ระหว่างกินข้าวอยู่ก็ปรึกษากันว่าจะไปประตูเชียงใหม่ยังไงดี มีพี่ๆรถแดงมาทาบทามหลายรอบแล้ว พี่แกให้ราคาคนละ 40บาท สุดท้ายเราก็ไปกับพี่ชายที่เรียกมารับค่ะ งงอีกแล้วอ่ะดิ ตอนนี้ดูเหมือนพี่ๆรถแดงกับนักขับฟรีแลนส์ อย่างเช่นพี่ชายของเราที่กำลังพูดถึงกำลังมีปัญหากันอยู่ ซึ่งมีการติดป้ายประกาศรอบเมืองเชียงใหม่เลยค่ะ ยังไงผู้ใช้บริการอย่างเราก็ขอเลือกอันที่สะดวกและประหยัดนะคะ สรุปเราหารไปคนละยี่สิบกว่าบาท ^^
เราเดินทางออกจากขนส่งอาเขตประมาณ 9.00 ระหว่างขับมาส่งพี่ชายของเราเขาก็ชวนคุยโด่นนี่ และให้คำแนะนำด้วยว่าจะไปอ.จอมทองยังไง เขาบอกให้เรานั่งรถบัสสีฟ้าไป หวานเย็นนิดหน่อย แต่ถึงแน่นอน พอใกล้จะถึงประตูเชียงใหม่ พี่เขาก็บอกว่า"โน่นไงรถบัส กำลังจะออกแล้ว " ภาพของรถบัสสีฟ้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปจากท่ารถ มันเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ให้ความรู้สึกหน้าเสียดายมากๆ เลยค่ะ ทันใดนั้น "เดี๋ยวพี่ไปส่ง" พี่ชายของเราพูดออกมาอย่างนั้น แล้วพี่แกก็ขับรถตามติดๆและบีบแตร และ ไปจอดที่หน้ารถบัส เรากับน้องเปรี้ยวรีบลงจากรถแล้วไปหยิบของ ส่วนทราย(เพื่อนที่ไปด้วยกัน)ก็จ่ายค่ารถให้พี่ชายของเรา เราขอบคุณเขายกใหญ่ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถ และขอบคุณคนขับรถบัสอีกยกใหญ่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก แต่ทุกคนไม่ได้มีอารมณ์ฉุนเฉียว หรือโกรธ หรือโมโห แต่อย่างใด คือทุกคนยินดีช่วย ซึ่งถ้าเป็นกรุงเทพฯ เราคงต้องรอรถรอบถัดไปซึ่งจะมาอีกคันหลังจากนี้ 1 ชม. นี่แค่ตอนต้นของการเดินทาง ยังต้องใช้พลังงานเยอะขนาดนี้ ทริปบ้าบอจริงๆ
บรรยากาศในรถก็จะแบบ Local นะคะ นี่แหละค่ะความสนุกอย่างหนึ่ีงของการเดินทางก็คือการใช้ระบบชนส่งสาธารณะ ถึงจะหวานเย็นแต่ก็ถึงอย่างปลอดภัย ถึงที่หน้าวัดพระธาตุจอมทองฯ เวลา 10.30
พวกเราข้ามถนนไปเช่ามอเตอร์ไซต์ร้านลุงตี๋ ซึ่งก่อนจะมาถึงได้โทรมาทาบทามลุงแกไว้แล้ว นี่คือหน้าตาร้านแกนะคะ เราเช่าในราคาคันละ 300 บาท มัดจำคันละ 1000 บาท และเอาบัตรแลกไว้นะคะ
พวกเราได้รถ Wave 125 มา 2 คัน พร้อมหมวกกันน็อกให้ยืมฟรีๆ พร้อมรับประกันว่ารถลุงขึ้นดอยได้สบายๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็ฝากของไว้ที่ลุงก่อน เพื่อไปตลาดไปซื้ออาหารสดเพื่อที่จะใช้ในการทำอาหารในคืนนี้และอีก 4 มื้อบนยอดดอย (ขนะนั้น 11.00 ยังมีหน้าจะมีความหวังในการขึ้นดอยอีกหรอ ไม่เข้าใจตัวเอง) ลุงตี๋แนะนำให้ไปตลาดด้านในซอย ซึ่งเราจำชื่อตลาดไม่ได้ และที่นั่นไม่มีป้ายบอก 555
ตั้งใจจะไปซื้อไก่ เดินไปถึงร้านแล้วสั่งเอาอก 2 ชิ้น บอกแม่ค้าว่าหั่นให้ด้วยได้มั้ยคะ นางยกนิ้วขึ้นมาให้ดูแล้วบอกว่า นิ้วพี่เจ็บอ่า จากนั้นเราก็ส่งน้องเปรี้ยวคนเก่งของเราไปหั่นไก่ ฮ่าๆๆๆๆ สนุกค่ะที่ได้ลงไม้ลงมือกันเองเลย
หลังจากที่ได้ของครบแล้ว เราก็กลับไปเอาของที่ร้านลุงตี๋อีกครั้ง แล้วก็แพ็คสิ่งของต่างๆลงในกระเป๋า กระเป๋าส่วนตัวคนละใบ และมีกระเป๋ากองกลางอีก 1 ใบ น้องเปรี้ยวผู้ซึ่งขับรถไม่เป็นวันนี้ทำหน้าที่เป็นคนบอกทางและเก็บบรรยากาศระหว่างทาง ส่วนเราเป็นคนขับตามที่ต้องบอก น้องบอกเลี้ยวซ้ายก็ต้องเลี้ยวซ้าย ฮ่าๆๆๆ น้องเปรี้ยวนั่งไปกับเรา ส่วนทรายผู้ซึ่งบอกว่าขับเป็นนะแต่เคยขับไปแค่ซื้อของที่ตลาดแถวบ้าน นางขับตามเราอีกที และทำหน้าที่ขนเสบียงกองกลางด้วย
และด้วยความที่กลัวแดดกันมากๆ ทั้ง 3 คน หน้าตาคน และหน้าตารถที่เต็มไปด้วยของก็ออกมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ แหม่บ้าบอกันจริงๆค่ะ พวกเราสามคนเนี่ย
เส้นทางที่เราไปต้องตัดผ่านดอยอินทนนท์นะคะ ผ่านด่านของอุทยานฯเข้าไป 2 ด้านเลย แต่ก่อนจะผ่านด่าน จอดรถและลงไปบอกเข้าหน้าที่หน่อยนะคะว่าเราจะไปไหน ขอผ่านด่านหน่อย เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจอะไรนะคะ เขาให้ผ่านด่านได้เลย คงเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยว
พอเข้าไปที่ด่านแรกของเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์แล้วระหว่างทางบรรยากาศดีมากๆ อากาศดีมาก หายใจได้อย่างสบายใจ คนละเรื่องกับกรุงเทพฯเลย แล้วเราก็เจอนาขั่นบันได ซึ่งเคยเห็นหลายรอบแล้วแต่ไม่มีโอกาศหยุดรถแล้วไปถ่ายรูปจัดไปค่ะ จอดรถแล้วไปถ่ายรูปกัน (ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเอ็งสามคนขึ้นดอยพะติ่โด่ไม่ทันแล้ว ยังมาหยุดรถถ่ายรูปอีก)
ขับไปเรื่อยๆจะเจอด่านตรวจที่ 2 พอผ่านด้านมาได้นิดเดียวไม่ถึง 50เมตร ให้เราเลี้ยวซ้ายเลยนะคะ พอเค้าไปปุ๊ปไอเย็นของต้นไม้ปะทะหน้าเราเลยค่ะ สดชื่นมากๆ เห็นป้ายแม่ฮ่องสอนแล้วก็แบบตกใจนิดนึง แหม่ ยังอีกไกลเลยอ่ะค่ะ แต่เราไม่ได้จะไปแม่ฮ่องสอนนะคะ ไม่ต้องขับถึง 182 Km. แต่ปลายทางเราหางจากจุดนี้แค่ 130Km. ได้รู้อย่างนี้แล้วก็สบายใจ (ประชดนะ) ไปต่อค่ะ นี่ยังไม่ได้ออกจากเขตของอุทยานฯนะคะ
เส้นทางหลังจากนี้โหดกว่าจากด่าน 1 มาด่าน 2 เยอะมากนะคะ เลี้ยวแบบหัก 180 องศาเลย แล้วก็ถนนแคบกว่าด้วย ต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง แต่ยังดีค่ะ ที่ถนนฝั่งขาไปอยู่ติดกับฝั่งเขา ถนนจะแบนๆ หน่อยค่ะ ส่วนถนนฝั่งขากลับบางจุดถนนมันยุบตัวลงไป รถมอเตอร์ไซต์อย่างเราๆ ต้องชะลอและใช้ความระมัดระวังด้วย
พอพ้นเขตอุทยานฯมาได้อีกนิดนึงพวกเราก็จอดถ่ายรูปอีกค่ะ (นั่นไง เอาอีกแล้วไง ไม่ได้ขึ้นดอยพะติ่โด่ก็เพราะมัวแต่โอ้เอ้อยู่เนี่ยแหละ) ก็วิวมันสวยให้ทำไงได้ 5555
ออกเดินทางกันต่อค่ะ ระหว่างทางต่อจากนี้ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าวโพด แล้วก็นาข้าว แล้วก็ป่าเขาค่ะ พอถึงแม่แจ่มความหิวก็เค้าครอบงำค่ะ เลยต้องจอดพักรถและกินข้าวเที่ยงค่ะ ซึ่งเป็นเวลาบ่าย 3 โมงแล้ว เราจอดกินข้าวกันที่ร้านอาหารตรงข้ามสำนักงานเทศบาลแม่แจ่มจำชื่อร้านไม่ได้ใครแวะเวียนไปแถวนั้นอ่านป้ายร้านมาบอกหน่อยนะคะ
อาหารที่ร้านนี้ิ บอกเลยว่าอร่อยมาก เราสั่งผัดพริกแกงไก่มา เผ็ด เค็ม หวาน กำลังดี ค่ะ เสริฟพร้อมกับน้ำซุป ซึ่งน้ำซุปก็อร่อยมากเหมือนกันค่ะ
และนอกจากพวกเราจะกินข้าวแล้ว เราได้พูดคุยกับพี่ๆ น้าๆ ในร้าน เขาก็ถามว่ามาจากไหน จะไปไหน เราก็บอกเขาไป เขาก็ตกใจเลย ว่าขับมอเตอร์ไซต์กันมาได้ไง แล้วก็แนะนำใหญ่เลยว่าจากนี่ไปถึงที่โครงการหลวงยังอีกประมาณ 70 กว่ากิโลถึงจะถึง เส้นทางก็คดเคี้ยวมากๆ เหมือนกับทางลงดอยอินทนนท์เลย และนอกจากจะได้คุยพี่ๆน้าๆในร้านแล้ว ก็ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้สมัคร สส.ของเขตนี้ด้วย ไอเราก็เห็นว่าเป็นโอกาศที่ดี หากเขาได้เป็นสส. ก็อยากให้ท่านสส.สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วย (สบายใจได้เลยนะคะ เราได้เปิดทางให้กับ Backpacker ทุกท่านแล้ว) ช่วงนี้เป็นช่วงที่การเมืองกำลังจะกลับมาคึกคักนะคะ หลังจากที่ลุงตู่แกขอเวลาพัฒนาประเทศมาเกือบๆ 4 ปี เอาเป็นว่าเรื่องการเมืองเราจะไม่เอามาปนกันกับเรื่องเที่ยวละกันเนาะ
ไปต่อกันค่ะ นอกจากเส้นทางจะคดเคี้ยวแล้ว หลุมค่ะ เห็นหลุมมั้ยคะ มาเป็นช่วงๆเลย ช่วงจะสิบกว่าหลุมได้ พอถึงช่วงที่เป็นหลุม คือเราไม่ผ่อนความเร็วลงเลยนะคะ เพราะมั่นใจว่าไปได้ ลบได้แน่นอน แต่ที่ไหนได้ช่วงแรกหลบได้ค่ะ ไปตกม้าตายตอนหลุมสุดท้ายตลอดเลย ลงหลุมสุดท้ายทุกครั้งเลยค่ะ แม่นมากกกก บ่อยเข้าเราบอกให้น้องเปรี้ยวยกก้นรอไว้เลยค่ะ ฮ่าๆๆ ก้นจะได้ไม่กระแทก
เส้นทางเป็นเส้นทางที่ค้ดเคี้ยวมากนะคะ ใครที่ขับรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซต์แบบพวกเราก็ขับด้วยความระมัดระวังนะคะ บางช่วงเลี้ยวหักศอกแบบขึ้นเขาด้วย เราเกือบหลุดโค้งไปหลายรอบเหมือนกันค่ะ เพราะเห็นเป็นทางขึ้นเขา เลยเร่งจากด้านล่างไป พอไปถึงอ่าวโค้งด้วยนี่หว่า ดีนะคะที่เบรคทัน เกือบลงเหวแล้วววว
วันนั้นแสงอาทิตย์ร้อนแรงมากๆค่ะ ฟ้าสดใสค่ะ สองข้างทางบางช่วงเป็นไรข้าวโพด เหลืองอร่อมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ เราไปช่วงที่เขาเก็บฝักกันแล้ว ต้นข้าวโพดเลยเหลืองอร่อมไปหมดเลย เห็นแล้วเหมือนเราไปอยู่แถวๆอำเภอขุนยวมที่มีทุ่งดอกบัวตองอยู่สองข้างถนนเหมือนกันนะคะ
ถึงสามแยกในตำนานแล้วค่ะ เป็นสามแยกที่พี่ๆใน Youtube เขาขับรถมาเองแล้วก็ลงจากรถมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ แล้วก็เล่าเรื่องราวการเดินทางของเขาอ่ะค่ะ
เราได้เห็นป้ายนี้ก็อ๋อ เราเคยเห็นใน Youtube เหมือนที่เราดูมาเลยค่ะ เลยสบายใจไปอีกเปาะ ว่าเรามาถูกทางแน่นอน
ขับไปขับมาน้ำมันหมดค่ะ ของเราคันเดียวที่หมด คันของทรายเหลือน้ำมันเยอะมาก ครึ่งถังได้ อาจจะเป็นเพราะ เราลากเกียร์ต่ำ ตอนลงเขา และตอนที่ต้องใช้แรงในการขึ้นเขา แล้วรถเราก็หนักกว่าทรายด้วย แค่ตัวเราคนเดียวก็หนักมากแล้วฮ่าๆๆๆ(เล่นมุกทำร้ายตัวเองก็เป็นเนาะ)
เราไปจอดที่ร้าน sunshine ซึ่งเป็นจุดชมวิว และมีร้านอาหาร และปั๊มน้ำมันอย่างที่เห็นค่ะ ในส่วนของค่าน้ำมันไม่ต้องพูดถึง แพงกว่าด้านล่าง หรือในเมืองแน่นอนค่ะ เพราะต้องบวกค่าขนส่งด้วย จัดไปค่ะ ลิตรละ 45 บาท ซึ่งถ้าเป็นด้านล่างจะอยู่ที่ ลิตรละ 30 บาท แต่ราคา 45 บาทดูเหมือนจะเป็นราคาสากลของดอยนะคะ เพราะเราไปเติมอีกที่นึงตอนขากลับก็ขายอยู่ที่ 45 บาทเหมือนกันค่ะ
ออกเดินทางกันต่อค่ะ ใครว่าเข้าป่าแล้วจะไม่เจอหนุ่มๆ ฮ่าๆๆๆ เห็นมั้ยคะ หนุ่มๆ วิ่งขึ้นดอยกันเป็นแถวเลยค่ะ เหมือนจะเป็นการซ้อมอะไรซักอย่าง คือพวกนางวิ่งกันไวมากๆค่ะ เราแซงมาแล้วรอบนึงก่อนถึงร้าน Sunshine เราแวะเติมน้ำมันแค่แป๊ปเดียว พวกนางวิ่งมาถึงที่ร้านแล้ว ไวมาก และไม่ได้แวะพักเหมือนพวกเรานะคะ ถึกมากค่ะ Thumb up ให้เลยจ้าาาา
หลังจากเติมน้ำมันเสร็จเราก็ขับตามไปทันค่ะ แบบชะลอนิดนึงให้น้องเปรี้ยวแอบดูว่าหล่อกันมั้ยฮ่าๆๆ เราก็มองผ่านกระจกข้างจนเกือบหลุดโค้งที่อยู่ข้างหน้าแหนะ ฮ๋าๆๆๆๆ บ้าบอจริงๆ
ด้วยระยะทาง 130 Km จากอ.จอมทอง เป็นการแว๊นที่ระยะทางไกลครั้งแรกในชีวิต ในที่สุดพวกเราก็มาถึงงงงงงงแล้ววววววววว เย่ดีใจมาก ลงจากรถปุ๊ป หน้าก็ชา ก้นก็ชา โอ้ยยย เป็นทริปที่โหดที่สุดของปีนี้เลยค่ะ สรุปเราใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 5 ชม. ไม่อยากคิดถึงขากลับเลยค่ะ จะกลับทันหรือป่าวก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยคิดตอนวันจะกลับล่ะกัน
แล้วไหนล่ะ ทีมงานที่เรานัดไว้ ไปไหนกันหมดแล้วววว ยู้ฮู... เรามาช้าไป 5 ชม.เอง โถ่ (นี่คนผิดคือพวกเอ็งนะ) โทรตามค่ะๆ และแล้วพี่ๆเขาก็มาค่ะ มีพี่พจที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์โครงการหลวงซึ่งเป็นคนที่เราติดต่อไว้ เขาเป็นคนกลางในการที่ติดต่อชาวบ้านให้มารับพวกเรา ซึ่งชาวบ้านก็คือ พี่ปรีชา ค่ะ
รอประมาน 10 นาที พี่ปรีชาก็ขับรถมารับเราค่ะ แล้วก็บอกข่าวร้ายกับเราว่า ขึ้นพะติ๋โด่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เดี๋ยววันนี้ไปนอนในหมู่บ้านนะ TT^TT เสียใจสุด แต่ทำไงได้ เฮ้อ อยากจะร้องไห้แผนการใช้ชีวิตบนยอดดอย 2 คืน หมดกัน ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ซึ่งก็คือการแว๊นมาราธอน ก็รู็สึกสนุกแล้วค่ะ
ไปขึ้นรถกระบะพี่ปรีชาค่ะ ไปกับพี่เขา เขาจะพาพวกเราไปหมู่บ้านไหนก็ไม่รู้ บอกเลยว่าตอนนั้นทุกอย่างในสมองอันแพลนมากๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วค่ะ ที่สำคัญคือพาเพื่อนๆมาด้วย กลัวมากว่าจะพาเพื่อนมาเสี่ยงตายหรือป่าวเนี่ย เห็นหน้ายังยิ้มได้แต่ในใจนี่กำลังคิดแผน B แผนที่ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะทำอะไรบ้าง ฮ๋าๆๆๆๆ ความคิดของคนบ้าก็เงี่ยค่ะ ดูหนังมาเยอะ ฮ๋าๆๆๆ ถ้าเกิดอะไรจริงๆ ก็คงได้แต่วิ่งหนีอ่ะค่ะ หรือวิ่งไปซ่อนตัวในป่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ โอ่ย ยิ่งคิดยิ่งบ้าบอ
เวลา 6 โมงเย็น บรรยากาศหลังฝนตก เมฆเยอะ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ฟ้าเริ่มมืด ความกังวลก็เริ่มเข้ามารบกวน คืนนี้กูจะต้องไปนอนไหนวะเนี่ย
พี่ปรีชาพาพวกเราไปแวะซื้อของอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอย ซึ่งเป็นซอยที่เป็นถนนที่เรียกได้ว่าเป็นโคตะระลูกรัง ไม่มีจุดไหนเลยที่ขับไปแล้วรถจะวิ่งแบบไม่เขย่า พวกเราคือยกก้นรอเลย ยิ่งบอบช้ำจากการขับมอเตอร์ไซต์ 5 ชม.มาด้วยแล้ว ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่เลย ซึ่งก่อนขึ้นรถเราได้ถามพี่ปรีชาว่าต้องไปอีกไกลมั้ย แกตอบกลับมาว่าอีกประมาณ 10 Km. โอ่ววว แม่เจ้า ทางลูกรังระยะทาง 10 Km.
บรรยากาศตอนนั้นสวยมากค่ะแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์กระทบกับก้อนเมฆ ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน สวยมากค่ะ ยิ่งวิ่งเข้าไปลึกเลื่อนๆยิ่งมืด สองข้างทางเป็นสวนฝักกาด ไร่ข้าวโพด แล้วก็ป่า สลับไปมา ยิ่งมืดก็ยิ่งมองไม่เห็น ไฟส่องทางก็ไม่มี พยายามมองไปข้างหน้ามีแต่ถนนว่างเปล่าทอดยาวไม่สิ้นสุด ความกังวล x2 เลยค่ะทีนี้ แถมภาษาที่พี่ปรีชากับเพื่อนคุยกันก็เป็นภาษากระเหรี่ยง เราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แล้วจะพาพวกเราไปไหนนนนน โอ้ยยยย ยิ่งคิดยิ่งเครียด ในขณะที่ภายนอกทำเป็นใจดีสู้เสืออยู่ค่ะ กลัวเพื่อนๆจะกลัวกัน
ขับไปได้ซักพักพี่ปรีชาก็หยุดรถ ข้างหน้ามีรถกระบะอีกคันจอดอยู่ กำลังรอความช่วยเหลือจากใครสักคน ข้างหนึ่งของรถตกลงไปในร่องถนนซึ่งลึกจนรถไม่สามารถขึ้นมาเองได้ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็คงจะโทรให้รถลากมารับ แต่ที่นี่คงยากอ่ะค่ะ อยู่ในป่าเขาด้วย
พี่ปรีชาจอดรถอยู่พักใหญ่ แล้วแกก็เหมือนจะโทรหาใครซักคน อาจจะโทรให้มาช่วย ซักพักมีลุงคนนึงมาคุยกับเรา กลิ่นเหล้านี่หึ่งมาเลย เราทำท่าเหมือนกลัวแกสุดๆ แกบอกว่า "เราก็พวกเดียวกันเนี่ยแหละ" แกคงอยากจะสื่อว่าไม่ต้องกลัวลุงนะ ฮ๋าๆๆ พอใจชื้นขึ้นก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่องอยู่ แกบอกว่า แม่ฮ่อนสอนเนี่ย กันดาร ลำบากนะ และที่ขาดแคลนมากๆ ก็คือ "ครู" ไม่ค่อยมีครูเข้ามาสอนที่นี่เท่าไร แล้วเราก็ได้โอกาสถามถึงโครงการหลวง เราถามลุงว่าโครงการหลวงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ใช้ได้ผลมั้ย แกตอบกลับว่า "ใช้ได้ผลดีมาก" คนเมืองอย่างเราได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกปราบปลื้มมากๆ นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถ ที่ได้ทรงช่วยพัฒนาพื้นที่แถวนนี้และช่วยเหลือชาวบ้านให้สามารถมีกินมีใช้ในพื้นที่ของตนเอง
แล้วรู้สึกเลยว่าคนเมืองเหมือนกับกบในกะลา รู้แค่เท่าที่เขาเล่ามา เท็จจริง เป็นไงก็ไม่รู้ เคยได้ยินมามากนะคะว่าทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงใช้ไม่ได้ผล แต่วันนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าการที่เราได้ออกจากกะลา แล้วเข้ามาที่พื้นที่จริง ทำให้เรารู้ถึงความเป็นจริง ที่จริง จริงๆ การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้และเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นจริงๆค่ะ
พี่ปรีชาแกเดินมาบอกว่า อยากจะช่วยเขาอยู่นะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เดี๋ยวเราไปกันต่อ พวกเราบอกลาคุณลุง จริงๆคือถามชื่อแกมาอยู่นะคะ แต่ว่าจำไม่ได้ ชื่อแกเป็นภาษากะเหรี่ยง สองข้างทางมืดมากค่ะ มืดจนเห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจนมากๆ พวกเราเหงนมองขึ้นฟ้าตลอดทาง แล้วก็ทำเสียง อู้หู อื้อหือ กันใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าแบบนี้มาก่อนเลย มันชัดเจนและใกล้มาก จนอยากจะเอามือเอื้อมไปเก็บมาไว้ สวยจนไม่อยากให้โลกนี้หมุนเลย
นั่งรถประมาณ 1 ชม. ก็ถึงบ้านพี่ปรีชาค่ะ สิ่งแรกที่พวกเราทำคือ การหยิบกล้องและขาตั้งกล้องวิ่งไปที่หน้าบ้านแก แล้วก็ตั้งขาถ่ายรูปทางช้างเผือกกัน สามคนกล้องสามตัว จัดไปให้หน่ำใจ คืนเดือนมืดด้วย ชัดเจนและสวยมากจริงๆ แต่รูปที่ถ่ายมามี Noise เยอะไปหน่อยค่ะ น่าเสียดายค่ะ
หลังจากที่ถ่ายทางช้างเผือกจนหน่ำใจแล้ว เราก็ต้องมาตกหลุมรักบ้านพี่ปรีชาค่ะ บ้านพี่แกเป็น style กะเหรี่ยงจริงๆค่ะ เหมือนในสารคดีที่เราดูกันในทีวีเลย คือเอาครัวไว้ในบ้าน ไม่มีเตาแก๊ส มีแต่เตาฟืน กะทะ หม้อ ดำเมี่ยมเลย ดำเพราะเจอเขม่าควันและน้ำยางจากฟืน บนเตาก็มีชั้นวางของอีกที สิ่งที่วางบนชั้นเป็นพวกพริกแห้ง แต่ดูเหมือนจะเป็นพริกลมควันซะมากกว่าค่ะ เหมือนอะไรที่อยากทำให้แห้ง ก็จะเอามาวางบนชั้นนี้อ่ะค่ะ ครัวก็เป็นครัวที่ตั้งไว้ในบ้าน คือเดินเข้าไปในบ้านก็เจอครัวเลย อ่างล้างจานก็ทำจากไม้ ไม่มีท่อระบายน้ำ ล้างอะไรก็ไหลไปตามช่องไม้หมดเลย พื้นก็เป็นพื้นปูนธรรมดาๆ เดินเข้าไปทีแรกยังไม่ได้ปูเสื่อ พื้นเหนี่ยวสุดๆเลย ฮ่าๆๆๆ ประทับใจตรงความเป็น Local นี่แหละค่ะ
พวกเราไม่รออะไรแล้วค่ะ หลังจากที่สร้างแลนมาร์กไว้ในบ้านพี่ปรีชาแล้ว พวกเราก็จัดเมนูต้มยำไก่ ซึ่งเป็นไก่ที่เราซื้อจากตลาดนั่นแหล่ะค่ะ ขอบอกเลยว่านี่เป็นการใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก เพราะลดภาระในการแบกของกองกลางและเพื่อความสะดวกด้วย แต่ของยี่ห้อนี้ต้องปรุงเพิ่มค่ะ ขาดความเปรี้ยวไปนิดค่ะ ดีนะคะ ที่บ้านพี่ปรีชาแกมีมะนาว แล้วเราก็ได้มาอีกลูกจากร้านขายของที่แวะก่อนเข้ามาในหมู่บ้าน
อิ่มแล้วหนังตาก็เริ่มหย่อน ได้เวลานอนค่ะ วันนี้พี่ปรีชาให้พวกเราขึ้นไปนอนด้านบน ส่วนแกกับเมียและลูกชายคนเล็กนอนชั้นล่าง ส่วนลูกสาวอีกสองคนกับหลานนอนชั้นบนอีกห้องนึงค่ะ
อากาศตอนกลางคืนเย็นสบายค่ะ เหมือนเปิดแอร์สัก 18 องศา พวกเราลงมาตากน้ำค้างเพื่อที่จะถ่ายดาวต่ออีกนิดหน่อย กว่าพวกเราจะขึ้นไปนอนกันก็ปาเข้าไปเกือบๆ ห้าทุ่ม บ้านพี่ปรีชาทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่นะคะ แต่แปลกตรงที่พอเข้าไปในบ้านแล้วอุ่นมาก คืนนี้นอนสบายไป 1 คืนค่ะ พรุ่งนี้แหละเราจะได้ขึ้นยอดดอยกันแล้ววววว