ดอยมณฑา เลาะห้วย เข้าป่า แตะขอบฟ้าแม่สอด
“ตอนนี้ยังไม่เปิดครับ ฝนกำลังดี ชาวบ้านนำทางลูกหาบเขายังทำไร่ทำนาอยู่” นั่นคือคำตอบของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จังหวัดตาก บอกกับผมตอนโทรไปถามข้อมูลการท่องเที่ยวเดินป่าขึ้นดอยมณฑา ... แต่นั่นเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้วนะครับ
ตัดฉับมาปัจจุบัน เมื่อผมแจ้งเจ้าหน้าที่ในช่วงปลายปีว่ามีความประสงค์จะพาเพื่อนๆ รวม 8 ชีวิต ไปยลดอยมณฑา เป็นทริปประเดิมปี 2562 สักหน่อย คราวนี้ทุกอย่างดูเหมือนราบลื่นเรียบร้อยดี
(ดูวิดีโอ ยูทูป >>> https://youtu.be/rztjMcsA6CU)
ตั๋วรถทัวร์จองแล้ว นัดแนะเพื่อนแล้ว นัดแนะรถกระบะรับ-ส่งของเจ้าหน้าที่แล้ว แต่พอหลังหยุดยาวปีใหม่ก่อนเดินทางแค่สองวัน โทรคุยกับเจ้าหน้าที่อีกรอบก็ถึงกับอึ้งกิมกี่เมื่อปลายสายพูดว่า “ชาวบ้านบอกว่าเดือนนี้ไม่นำเดินแล้วค่ะ บนดอยหาแหล่งน้ำยากแล้ว”
ใจหล่นถึงตาตุ่ม จะทำยังไงล่ะ ก็อ้อนวอนเจ้าหน้าที่ไปสิครับว่าขออีกกลุ่มไม่ได้หรือ เพิ่งหลังปีใหม่เอง ที่สำคัญเราเตรียมการเดินทางไว้หมดแล้ว นับว่าโชคดีที่เจ้าหน้าที่เข้าใจและใจดีคุยกับชาวบ้านให้ และชาวบ้านเองก็เห็นใจ... โอเค กลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายของฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้นะ
เฮ้อ... โล่งอกไปที
ดอยมณฑา เป็นยอดเขาลูกหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช เป็นแนวแบ่งเขตอำเภอแม่สอด กับอำเภอเมือง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวทางอุทยานฯ บริการจัดการร่วมกับชุมชนบ้านปูแป้ ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด นักท่องเที่ยวจะขึ้นดอยต้องติดต่อขออนุญาตอุทยานฯ ก่อน จากนั้นอุทยานฯ จะประสานงานกับชาวบ้านให้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่แท้จริง
อช.ตากสินมหาราช ดอยมณฑา และบ้านปูแป้ อยู่ตรงกลางระหว่าง ตาก – แม่สอด หากเดินทางเองด้วยรถสาธารณะแนะนำให้ลง บขส.ตาก แล้วใช้บริการเหมารถกระบะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จะดีที่สุด เหมือนที่พวกเราทำในครั้งนี้ครับ---------------------------------------------------------
(1)
ทริปนี้พวกเรา 8 ชีวิต เดินทางจากหมอชิต 6 คน นัดเจอกับเจ้าถิ่นชาวตาก อีก 2 คน ที่อุทยานฯ สะดวกที่สุดคือรถ ป.1 กทม. – บ้านตาก รอบสี่ทุ่ม ถึง บขส.ตาก 5.00-5.30 น. เวลากำลังดี
ถึง บขส.ตาก เช้าตรู่ รถเจ้าหน้าที่ก็มารับ หน้าหนาวแบบนี้ฟ้ายังมืดตึ้ดตื๋อ ก่อนเข้าไปข้างในต้องแวะตลาดซื้อของก่อน ทริปนี้วันเดียวเพราะฉะนั้นทำแบบง่ายๆ ผัดผัก หมูยอทอด ลูกชิ้นทอด ที่ตลาดมีให้เลือกทุกสิ่งอยู่แล้ว
จับจ่ายข้าวของเสร็จก็ตรงมาที่ทำการอุทยานฯ วิ่งถนน แม่สอด-ตาก ทล.12 นั่นแหละ จากปากทางเข้ามาประมาณสามกิโลเมตร ตรงนี้เป็นเขตของอำเภอเมือง เรามาที่นี่เพื่อลงทะเบียนขึ้นดอยมณฑาและเตรียมตัวลุยกันในเอกสารลงทะเบียนบอกเอาไว้ครับ เส้นทางถึงยอดดอยมณฑาทั้งหมด 7 กิโลเมตร เป็นทางค่อนข้างราบ 4 กิโลเมตร และทางชัน 3 กิโลเมตร เตือนไว้ก่อนว่าจะต้องเหนื่อยพอดู
หากใครขับรถส่วนตัวจะมากางเต็นท์นอนที่นี่ก่อนสักคืนก็บรรยากาศดี ลานกางเต็นท์หลายโซน ห้องน้ำห้องท่าสะดวกมาก
จากที่ทำการฯ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จึงมาถึงจุดนัดหมายกับชาวบ้านนำทางที่วัดปูแป้ ตรงนี้อยู่ในเขตอำเภอแม่สอดแล้ว เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง แต่เพราะไม่ได้อยู่บนเขา ถนนเข้าถึง ก็เป็นชาวกะเหรี่ยงทันสมัย ลูกหลานรุ่นใหม่ถือสัญชาติไทย พูดทั้งกะเหรี่ยงทั้งไทยได้สบาย และเป็นจุดสุดท้ายจริงๆ สำหรับใครจะเตรียมความพร้อมเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย
ความสนุกก่อนเหนื่อยคือเราต้องนั่งรถอีแต๊กจากวัดปูแป้ต่อเข้าไปจุดเริ่มเดิน ผ่านทั้งถนนลูกรัง ลำห้วย สองข้างทางเป็นพื้นที่ถากถางทำเกษตรบ้าง ป่าปลูกบ้าง นั่งหัวโยกหัวคลอนกันประมาณครึ่งชั่วโมงครับ
ถึงสุดทางรถอีแต๊กจึงได้เดินกันแล้ว (เย้...) เตรียมของขึ้นเป้ได้เลย มองนาฬิกาสิบโมงครึ่งพอดี
อย่างที่บอกครับว่าทางช่วงแรกเป็นทางราบ จริงๆ ก็ไม่ราบเสียทีเดียวหรอก ไต่ระดับทีละน้อยตามห้วยปูแป้ ข้ามห้วยไปมาหลายครั้ง ดีว่าเดือนมกราคมน้ำค่อนข้างน้อย เหยียบหินบ้าง ก้าวยาวๆ บ้างก็พ้น ไม่ต้องลุยน้ำเหมือนตอนหมดฝนใหม่ๆ
ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี เราก็มาถึงจุดที่ลำห้วยย่อยสองสายมาบรรจบกัน ไกด์บอกว่าพักกินข้าวตรงนี้แหละ เราบอกว่ายังไม่หิวเลยไปต่อก็ได้ แต่ไกด์ยืนยันว่าให้กินตรงนี้ มาบางอ้อหลังกินเสร็จว่าจากจุดนี้ลูกหาบจะแยกกับเรา เขาไปทางสั้นกว่าเพื่อตัดขึ้นแคมป์ ส่วนเราไปอีกทางที่ชันกว่าไกลกว่าแต่มีวิวให้ชมนั่นเอง
น้ำในลำห้วยปูแป้ใสมากครับ กุ้ง ปลา ลูกอ๊อด เพียบเลย หลักฐานความสะอาดของน้ำคือการมีอยู่ของสัตว์น้ำตามธรรมชาตินี่แหละ
หลังพักกินข้าวเรายังคงเดินขึ้นแบบเรื่อยๆ ทีละนิดละหน่อยอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงพ้นช่วงที่เรียกว่า 4 กิโลเมตรแรก ต้องเจอทางชัน 3 กิโลเมตร ที่อุทยานฯ ขู่ไว้สักที
เนินแรกมาตอนเที่ยงครึ่ง เพิ่งรู้สึกว่ามาเดินป่าขึ้นเขาจริงจังก็ตอนนี้ การได้เดินมายาวๆ ก่อนหน้าถือว่าดีนะ เหมือนวอร์มเครื่อง พอเจอทางชันเลยไม่หนักมาก ไม่เหมือนบางดอยแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็ชันซะแล้ว
ใกล้บ่ายสอง พ้นเนินที่สองขึ้นมาจะมองเห็นภูเขาสีทองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นแหละคือดอยมณฑา และจุดที่เราจะตั้งแคมป์กัน
ทีละนิด ทีละนิด เราต้องผจญทางชันๆ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อผ่านเนินที่สองและเนินที่สามให้ได้
พ้นแนวป่าเนินที่สามขึ้นมาสู่ยอดเขาโล่งๆ พอเห็นเขาลูกข้างหน้าแล้วถึงกับน้องโอ้ว ยิ่งเห็นทางเดินสีขาวๆ ขึ้นสู่ยอดเขาด้วยแล้ว ขอกลืนน้ำลายแป๊บนะ (ฮา...)
ไกด์บอกว่ายอดเขาโดดเด่นลูกข้างหน้าคือเนินสุดท้ายที่เราต้องเผชิญ มีชื่อว่าคลุยโจโม ส่วนตรงที่เราจะไปตั้งแคมป์คือคลุยพะแล (คลุยแปลว่าภูเขา) ทั้งหมดอยู่ในภูเขาลูกที่เรียกว่าดอยมณฑานั่นไงถอนหายใจสักเฮือก ขึ้นเป้ แล้วไปต่อ ยืนอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ยังไงภูเขาก็ไม่ลดความสูงให้หรอก (ฮา...)
ขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละก้าววิวสวยมาก น่าแปลกคือตอนยืนดูไกลๆ เห็นว่าสูงลิบลับ พอเดินจริงๆ กลับไม่ชันเหมือนที่ตาเห็นแฮะ หรืออาจเพราะได้เดินไปชมวิวไปถ่ายรูปไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถึงยอดคลุยโจโม แดดแรงๆ แบบนี้นั่งพักหลบร่มต้มกาแฟร้อนๆ กินกันเถอะ บ้าไปแล้วอากาศร้อนดันจิบกาแฟร้อนอีก
นั่นแหละครับเนินชันเนินสุดท้าย หลังจากนี้จะเดินเลาะตามสันเขา ช่วงที่เราไปหญ้าเริ่มแห้งแถมดอกหญ้ากำลังออก สะท้อนแดดกลายเป็นทางเดินสีทองสวยน่าประทับใจมาก แต่อย่าชมวิวเพลินเกินไปล่ะ เพราะบางช่วงหากเผลอก้าวผิดทิศผิดทางอาจลงยาวหล่นหายวับไปในป่าเลยก็ได้
สี่โมงเศษๆ ถึงจุดชมวิวสวยที่สุดของดอยครับ เป็นจุดถ่ายรูปหลักเลยแหละ มีชะง่อนหินยื่นออกมาให้ยืนให้นั่งแอ็กท่าพอดีเป๊ะ แบ็คกราวน์เป็นแนวเทือกเขาและยอดคลุยโจโม ขอบอกว่าฟิน
จากจุดถ่ายรูป เดินทะลุชายป่าอีกไม่เกินห้านาทีก็ถึงจุดตั้งแคมป์ สภาพพื้นที่ช่วงหน้าแล้งแจ๋วมาก เต็นท์ดี เปลสะดวก มีเพิงที่ชาวบ้านทำไว้อีกสองหลัง เราสามารถใช้พื้นที่ได้เลย สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต มีครบทุกเครือข่าย
ส่วนน้ำดื่มน้ำใช้ลูกหาบเอามาให้เรียบร้อย ไกด์บอกว่าเข้ามกราคม ลูกหาบจะต้องแบกน้ำมาไกลกว่าช่วงก่อนหน้านี้ เพราะแหล่งน้ำใกล้แคมป์แห้งสนิทไปแล้ว นั่นทำให้หมู่บ้านจะทำการปิดดอยไม่พานักท่องเที่ยวขึ้นมาแล้วนั่นไง
หลังจัดการที่นอนเสร็จก็ช่วยกันหุงข้าวทำกับข้าวกับปลาแบบง่ายๆ สไตล์ชาวแคมป์ล่ะนะ
พอใกล้พระอาทิตย์ตกก็พากันออกไปดื่มด่ำบรรยากาศสักหน่อย วันนี้เพราะอิทธิพลของหางพายุปาบึกแสงเลยไม่แรงฟ้าไม่จัดจ้านเท่าไหร่ แต่ก็แลกมากับการได้เห็นไข่แดงดวงกลมๆ สวยดีครับ
ค่ำคืนนี้พวกเรากินข้าวนั่งคุยกันไปเรื่อยแบบไม่แคร์เวลา อากาศกำลังดี ไม่หนาวเกินไป ลมไม่แรง ท้องฟ้าเปิดๆ ปิดๆ เมฆลอยไปลอยมา ผมเลยขี้เกียจไม่ได้ตั้งกล้องถ่ายดาว ขอเป็นทริปชิลๆ บ้างแล้วกัน
---------------------------------------------------------(2)
เราอยู่แม่สอด อำเภอชิดขอบตะวันตกของประเทศ ดังนั้นพระอาทิตย์ขึ้นช้าแน่นอน หกโมงลุกจากเต็นท์ออกมาดูว่าวันนี้ไม่มีทะเลหมอก (แห้งแบบนี้จะไปมีได้ยังไง) ก็เข้าไปเกลือกกลิ้งต่อ สักใกล้ๆ เจ็ดโมงโน่นแน่ะค่อยออกมาขยี้ตาอรุณสวัสดิ์วันใหม่
หลังต้มน้ำกินกาแฟ ช่วยกันหุงข้าวทำกับข้าวไว้ส่วนหนึ่ง เจ็ดโมงครึ่งก็พากันเดินขึ้นไปดูวิวบนยอดเขาซึ่งอยู่เหนือจุดตั้งแคมป์ เดินแป๊บเดียวยังไม่ทันเหนื่อยเลยขึ้นไปแล้วก็แช้ะเก็บภาพความประทับใจกันไป มีตากล้องหลายคนเสียงชัตเตอร์ก็ลั่นเป็นระยะไม่ขาดสาย เป็นช่วงเวลาที่สงบ อบอุ่น สนุก และมีความสุขดีครับ
กินข้าว เก็บแคมป์ ทำความสะอาดพื้นที่ 9.27 น. เป็นเวลาที่ผมถ่ายภาพหมู่ของพวกเราบนดอยเป็นภาพสุดท้าย ได้เวลาเซย์กู๊ดบายความสวยของภูเขาสีทองลูกนี้แล้ว
ขาลงนี่เดินลงจริงๆ ลาดลงเรื่อยๆ แต่เดินไม่ยาก เป็นทางเดียวกับที่ลูกหาบขึ้นมาเมื่อวาน
ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ลงมาถึงลำห้วย บอกเลยว่ามีจุดที่สวยมากๆ คือบริเวณถ้ำใต้หน้าผาตรงนี้ ถามไกด์ว่าเรียกว่าอะไร ไกด์นั่งคิดอยู่ตั้งนานแล้วบอกว่าชื่อถ้ำพอโทะเล
หลังจากนี้เราจะเดินเลาะห้วยไปเรื่อยๆ จนบรรจบกับจุดที่พักกินข้าวเมื่อวาน แล้วใช้เส้นทางเดิมกลับไปขึ้นรถอีแต๊กที่จอดไว้
เรื่องเหมือนกำลังจะจบแต่มีแถมตอนท้ายอีกหน่อย เพราะพอกลับถึงวัดปูแป้ ที่นั่นกำลังมีงานปีใหม่ของกลุ่มเยาวชนบ้านปูแป้พอดี น้องๆ กะเหรี่ยงเลยชวนเรากินข้าวให้อิ่มหนำสมความเหนื่อยตามใจชอบ
แรกๆ ก็ออกลูกเกรงใจ ไปๆ มาๆ ชักวนตักคนละหลายรอบจนอิ่มแปล้กันเลยแฮะ (ฮา...)
รออีกสักพักรถเจ้าหน้าที่ก็มารับเราที่วัดปูแป้ กลับไปอาบน้ำอาบท่าที่ที่ทำการอุทยานฯ จากนั้นก็มาส่งพวกเราต่อที่ บขส.ตาก เพื่อนั่งรถทัวร์กลับบ้านกันโดยส่วนตัวหากถามผมว่าดอยมณฑาน่าเที่ยวหรือเปล่า ผมว่าที่นี่มีวิวสวยพอตัวเลยนะ ทางเดินไม่ยากมาก ไม่ไกลเกินไปด้วย เหนื่อยกำลังสนุกแบบไม่ทรมานนัก ความสบายของจุดกางเต็นท์มีเยอะ พื้นที่ดี สัญญาณโทรศัพท์ก็มี พอเอาทุกอย่างบวกลบคูณหารกันแล้ว คำตอบเลยเป็นว่า... ผมชอบที่นี่มากครับ และแนะนำให้ต้องจัดมาสักครั้งเลยล่ะ
ปีนี้ย้ำว่าปิดดอยเรียบร้อย ทางหมู่บ้านไม่พาขึ้นมาแล้ว ใครขึ้นหลังจากนี้คือแอบอุทยานฯ ขึ้น ต้องรอเปิดใหม่อีกทีราวๆ เดือนตุลาคม ที่คุยกับหลายฝ่ายแว่วมาว่าฤดูกาลท่องเที่ยวหน้าอาจเปิดลากยาวกว่าแค่สิ้นปีไปอีกสักเดือน ถึงเวลาก็สอบถามอุทยานฯ อีกทีแล้วกันส่วนผมมาแล้ว ฟินแล้ว พอใจแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อาจไว้รออีกสักพักใหญ่ๆ แล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่แล้วกันนะ ดอยมณฑา
---------------------------------------------------------
ค่าใช้จ่ายทริปนี้
- ค่าไกด์ชาวบ้านนำทาง 1,200 บาท
- ค่าลูกหาบ 1,000 บาท (ต่อคน)
- ค่าเจ้าหน้าที่อุทยานฯ 1,200 บาท (ต่อคน/ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียมเข้าหมู่บ้านคนละ 100 บาท
- ค่ารถอีแต๊กไป-กลับ วัดปูแป้-จุดเริ่มเดิน คันละ 200 บาท
- ค่ารถเหมาไป-กลับ บขส.ตาก-ที่ทำการฯ-วัดปูแป้ คนละ 350 บาท
- ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท
---------------------------------------------------------
รู้สักนิดก่อนไปเที่ยว
- อยู่ในเขต อช.ตากสินมหาราช ระหว่าง อ.เมือง และ อ.แม่สอด จ.ตาก
- นั่งรถทัวร์ให้ลง บขส.ตาก ไม่ใช่ บขส.แม่สอด จากนั้นเหมาะรถรับ-ส่ง สะดวกที่สุด
- เปิดให้เที่ยวประมาณเดือนตุลาคม ถึงธันวาคม หรือมกราคม ในแต่ละปี
- ขึ้นได้ทุกวันช่วงที่เปิด แต่หนึ่งวันรวมกันไม่เกิน 30-40 คน
- ยอดดอยความสูงประมาณ 1,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
- เส้นทางเดินราว 7 กิโลเมตร เดินตามลำห้วย 4 กิโลเมตร ขึ้นเขา 3 กิโลเมตร
- ใช้เวลาเดินประมาณ 5-6 ชั่วโมง รวมพักแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบมาก
- ช่วงปลายฤดูฝนรถอีแต๊กอาจไปได้ไม่สุดทางรถ ก็จะได้ระยะทางเดินเพิ่มขึ้น
- ทางเดินช่วงปลายฤดูฝนมีทากพอสมควรแถวลำห้วย ส่วนฤดูแล้งแทบไม่มี
- ปลายฤดูฝนการข้ามลำห้วยเปียกแน่นอน ช่วงฤดูแล้งพอหลบเลี่ยงได้
- ปลายฝนยอดดอยยังหญ้าเขียว เข้าธันวาค่อยๆ เริ่มเหลืองทอง
- แคมป์บนดอยกางเต็นท์ได้ เปลได้ นอนปลาทูได้
- มีแหล่งน้ำตลอดทางเดินและบนยอด เตรียมเฉพาะน้ำกินระหว่างทางก็พอ
- สัญญาณโทรศัทพ์และอินเทอร์เน็ต มีทุกเครือข่ายข้างบน
- ข้อมููลอื่นๆ อช.ตากสินมหาราช 055511429 และคุณแอม จนท.อุทยานฯ 0820317842
---------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller