มิตรภาพ ท้องฟ้าและทุ่งหญ้าสีทอง ณ ม่อนทูเล
ทริปนี้เป็นทริปกระทันหัน ที่อยู่ๆก็อยากจะไปยืนอยู่บนยอดดอยที่คนน้อยๆ นั่งดูพระอาทิตย์ นอนดูดาว สูดอากาศให้เต็มปอด แต่เป็นเทศกาลปีใหม่ คิดว่าดอยที่ดังๆ คงมีคนไปกางเต๊นท์เต็มกันหมดแล้ว จึงเริ่มค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางในเวลาแค่สามสี่วัน สุดท้ายเลยมาปักหมุดที่ "ม่อนทูเล" เห็นจากรูปรีวิวของหลายๆคน ยอดดอยทูเลนี้แหล่ะ ใช่เลย!!!!
แต่การที่จะหาเพื่อนร่วมเดินทางแบบกระทันหันนี้ ใช่เล่นซะที่ไหน สุดท้ายก็ได้มา 2 คน พร้อมกับประโยคที่ว่า "คงไม่มีใครบ้าระห่ำอย่างเราๆ ที่นึกอยากจะไปก็ไป"
ออกเดินทางคืนวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยขึ้นรถทัวร์ของเชิดชัยทัวร์ สายกรุงเทพ-แม่สอด รอบสามทุ่มครึ่ง จากหมอชิตไปลงที่บขส.แม่สอด เราไปถึงบขส. ราวๆตีห้า จากนั้นก็รอเวลาขึ้นรถสองแถวเที่ยวแรกสาย แม่สอด-แม่เสรียง (เป็นสองแถวสีส้มๆ) รอบแรกราวๆหกโมงเช้า ไปลงที่ อบต.ท่าสองยาง ใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า (สองแถวหวานเย็นมากกกกก แนะนำว่าถ้ามากันหลายคน ให้เหมารถมาจะดีกว่า เพื่อประหยัดเวลา)
เริ่มเดินทางไปพร้อมกับพวกเราได้เล้ยยย
ระหว่างทางบนสองแถวพวกเราได้ประสบการณ์แปลกใหม่บนรถเยอะมาก ทั้งรถมีแค่พวกเราที่เป็นคนไทย
- คนพม่าคนกะเหรี่ยงอดทนและแข็งแรงมากที่สามารถยืนเกาะท้ายรถเป็นเวลาหลายชั่วโมงบวกกับอากาศหนาวยะเยือก
- มีรถชนเป็ดหรือห่านนี่แหล่ะ ตายกลางถนน คนขับหยุดรถจะโกนให้ผู้โดยสารลงไปเก็บศพเป็ดมาให้ที
- คนบนรถตื่นเต้นอยากดูศพเป็ดกันยกใหญ่ ตอนแรกก็วางแอบๆ แต่ทำไม๊ต้องหงานท้องมันขึ้นมา พวกเราสามคนเงิบเลยคะ ไส้เป็ดทะลัก หยิบยาดมเบือนหน้าหนีกันแทบไม่ทัน T^T
- คนขับรถสองแถว หยุดทักทายคนในหมู่บ้าน ประหนึ่งว่าไม่มผู้โดยสารอยู่บนรถ ฮ่าๆๆๆๆ (พวกหนูรีบนะคะหนูรีบ)
อยู่บนสองแถวหลายชั่วโมง สภาพคือทั้งง่วง หนาว หิว ก็ยังไม่ถึงปลายทางสักที
จนในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง อบต. ท่าสองยาง ตอน 11 โมง (ภาพที่คิดไว้ตอนแรกคือ จะมาถึงราวๆเก้าโมงเช้า จากนั้นก็ไปเดินตลาด หาซื้ออาหารสดขึ้นไปทำกินบนดอย) แต่ความเป็นจริง เวลาบีบคั้นมากเพราะเราต้องไปให้ถึงยอดดอยก่อนค่ำ ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง ดังนั้นที่เราทำได้คือรีบซื้อข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็นพร้อมกับเครื่องดื่ม จากนั้น อบต.ก็ขับรถไปส่งเราที่หมู่บ้านพร้อมกับหาลูกหาบมาให้ (ค่าลูกหาบคิดวันละ 300 บาท)
เรา start กันที่เวลาเกือบเที่ยง เดินขึ้นไปบนเขาพอประมาณก็แวะกินข้าวเพื่อเติมพลัง จากนั้นก็ออกเดินทาต่อแบบไม่เร่งรีบ เหนื่อยก็พัก เส้นทางเขาลูกแรกเหมือนจะหลอกให้ตายใจ "มันก็ไม่เห็นจะยากนิ "
แต่พอถึงเขาลูกที่สองเท่านั้นแหล่ะ แทบจะไม่มีทางราบให้เราหยุดเดิน เราต้องเดินไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ (ไม้ค้ำคือสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับการเดินทาง จงมองไปรอบตัวแล้วหากิ่งไม้คู่กายไว้ซะ ชีวิตจะดีขึ้นเยอะ)
สภาพของเพื่อนร่วมทาง ที่ออกกำลังกายก่อนเดินทางแค่วันเดียว เลยทำให้ตะคริวขึ้นขึ้น
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นลมซะแล้ว ในใจเราก็กังวล เพราะเป็นคนชวนเค้ามาแท้ๆ แต่ก็โล่งใจเพราะเพื่อนร่วมทางปวดขา ตะคริวขึ้นแต่ยังมีแรงไม่ได้จะเป็นลม ฮ่าๆๆๆๆ (ต้องนวดยาและกินยากันระหว่างทางเลยทีเดียว)
โชคดีที่เราเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว (วิ่ง & ปั่นจักรยาน) งานนี้เลยถือว่าร่างกายค่อนข้างพร้อม
แนะนำว่าก่อนจะมาที่นี่ ควรออกกำลังกายบ่อยๆเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
เราเดินกันเรื่อยๆชิวๆ เดินไปพักนวดยาไป สุดท้ายก็มาถึงด่านหฤโหด นั่นคือ ต้องไต่เชือกขึ้นไป ด้านข้างก็สุดแสนจะน่ากลัว สำหรับคนกลัวความสูง(แบบเรา) แต่ในที่สุดก็ผ่านมันมาได้ อยากจะกรีดร้อง เย้!!!!!
ม่อนทูเล ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสีทอง
พระอาทิตย์ตกดิน
มองไปไกลที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล อยากจะไปไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ (เพลงนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกทีที่มองดาว)ภารกิจถ่ายทางช้างเผือก
หลังจากนอนเอาแรงไปได้งีบนึงเพราะความเพลีย ก็ต้องสะดุ้งตื่นเนื่องจากเสียงกรนประสานเสียงระหว่างเต๊นท์แต่ละเต๊นท์ดังเป็นระยะๆ ฮ่าๆๆ แต่ก็พยายามข่มตาหลับต่อไป เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีสี่ เพราะตั้งใจจะถ่ายทางช้างเผือกให้ได้ ตื่นมาตีสี่ก็ยังไม่เห็น เลยเข้านอนต่อ ตื่นอีกทีตีห้า ชะโงกหน้าออกจากเต๊นท์มาดู โอว้!! มาแล้วๆๆ แต่แสงจันทร์สว่างเหลือเกิน เลยทำให้เก็บภาพได้แค่เส้นบางๆ (มาไวไปไวด้วย ถ่ายมาได้ไม่กี่ภาพ)
ไปดูแสงแรกของวันกัน ที่ยอดดอย
เกือบๆจะหกโมง ลูกหาบก็เดินมาเรียกพวกเราให้เตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยด้แล้ว เราออกเดินทางจากจุดที่กางเต๊นท์เดินขึ้นไปบนดอยอีก 500 เมตร พร้อมไฟฉายคนละอัน (โดยมีลูกหาบตัวจิ๋วเป็นคนนำทาง) มองจากข้างล่างขึ้นไป โอ้ยชิวๆ แต่เอาเข้าจริงเหนื่อยมากกกกก -..-! ท้องร้องโครกคราก ใช้พลังงานในการเดินไปเยอะ เลยทำให้พวกเราหิวกันตั้งแต่หกโมงเช้า T^T
สวยงาม จนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
ถ่ายรูปรวมก่อนโบกมือลาม่อนทูเล (ฝีมือการถ่ายภาพของน้องลูกหาบ กะเหรี่ยงตัวเล็กแต่หาบของหนักๆเก่งมากก)
Bye bye, I'll be back!!!
สถิติการขึ้นม่อนทูเลของพวกเรา ขาขึ้นราวๆ 4 ชั่วโมงกว่า ขาลงราวๆ 2 ชั่วโมงกว่า ( เรียกว่า start ทีหลังแต่แซงหน้าทุกกลุ่มในวันนั้นก็ว่าได้ ) แต่แนะนำว่าถ้า start ตั้งแต่สายๆไม่เกิน 9 โมง ก็ไม่ต้องหักโหมรีบเดิน ค่อยๆเดินซึมซับธรรมชาติรอบตัว แต่ถ้าใคร start เกือบเที่ยง ควรรีบทำเวลา จะได้ไปถึงดอยก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
- หลายคนพูดกับเราว่า "จะดูไปทำไมก็แค่ทุ่งหญ้าแห้งๆ แถวบ้านก็มี ทำไมต้องเดินข้ามเขากันไกล ๆ เพื่อมาดูอะไรแบบนี้" เราก็ได้แต่คิดในใจว่าถ้าไม่ลองฉีกตัวเองออกจากกรอบเดิมๆสิ่งเดิมๆที่เคยเห็นและเคยทำ จะทำให้เราพบโลกอีกมุมที่เราไม่เคยสัมผัสได้อย่างไร บางทีสิ่งที่ได้รับไม่ได้อยู่แค่ปลายทางที่เราเห็น แต่มันอยู่ระหว่างทางที่เราไปต่างหากว่าเราเก็บเกี่ยวมันได้มากน้อยแค่ไหน ทริปนี้เราได้รับมิตรภาพดีๆ เพื่อนดีๆ ความรู้สึกดีๆ "ถ้าเราไม่ลองก้าวออกไป เราก็จะหยุดอยู่แค่จุดเดิมๆ "
เพราะเป็นคนรักในการเดินทาง เราจึงพร้อมเสมอที่จะไปเที่ยวในทุกที่ที่อยากไป
การที่เราศึกษาข้อมูลเยอะๆอ่านเยอะๆ จะทำให้เรารู้เลยว่า ยังมีอีกหลายสถานที่ที่รอให้เราไปเก็บความทรงจำ
จงไปในทุกที่ที่อยากไป ตราบใดที่สองขายังคงมีแรง
เพื่อนร่วมทางคือของขวัญที่พิเศษที่สุดสำหรับการเดินทางในต่ละครั้ง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สอบถามเพิ่มเติม : สอบถามอัตราค่าบริการลูกหาบและรถรับจ้างได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบล ท่าสองยาง
เลขที่ 127 หมู่ที่ 1 ถนนนิรันดรเกียรติ ตำบลท่าสองยาง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก 63150
โทรศัพท์ 08 9268 1116, 08 4566 4859
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สรุปการเดินทาง (ทริป 2 วัน 1 คืน)
ช่วงวันที่ 1-3 มกราคม 2558
- ออกจากกรุงเทพ คืนวันที่ 1 มกราคม
- ขึ้นดอยวันที่ 2 มกราคม (นอนบนดอย 1 คืน)
- ลงจากดอยสายๆของวันที่ 3 มกราคม แล้วนั่งรถทัวร์กลับกรงเทพช่วงกลางคืน
ค่าใช้จ่ายตกคนละประมาณ 2,500 บาท (รวมหมดทุกอย่าง)