิ_หาย !! ความสูงไม่ได้ทำให้กุเย็นเลยและแดดตอนบ่าย 3 นี้มันช่างแม่เจ้าาา กุขอเข้าไปนอนในพุ่มไม้ได้มั้ย แต่น้องผมก็บอกผมว่า "พี่เจที่กล้าทำมันก็ถูกแล้วนะ" "ถูกยังไงนิ" ผมถามด้วยความสงสัย "ก็ถ้าเราไปอยู่ใต้พุ้มไม้ช่ะ เวลาดึกๆน้ำค้างมันจะแรง ถ้าเราอยู่ใต้ต้นไม้ เต้นส์เราไม่มีไฟล์ชีท น้ำนี้ท่วมเลยนะ กล้ามันช่วยเรานะพี่" "เฮ้ยจริงอะ" จากที่งอลๆผมนี้ตื้นตันกับความหวังดีของกล้าเลย เหยดเข้นายยิ้มโอเคว่ะเรารักนาย นั้นคือก่อนที่เราจะได้ยินเสียงร้องกันอย่างสนุกสนานที่เต้นส์ของกล้าใต้ต้นไม้ "พี่เจดึกๆเราไปล้มเต้นส์กล้ากันมั้ย ปุ้ยว่ามันร่าเริงเกินไป" "เอ้า!! แล้วความเป็นคนดีเมื่อกี้มันหายไปไหนละลูกกก" ความร้อนไม่เข้าใครออกใคร   เรานอนพักผ่อนกันแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะผมอยากจะขึ้นไปดูทำเลถ่ายรูปก่อน ตอนนี้ประมาณ 4 โมงเย็นผมเดินไปหากล้า เขาว่าเราสามารถขึ้นไปยอดเลยได้ใช่มั้ย กล้าก็บอกใช่ครับและชี้ไปตรงทางขึ้นข้างๆเต้นส์ นี้ทางขึ้นอยู่หลังบ้านกุเลยหรออออ โอ้วผมเริ่มจะรักผู้ชายคนนี้ขึ้นมาหน่อยๆแล้วว เอาจริงๆจุดกางเต้นส์มันก็ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของยอดดอยพอดี เราขึ้นผ่านหญ้าสูงนิดหน่อยก็เริ่มเจอกับก้อนหินปูนที่ถูกวางๆเป็นทางเดินขึ้นไป ตรงนี้สำหรับคนที่กลัวความสูงเช่น กุ เป็นต้นอาจจะต้องเดินกันฮำหดนิดๆหน่อยๆเพราะมันหวาดเสียวมาก ซ้ายเหวขวาก็เหว บางที่ก็ต้องเลือกว่าจะตายแบบไหนซ้ายก็แบบโซเชี่ยลหน่อยเป็นเต้นส์พอดี ส่วนขวาก็สงบหน่อยเป็นป่า(ทำไมกุต้องเลือกฟ่ะ -*-) และชันแบบไม่เกรงอกเกรงใจกุเลยเช่นเดิม แต่ก็ได้ฟิลลิ่งที่ลุยๆไปอีกแบบ   ความพีคมันอยู่ตรงที่ผมดันไปนึกถึงหนังเรื่อง the lord of the ring สภาพตอนนี้กุนี้เหมือนโฟโด้เอาแหวงขึ้นมาทำลายที่มอดอร์เลย แหวนเจ้ากรรมที่ต้องเอาไปทำลายถึงหน้าบ้านเจ้าชองมัน นำโดยพ่อมดขาว.. ไม่น่าใช่ นำโดยพ่อมดที่คล้ำๆหน่อยน้องผมเองงงง ตามด้วยโฟโด้ตัวดำปี๋ที่เหมือนต่อสู้กับปีศาจไฟแทนแกนดาฟ กำลังปีนป่ายเอาแหวนขึ้นไปทำลายที่ปากป่องภูเขาไฟ การเดินทางที่สุดแสนจะอยากลำบากใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ด้วยสภาพฮอบบิตที่เหมือน HP จะหมดทำให้มันช่างดูสูงกว่าที่มันควรจะเป็นเหลือเกิน ส่วนท่านแกรนดาฟกุนี้ นี้ท่านเดินหรือท่านวาร์ป เดี๋ยวไปโผล่ตรงนู้นเดี๋ยวไปโผล่ตรงนี้ ท่านแกรนดาฟรอกุด้วยยย !! นี้เอาจริงๆเรียกนกขึ้นไปส่งเลยได้มั้ย คือไม่ต้องรอถึงตอนจบค่อยมารับกุ -*-         และ ใน ที่ สุด ผมก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ !! ยอดดอย 2225 สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือเซฟฟี่กับป้าย 55555 จากตรงนี้มันดูกว้างใหญ่เหลือเกิน คำว่าเหนื่อยที่ผมมักพูดมาตลอดทางมันกลับมีน้ำหนักที่เบาบางเมื่อเที่ยบกับ สิ่งที่ผมมองเห็น ยอดเขาสามพี่น้องดวงอาทิย์ที่กำลังใกล้จะตก เป็นภาพที่ผมนั้นฝันถึงตลอดแต่ตั้งพี่กุ๊กเล่าให้ผมฟัง มันดูห่างไกลเพราะความสูงของมัน แต่ความกล้าและความบ้าของผมมันไปได้สูงกว่านั้น ผมเดินหามุมที่คาดว่าจะโอเคที่สุด แต่ก็ยั้งมีบางกลุ่มที่ขึ้นมาก่อนผม ก่อนที่จะลงหลังปักฐานตรงแถวๆทางที่ต่อไปอีกหน่อยทางทางขวาของป้ายตรงนั้น มันคือช่วงเวลาที่ผมจะได้จ้องมองมัน จดจำ สัมผัสถึงมันได้อย่างจริงจังสักที   ผมรอคอยดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็มิวายให้น้องถ่ายรูปตัวเองให้ จนน้องผมพูดขึ้นมาว่า "พี่รู้ป่ะถ้าไม่มีผ้าเข่าม้าพี่จะดูดีมากเลย" เป็นคำพูดที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าทำไมผมถึงเอามาด้วย ผ้าเข่าม้าเป็นผ้าที่สารพัดประโยชน์มาก มันไม่หนามากและก็ไม่บางจนเกินไป มันกันหนาวกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง และมันก็แห้งไวปานเส้นใยนาโน ผมจึงชอบพกมันเวลาออกเดินทาง กับ อีกเหตุผลหนึ่งมันเป็นของพ่อผม คือพ่อของผมยังอยู่นะยังหล่ออยู่เหมือนเดิม แต่ผมพกมันไว้ผมให้มันคือตัวแทนของเขา ผมคิดเสมอว่าอยากพาท่านออกเดินทางบ้างแต่ด้วยอายุที่ปาเข้าไป 70 แล้ว ผมจะคิดได้แค่ว่าถือว่าเป็นการเอาคืนตอนเด็กๆที่พ่อหนีเที่ยวกับแม่สองคนละกัน 5555 หลอกๆ พ่อผมมักจะพูดติดตลกเสมอว่า อยากไปไหนไปเลย อยากทำอะไรทำเลย มีพ่ออยู่ไม่ต้องกลัว มันฟังดูเวอร์ๆแต่มันก็ทำให้ผมกล้าเสมอ ผมถึงพกมันไว้พอเห็นทีไรทุกคำสอนของพ่อจะพุ่งเข้ามาในหูตลอด คำด่าก็เช่นกัน   ในสายลมที่โหรมกระหนั่ม แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆค้อยต่ำลง เมื่อทุกอย่างมันนิ่ง ความตื่นเต้นในใจเริ่มเบาบางลง ผมกลับพบว่ามันเป็นการพิชิตยอดเขาที่ว่างเปล่า ผมมาเพื่อที่จะชนะ ผมก็ชนะและไงต่อ... มันเป็นเรื่องปรกติที่เราจะแชร์ประสบการณ์ลงเฟสเพื่อที่จะบอกให้รู้โลกรู้ว่า มันสวยมากอะแกกกกก 5555 แต่แล้วไงละมันก็แค่ปะปาย คุณมีคนเป็นพันคนมองเห็นมันรับรู้ถึงมัน แต่จะมีสักกี่คนที่ที่คุณอยากเป็นคนบอกกับเขาด้วยตัวเองว่า คุณตื่นเต้นมากแค่ไหน บอกเขาว่ามันสวยเกินกว่าที่คุณคิดไว้มากแค่ไหน อยากจะเล่าช่วงเวลานั้นให้ฟังแบบเรียวไทม์เลย ตั้งแต่พระอาทิตย์ค่อยๆหล่นลงมาจนลับขอบฟ้า ผมเปิดไล่ดูตามรายชื่อเฟสบุ๊คดูว่าคนแบบนั้นมันพอจะมีมั้ย คนที่สำคัญขนาดนั้น ผลลัพของมันก็คล้ายๆกับการหาว่าแฟนของชั้นเป็นใคร ซึ้งมันก็ตอบสั้นๆว่าไม่มี เอาจิงๆตั้งแต่ผมเลิกกับแฟนและเทเพื่อนตัวเองทิ้ง ในเฟสนี้ก็ไม่มีใครที่สำคัญพอขนาดนั้น ผมมองออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย กับคำพูดที่พูดออกมาลอยๆ "แม่ งเป็นความสุขที่เหงาชิปหา_เลย"  

    แต่อยู่ดีๆผมก็ฉุดคิดถึงคนๆนึง แม่ผมเอง ในตอนเด็กๆเราเริ่มต้นกันไม่ค่อยจะดีนัก พอเมื่อผมโตขึ้นผมเลยค่อยๆตีตัวออกห่าง แม้ว่าเราจะไม่ค่อยตึงกันแบบเมื่อก่อนแต่ก็ไม่ได้คิดจะโทรในบรรยากาศแบบนี้ แม่ผมเป็นคนที่ทะเลาะด้วยก็ไม่เคยเอาผมไปนินทา(อาจจะบ้างนิดหน่อยๆกับญาติ) ถึงจะหัวเสียกับผมบ่อยๆก็ไม่เคยจะบอกเลิก "กุเลิกเป็นแม่เมิง" (แบบนี้ก็ได้หรอ) ไม่รู้ว่าผมเอาครอบครัวทิ้งไว้ข้างหลังตอนไหนพอรู้ตัวอีกที "ผมก็ลืมไปแล้ว" ผมวีดิโอไปหาแม่ แต่ด้วยระบบที่ดีแสนดีเลยต่อไม่ติด แม่ผมก็โทรมานะว่ามีอะไร ผมก็บอกแม่ไปว่าเปิดวีดิโอมันสวยมากอยากให้เห็น แม่บอกมันเปิดไม่ได้ คอลในไลน์มา ผมงมโข่งอยู่สักพักก่อนจะตัดสนใจส่งรูปไปแทน เหมือนความเหงามันหายไปช่วงเวลานึง กุก็ไม่ได้ตัวคนเดียวขนาดนั้นนี่หว่า กุก็ยังมีคนให้คิดถึงอยู่นะ ผมถอดแหวนแห่งความเดียวดายออก โยนมันลงไปในปากป่องภูเขาไฟ ผมยืนมองมันค่อยๆละลายไปจากความรู้สึกโชคดีที่ไม่มีกอลั่นมากัดนิ้วผมขาดในตอนนั้น ก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า "ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว"  

     

    "เราอยู่กันแบบห่างๆเหมือนคนแปลกหน้า แต่ไม่คิดจะทิ้งกันและคอยเป็นห่วงเสมอ" นิยามของคำว่าครอบครัวในตอนนี้  

     

    • Chittapon  ขอบคุณครับ ^^ จริงเหลืออีกตอนนึงนะ 09 February 2016 02:09:53
    • Yanee  เจ๋งมากเลยค่ะ 08 February 2016 22:38:51
    • Posts-7
    Chittapon •  February 09 , 2016

    บทที่ 7  

    หมาป่า และ อีกา    

    " ไม่นานเราก็จะลืม " ผมเห็นด้วยนะกับประโยคนี้เมื่อเวลาผ่านไปเราจะค่อยๆลืมทุกแรงบันดารใจแล้วเรื่องราวที่แสนพิเศษต่างๆ เหลือไว้แต่เพียงแค่บางสิ่งที่เลือนลาง ไม่นานผมก็คงจะลืมทุกการเดินทางที่ผมเคยผ่านมาและเดินหน้าสู่การเดินทางครั้งใหม่ๆ แต่ผมมีทริคอยู่นิดนึง ทุกการเดินทางของผมจะมีเพลงประจำตัวอยุ่เมื่อไหรก็ตามที่ได้ยินเพลงนี้ผมจะจำได้แม้กระทั้งคำพูดที่เราพูดกันในการเดินทางครั้งนั้น ที่ดอยม่อนจองผมมีเพลง Step out ของ Jose Gonzalez คอยเตือนความทรงจำ และที่แปลกก็คือเพลงเหล่านี้ผมไม่สามารถใช้ซ้ำกับที่อื่นได้ จนผมรู้สึกได้เลยว่าทุกที่ที่ผมไปเหมือนจะเลือกเพลงของตัวเองไว้แล้ว ที่ดอยหลวงเชียงดาวก็เช่นกัน  

      เรามาถึงข้างล่างตรงที่พักประมาณ 1 ทุ่ม ผมก็เพิ่งสังเกตุเห็นว่ามีเต้นส์อื่นมากลางอยู่ข้างๆค่อนข้างใหญ่มากผมก็ไม่ค่อยได้ทักทายอะไรเขามากแค่ถามเขาว่าห้องน้ำไปทางไหน กฎของที่นี้ห้ามใช้เสียงหลัง 4 ทุ่มเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นและสัตว์ป่า มั้ง (เอ้า -*-) ก่อนนอนผมเลยแวะเข้าห้องน้ำนิดหน่อย จนเพิ่งมารู้ตัวว่าอากาศข้างนอกหนาวมากจนผมหายใจเป็นไอ อย่างเท่นี้พูดเลยว่าตอนนั้นหายใจออกมากว่าหายใจเข้าอีก แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือเวลาถอดกางเกง อื้อหือ เปิดช่องนิดเดียวหนาวยันปลายคิ้ว จนคิดว่าถ้ากุฉี่ออกไปมันจะกลายเป็นน้ำแข็งเหมือนในคลิปฝรั่งมั้ย   ผมล้มตัวลงนอนอย่างจริงจังตอนเกือบ 2 ทุ่มถามว่านอนหลับมั้ยไม่เลย เพราะเสียงเต้นส์ข้างดังพอควรแต่ผมก็ไม่โกรธอะไรเขานะแถมฮาอีกตั้งหากเหมือนนั่งฟังตลกคาเฟ่ผสมคำคมจากอ่อนนุชยังไงไม่รู้ แต่ความชอบใจของผมกับหมดลงเมื่อตอนเที่ยงคืน ขณะที่ผมเคลิ้มๆใกล้จะหลับก้มีเสียง ดัง คร่อกกกกก !!! คึก คึก คร่อกกกก !! แครก !! ดังจริงๆ ดังจนนึกว่ามีคนมากรนอยู่หน้าเต้นส์ ดังจนผมสงสัยว่าพวกพี่ๆนอนกันได้อย่างไรรรร คือยอมรับเลยไม่เคยเจอคนที่มีพลังปรานแกร่งกล้าขนาดนี้ ผมว่าพ่อผมหนักแล้วนะพี่คนนี้เหมือนหลุดมาจากเขาคุนหลุนอะ จนจากผมโมโหกลายเป็นเริ่มจะเป็นห่วงพี่แกละ กลัวว่าพี่แกจะเป็นอะไร สรุปคือหลับๆตื่นๆทั้งคืน ป.ล และหนาวมากในตอนกลางคืน 7 องศามั้ง     ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 4 เนื่องจากเสียงพี่จอมยุทธผสมกับนาฬิกาปลุก เช้าวันนี้เรามีแพลนเดินทางไปที่กิ่วลม กิ่วแปลว่าอะไร ไม่รู้ ทุกวันนี้ผมยังหาคำตอบอยู่เลย ผมกับน้องออกมายืนปรับสภาพร่างกายอยู่หน้าเต้นส์บังเอิญเจอพี่คนนำทางของเต้นส์ข้างๆ เขาบอกผมว่าไปกิ่วลมหรอ ไปได้เลยนะ ห๊ะ ไปได้เลยหรอ ผมก็ถามพี่เขาว่าไปทางไหนพี่เขาก็ชี้เข้าไปในป่ามืดๆ ผมกับน้องนิ่งอยู่สักแปบนึงเหมือนพี่เขาจะรู้ทัน พี่เขาบอกว่างั้นไปกับพี่ แต่ประมาณตี5ครึ่งนะ ผมก็โอเคเพราะมันมืดจริงๆมืดจนผมไม่กล้าพาน้องเดินไป และพี่เขาถามผมว่ามีกาแฟมั้ยเพราะว่าพี่เขาจะต้มน้ำร้อนข้างบนจะได้ต้มกินได้ ด้วยความเกรงใจพี่เขามาก ไม่มีครับ ผมตอบด้วยความมั่นใจ(โถ่วว) พี่เขาค้นๆและหยิบกาแฟมาให้จากในเต้นส์   เราออกเดินทางตอนตี 5 ครึ่งขึ้นสู่กิ่วลมคณะเดินทางตอนนี้มีทั้งหมด 7 คนรวมผมกับน้อง หากใครคิดว่าทางไปยอด 2225 ว่าเลวร้ายแล้วคุณคิดผิด นอกจากจะสูงแล้วแถมไกลให้กุด้วย หอบจนจะขาดใจ คนข้างบนบอกจะถึงแล้วจนหลายจะถึงก็ยังไม่ถึงสักที และข้อเสียของการเดินทางเป็นกรุ๊ปคือเราช้าไม่ได้เพราะคนข้างบนรออยู่ ทำให้ผมต้องจ้ำขึ้นไปให้เร็วกว่าเดิม ทางต่างระดับค่อนข้างเยอะถึงมันจะไม่ถี่เท่ายอดเชียงดาวแต่ระยะทางก็ทำให้จุกได้เหมือนกัน เราเดินมาเรื่อยๆในความมืด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ไหน รู้แต่ว่าต้องเดินไปเรื่อยๆแต่อย่างว่าอะแหละทุกการแสดงย่อมมีผ้าม่านขนาดใหญ่ปกปิดโชว์ที่แสนวิเศษไว้อยู่   เรามาหยุดอยู่ตรงหมู่ก้อนหินปูนที่เรียงรายอยู่หลายก้อนทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก พี่ที่นำทางเราบอกว่าเราจะมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตรงนี้แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่กิ่วลมนะ ไม่เป็นไรครับพี่ตอนนี้ลมจะจับผมแล้ว ผมเลือกหามุมดีๆตั้งขาตั้งและนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น พอสติกลับมารู้ตัวเลยว่า ชิปละกุป่วยแน่ะๆ เพราะเหงื่อที่ออกชุ้มไปทั้งตัวกับลมอากาศที่แสนจะเย็นจนปุ่ม shift หาย มันเป็นความหนาวที่ผมควบคุมไม่ได้อาการลุ่มๆมาละกลัวปอดจะบวม แม่มทำอะไรไม่ได้จริงๆได้แต่ยืนทนอยู่แบบนั้นจนกระทั้งพี่ที่นำทางเดินมาหาผม     เคยดูโฆษณากาแฟมั้ยที่จะเป็นแบบใส่ชุดเสื้อผ้าหนาๆห่มผ้าห่มถือถ้วยกาแฟร้อนๆด้วย 2 มือหน้าตาดูอบอุ๊นอบอุ่น ตอนเด็กผมเคยลองทำนะเผื่อจะฟินเหมือนในโฆษณา แม่ด่ายับเลยทำแก้วแตก -*- ร้อนชิหายถือได้ยังไง ไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั้งวันนี้ พี่ที่นำทางเรามาเขาเอาน้ำร้อนที่ต้มมาให้ พอผมได้ถือแก้วกาแฟร้อนๆคือเข้าใจเลยว่าความฟินในโฆษณามันเป็นยังไง นอกจากมันจะไม่ร้อนแม่มดันอุ่นม๊ากกก เหมือนความร้อนและความหนาวหักล้างกันพอดี กาแฟกลิ่มหอมๆพอจิบเข้าไปนะเหยด กุราดอาบเลยได้มั้ย T T ฟินไปยันลำไส้ตรง I'm alive !!   หลังจากเพิ่งรอดตายไปหมาดๆฟ้าก็ค่อยสว่างขึ้น พอมองออกไปทางด้านหน้าเราจะเห็นตัวเมืองน่าจะเชียงดาวมั้งถ้าผมจำไม่ผิด คนมากมายต่างจ้องมองออกไปรอผ้าม่านผืนใหญ่ค่อยๆเปิดออก แสงแรกค่อยปรากฎขึ้น ทุกคนต่างตื่นเต้นกับมันมาก ผมก็เช่นกัน เป็นเช้าวันใหม่ที่สวยงามเป็นเหมือนคำอวยพรที่แสนวิเศษ ผมสังเกตไปเห็นพี่ 2 คนที่อยู่ข้างหน้าผม พี่ผู้หญิงก็แซวผมนะถ้าลุกขึ้นมาตอนนี้จะโกรธมั้ย พี่ผู้ชายก็บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาเอาไปด่าในพันทิพ พี่คิด..ถูกครับ 55555 ล้อเล่นน่า เอาจริงๆผมอิจฉาพี่เขาทั้งคู่นะ คงเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกน่าดู (ถ้าไม่ใช่แฟนกันนี้ผมชิปหา_เลยนะ 5555 )   ผมนั่งดูพวกเขาทั้งคู่พรางกับกดชัตเตอร์ พอผมเห็นพวกเขาแล้วมันทำให้ผมนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งชื่อ The Wolves and the Ravens ของ Rogue Valley ผมไม่รู้จะอธิบายเพลงนี้ยังไงมันเป็นเพลงรักระหว่างคน 2 คน เราต่างเติมเต็มให้กันและกันแม้ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหนและกาลเวลาจะค่อยๆพรากความทรงจำเหล่านั้นไป แต่ความรักที่ผมมีให้คุณจะไม่มีวันหาย เสียงกีต้าที่ฟังสบายๆไม่มีลูกเล่นมากมายแสงแดดยามเช้า ลมหนาวและสายหมอกการเดินทางที่สุดแสนจะยากลำบากกับปลายทางที่หอมหวานและชั่วนิรันดร์ น่าแปลกที่สถานที่ที่ดูดุดันกับมีเพลงอ่อนโยนและอบอุ่นขนาดนี้ ช่างดูขัดกันชะมัด เราไม่สามารถมองคนจากภายนอกได้ ธรรมชาติก็เช่นกัน บางทีผมคงต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่     พี่ที่นำทางจะพาพวกผมไปต่อแต่เนื่องจากว่าผมต้องกลับวันนี้เลยขอไม่ไปด้วย พี่เขาก็เข้าใจและก็พากันเดินหายไปได้พักสักทีผมนั่งตากแดดกับลมหนาวจนบางครั้งการที่ไม่มองอะไรผ่านกล้องบ้างก็ดี ผมนั่งจกปาร์ตี้เพราะชีวิตขาดหวาน(เบาหนาว)ไม่ได้ นั่งรอคอยน้องของผมได้สนุกกับสิ่งที่เขาไม่เคยเจอ ไม่ใช่เขาไม่เคยเข้าป่าแต่ผมหวังว่าชีวิตเขาจะช้าลงกว่านี้ จังหวะนี้นี่บอกเลยว่า นึกถึงรายการนึงเลย เป็นรายการท่องเที่ยวที่คนนำทางหน้าตาหล่อๆ "ตอนนี้เราก็มาถึง กิ่วลมมองออกไปทางด้านหน้าเราจะเห็นตัวเมืองเชียงดาว ทางด้านหลังจะเป็นยอดดอย 3 พี่น้องอากาศบนนี้เย็นมากจะเย็นไปไหนก็ไม่รู้ สวยงามมากครับ ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก " กล้องก็แพนไปรอบๆพร้อมกับเพลงประกอบ ไปจนสุดฟ้าไกล ใจไม่เคยหวั่น เราอาจจะพบเจอทะเลที่สวยงาม แล้วพี่เขาก็เปิดกาแฟกระป๋องเย็นๆกระดกบนดอยที่อากาศหนาวๆ และก็ทำหน้าชื่นใจ 555555 รักหรอกจึงหยอกเล่นนะพี่น้า   เราลงจากกิ่วลมตอน 8 โมงหน่อยๆ เพราะเราต้องลงจากดอยตอน 9 โมงระหว่างลงเราก็เจอกับสิ่งที่หายากพอสมควรของยอดดอยแห่งนี้คือ เลียงผา เดินๆอยู่ผมก็ดันไปเห็นบางอย่างมันเดิน 4 ขาวิ่งพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้เนินข้างๆ ผมตะโกนลั่นเลย เฮ้ยเลียงผานอกจากน้องผมจะหยุดแล้วผมยังทำให้คนที่เดินตามมาอีก 2-3 คนหยุดไปด้วย พวกเรายืนมองอย่างใจจดใจจ่อหวังว่าจะได้เห็นเลียงผาแบบใกล้ ผ่านไป เกือบนาทีเจ้าเลียงผาก็ส่งเสียงร้อง โฮ่ง !! บ้าเอ๊ยยยย หมาภูเขาไม่ใช่เลียงผา บอกเลยว่าตอนนั้นอายมาก อยากกระโดดลงหน้าผาข้างๆไปเลย แต่โชคก็ยังเข้าข้างผมในตอนเรากำลังเดินกลับไปที่เต้นส์ ด้วยความที่ชอบมองไปเรื่อยผมเลยไปสังเกตุเห็น ตัวอะไรไม่รู้กำลังกระโดดตามก้อนหิน ผมเลยหันไปถามน้องผมว่า ไอ่ตัวนั้นเลียงผาใช่มั้ย แม่มกระโดดเป็นจิงโจ้เลย น้องผมก็ตอบกลับมาว่าใช่ ผมนี้ยืนยิ้มเลย บอกแล้วว่ากุเจอเลียงผา(เนียนนะเมิงอะ)   เรามาถึงเต้นส์ตอน 8.40 น. กล้าเดินมาบอกผมว่าเดี๋ยวรอเต้นส์แห้งก่อนได้มั้ยผมก็โอเคนั้งพักกันอยู่ในเต้นส์ เชื่อมั้ยพี่จอมยุทธยังนอนอยู่เลย ผมก็นั่งกินขนมปังไปฟังพี่แกไป จนกล้าเดินมาตรงหน้าเต้นส์ผมแล้วก็ขำ คงไม่ต้องถามว่าขำอะไร ผมเลยเปิดเต้นส์ไปขำกับกล้ามันด้วย 55555 บอกว่า เผอิญเจอกันเพื่อนพี่เขาพอดี ทีนี้ ผม กล้า เพื่อนพี่เขานี้ยืนขำกันเลย เพื่อนพี่เขาก็ถามว่านอนหลับมั้ยเมื่อคืน ผมก็ยิ้มและตอบไปว่า เรื่องมันยาวพี่ 5555 ว่าแต่พี่นอนกันได้ไง เราใช้เวลาลงน้อยกว่าตอนขึ้น 3 ชั่วโมงเดินบ้างวิ่ง rally ลงมาบ้างมาเจอกับลุงที่มาส่งเราตอนขาขึ้น ลุงเขาก็ถามผมนะถึงเขตแล้วไปยังไง ผมก็บอกลุงว่าเดี๋ยวผมโบกรถออกไป ลุงก็บอกว่าบ้า ลงไม่มีหรอก เเดี๋ยวลุงไปส่งตรงขนส่งเชียงดาว ผมก็เลยถามลุงไปว่าลุงคิดเท่าไหร ลุงแกก็บอกแล้วแต่เราจะให้ ลุงแกบอกลุงแกเป็นคนง่ายๆ สมัยนี้เก็บค่ารถกันแพงเกินไปจนทักท่องเที่ยวมองในแง่ลบ ซึ้งมันก็จริงเพราะผมก็คิดแบบนั้นตอนแรก  

      รถขับผ่านเส้นทางสายเดิมกับตอนแรกที่เรามา แต่ความรู้สึกผมกับไม่เหมือนเดิน ผมหันไปมองยอดดอยหลวงเชียงดาวที่สูงลิบ ผมถามตัวเองว่านี้คือสิ่งที่กุเพิ่งขึ้นไปหรอ ผมหันไปถามกล้าเพื่อความแน่ใจ กล้ายิ้มแล้วบอกว่าใช่ครับนั้นแหละที่เราเพิ่งขึ้นไปกันมา ผมกับน้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เพราะมันสูงมาก สูงเกินกว่าผมจะจิตนาการว่าจะไปถึงได้เมื่ออยู่ตรงนี้ เชี้ยกุขึ้นไปได้ไงวะ 5555 เป็นประโยคที่หลุดมาจกปากไม่รู้ตัว นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีขีดจำกัด เราขับเคลื่อนด้วยพลังกายและความหวัง ตราบใดที่ยังมีหวังเราก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ตกลงนี้กุเป็นนิ้วกลมรึป่าว 5555   ตัดจบละนะ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ผมสัญญาว่าจะมาต่อให้เร็วขึ้นและจะอู้ให้น้อยลงนะจุ้บจุ้บ 5555 ขอขอบคุณน้องปุ้ยที่ยอมสละชีวิตมาหลอนกับพี่ในการเดินทางครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากบ้านมาจนถึงก้าวสุดท้ายที่กลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน ขอบคุณดอยหลวงเชียงดาาว และสุดท้ายนี้ขอบคุณบทเพลงที่มอบให้ หวังว่าสักวันผมจะเจออีกกาที่ทนอยู่เน้นตรงคำว่า ทน กับหมาป่าขี้บ่นตัวนี้และใช้ชีวิตดั่งบทเพลงที่ว่าไว้  

    I recall the days were few 
    That is all that I can do
    Feel the carvings in the tree
    That gives shade for you and me    

    " ขอบคุณครับ ^ ^ "  

    • Posts-8
    Chittapon •  February 09, 2016
    • Posts-9
    Chittapon •  February 09 , 2016

    ฟังไปด้วยอ่านไปด้วยตั้งแต่ต้นเลยนะ ^ ^