เพชรบูรณ์ ... เรื่องเขาเขาที่เราไปเจอ
ถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบูรณ์ แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องนึกถึงเขาค้อและภูทับเบิก
ใช่ ... ไอ้เราก็ไม่ใช่ใครที่ไหนซะด้วยสิ จะรอช้าทำไม หนาวๆ แบบนี้เก็บกระเป๋าไปเที่ยวที่ที่เค้าฮิตๆ กันนี่แหละ เค้าต้องคัดมาแล้วแน่ๆ ว่า “เด็ด”
จุดเริ่มต้นของทริปนี้เล่าง่ายๆ เลยว่าเกิดจากการที่ “เพื่อนโทรมาชวน” ไอ้เราก็ตอบตกลงอย่างไว เพราะการไปเที่ยวกับชาวบ้านเป็นเรื่องที่สะดวก ไม่ต้องคิดไม่ต้องวางแผนการเดินทางให้ปวดตับ
ซึ่งเราออกเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวในวันที่ 7-10 ธ.ค. 2559 ตรงตามแคมเปญ “วันธรรมดาน่าเที่ยว” ของ ททท. เด้ะ (คนไม่เยอะ รถไม่ติด ค่าที่พักก็ต่อรองได้ ดี๊ดีย์นะขอบอก)
วันแรก เราออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เวลาประมาณ 22.00 น. เพื่อจะได้ทันไปรับวันใหม่กันที่เขาค้อ ขับรถไปเรื่อยๆ เหนื่อยๆ ง่วงๆ ก็แวะปั๊ม ตีสี่กว่าๆ ก็ถึงที่หมาย อยากบอกว่ามืดและหนาวมาก
บรื๋อออ
พักรถรอพระอาทิตย์ขึ้น คำนวณทิศกันไปมาจนตกลงกันได้ว่างานนี้เราคงต้องไปดักรอทักทายพระอาทิตย์กันที่ “วัดกองเนียม” ได้รูปมาพอประมาณ (แอบหวังลึกๆ ว่าจะเจอหมอกกะเค้าบ้าง แต่สุดท้ายก็อดไปตามระเบียบ)
หลังจากถ่ายรูปกันจนแสงจ้า เป้าหมายต่อไปก็คือของกิน เลยพุ่งไปหาร้านอาหารอย่างด่วน
และระหว่างที่เรากำลังส่องหาร้านอาหาร เราก็เจอ “ไร่สตอเบอรี่” เรียงรายไปตลอดสองข้างทาง
ส่วนมากที่เขาค้อจะนิยมปลูกสตอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 80 ถึงลูกจะเล็กไปหน่อยแต่เรื่องความหวานและความอร่อยรับรองไม่ผิดหวัง มีให้เลือกทั้งแบบลงไปเก็บเองในสวนและแบบที่เจ้าของสวนเก็บใส่กล่องไว้เรียบร้อยแล้ว เลือกสรรกันตามใจชอบนะจ๊ะ
ขับรถดูโน่นดูนี่แถวเขาค้อสักพัก พอตกบ่ายเราก็ต้องหาที่พักสำหรับคืนแรก ไอ้จะให้ไปนอนสบายๆ ที่รีสอร์ทหรูๆ ก็ดูจะไม่เป็นตัวเราสักเท่าไหร่ ... งานนี้ต้องเต็นท์เท่านั้นที่เราคู่ควร
ตอนแรกเลยก็กะจะไปกางเต็นท์นอนกันบนจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ แต่เมื่อคาดเดาแล้วว่าตอนเช้าคงไม่มีหมอกแน่นอนแถมลมข้างบนก็แรงมาก เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนที่หมาย
คืนแรกของเราเลยไปจบที่นี่ “อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง (หนองแม่นา)” อยู่ห่างจากเขาค้อมาแค่ประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
สำหรับที่นี่ได้รับสมญานามว่าเป็น “ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย” ที่นี่จะมีป่าสนขึ้นสลับกับทุ่งหญ้าและมีต้นไม้ประจำถิ่นชื่อ “ต้นแสลงใจ” ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
ไปถึงปั๊บก็ติดต่อขอเช่าเต็นท์กับพี่เจ้าหน้าที่อุทยาน ได้เต็นท์มาก็เลือกทำเลกางได้ตามใจชอบ ส่วนเรื่องการกางเต็นท์ก็ต้องงัดวิชาลูกเสือเนตรนารีมาใช้กันพอสมควร สุดท้ายก็กางสำเร็จ เย้ !!!
กางเต็นท์เสร็จพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เราเลยเช่าจักรยานในอุทยานปั่นเล่นไปเรื่อยๆ ให้อารมณ์เหมือนปั่นอยู่อาฟริกา พอเหนื่อยก็กลับมาอาบน้ำ กินข้าว พูดคุย และนอน
หลังจากได้เข้านอนเร็วที่สุดในรอบหลายเดือน ตื่นเช้ามาเปิดเต็นท์ก็เจอ “หมอก”
ตื่นเต้นดีใจลืมง่วงกันเลยทีเดียว งานนี้รีบคว้ากล้องแล้วพุ่งตัวลงไปในทุ่งหญ้าอย่างไว
หลังจากวิ่งเข้าไปในทุ่งหญ้าเพื่อซึมซับสายหมอกได้สักพัก ก็ถึงเวลาล้างหน้าแปรงฟัน
แต่ระหว่างทางเดินไปห้องน้ำกลับเจอสิ่งนี้ “แสงเทพ” ถึงกับลืมเรื่องการล้างหน้าแปรงฟันไปอีกพักใหญ่
เมื่อชื่นชมกับธรรมชาติและอากาศดีดีจนเต็มปอด ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปยังที่หมายต่อไป “ภูทับเบิก” สำหรับทริปนี้เราขึ้นภูทับเบิกด้วยเส้นทางผ่านอำเภอหล่มเก่า ซึ่งเป็นเส้นทางที่ชันและคดเคี้ยวชวนเสียวไส้อยู่พอสมควร เข้าโค้งทีก็ส่งเสียงให้กำลังใจคนขับทีจนถึงที่หมาย (ใครไม่มั่นใจเราแนะนำให้ไปทางนครไทย เส้นทางขับสบายแต่อ้อมกว่าเท่าตัว)
สำหรับวันสุดท้ายขอพักแบบสบายๆ กันหน่อยแล้วกัน หลังจากโยนกระเป๋าไว้บนเตียงเรียบร้อยก็หยิบกล้องมาถ่ายวิวจากที่พักนิดหน่อย ก็จัดว่าดีใช้ได้เลย
อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็ออกไปหาข้าวกิน จิบกาแฟ ถ่ายรูปตามวิถีคนชิคจนมืดค่ำ
ส่วนมื้อเย็นก็ต้องจัดนี่เลย “หมูกระทะ” ชุดใหญ่ในราคา 500 บาท มีให้เลือกหลายร้านตามชอบ (กินเพลินจนลืมถ่ายรูป) กินจนหมดชุดก็กลับที่พักอาบน้ำอุ่นขดตัวใต้ผ้าห่มแล้วหลับ
เช้ามาก็เจอวิวแบบนี้หน้าที่พัก
หลังจากนั้นก็เก็บของ ลงเขามาจกส้มตำและขนมจีนตรงร้านแถวๆ ตีนภูทับเบิก ซื้อผลิตภัณฑ์จากมะขามหวานของดีเมืองเพชรบูรณ์ แล้วขับรถกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ปล. ริมถนนแถวลพบุรีมีทุ่งทานตะวันบานอยู่นะ แวะถ่ายรูปกันได้
************************************************
แอบคิดว่าสิ่งที่เขียนมามันเรียกว่ารีวิวได้มั๊ยนะ?
แต่ก็ช่างเถอะ ... คิดซะว่าเพื่อนมาเม้าท์ให้ฟังแล้วกันเนอะ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้นะ
“ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเดินทาง”