เที่ยวลำปาง...ทริปนี้ อิ่มใจ อิ่มบุญ...
มา ถึงเดือนสุดท้ายของปี 2557 กันแล้ว ในเหมันต์ฤดูแบบนี้ ใครๆก็คงขึ้นเหนือเที่ยว ป่า เขา กันแทบทั้งนั้น และวันนี้ผมขอพาขึ้นเหนือไปเที่ยวจังหวัดน่ารักๆ ที่น่าเที่ยวมาฝากกัน อย่างจังหวัด ลำปาง ไปๆครับไปพิสูจน์กันสิ ว่าลำปางหนาวมาก จริงไหม ^_^
ทริ ปนี้ผมและทีมได้รับเชิญจาก Nok Air ให้ไปเที่ยว ไปชม และไปชิมด้วยกัน 2วัน 1คืน กับหนึ่งในเมืองน่ารักที่สุดเมืองนึงของภาคเหนือ อย่างลำปาง ผมจึงไม่รีรอที่ตกปากรับคำโดยไว ทำไมนะเหรอ นอกจากจะได้เที่ยว ได้บินไปกับไฟล์ทเปิดตัว กรุงเทพฯ-ลำปาง เที่ยวแรกของ Nok Air แล้ว ยังมีอีกเหตุผลนึงก็คือ หากย้อนหลังไป 5 ปีก่อน เมืองลำปางคือหนึ่งในเมืองฮันนีมูนของผมนั้นเองครับ การได้กลับไปเที่ยวเมืองน่ารักๆ ผู้คนน่ารัก แบบลำปาง เที่ยวชมเมือง ชมสถาปัตยกรรมโบราณ ที่ล้วนแต่เป็นตำนานที่คุณอาจจะยังไม่รู้
เพราะฉะนั้นหนนี้ อยากจะขอหยิบเรื่องราวที่น่าประทับใจตลอดทริปนี้ให้เห็นเป็น Hilight ที่ประทับใจและน่าเป็นประโยชน์สำหรับใครที่จะตามรอยกันได้
การเดินทาง
อย่างที่บอกไปทริปนี้เราไปเปิดทริปกับ Nok Air เที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ลำปางใช้เครื่องบินรุ่น
เป็นดอนเมือง-ลำปาง บิน 2 เที่ยวบิน/วัน
คือเวลา 06:05 - 07:35 / 17:30 - 19:00
และขากลับ
ลำปาง-ดอนเมืองเวลา 08:05 - 09:35 / 19:30 - 21:00
เครื่อง ที่พาเราเหิรฟ้าไปทริปลำปางเที่ยวนี้เป็นเครื่องใหม่หมาดๆ ที่พึ่งส่งมอบ และนำมาเปิดใช้บริการกันเลยเป็น Nok Anna (นกแอร์จะตั้งชื่อเครื่องบินของตัวเองทุกลำครับ และขึ้นต้นนำหน้าด้วยคำว่า นกทั้งหมดด้วย )ของ Bombardier รุ่น Q400 NextGen ที่บรรทุกผู้ผู้โดยสารได้ 86 คน ถือเป็นเครื่องบินแบบใบพัด รุ่นล่าสุด และจุผู้โดยสารได้มากที่สุดในโลกรุ่นนึง โดยที่มาของชื่อรุ่นตัว Q นั้น มาจากคำว่า Quited เพราะเสียงภายในเครื่อง ที่เงียบกว่าเครื่องบินใบพัดรุ่นอื่นๆถึง 15 เดซิเบลนั้นเอง ซึ่งเราพิสูจน์แล้วว่าจริงนะครับ ...
นั่ง อยู่ในเครื่องถือเป็นเครื่องใบพัดที่เงียบมาก (หากเทียบกับเครื่องบินใบพัดด้วยกันนะ) แต่ก็ไมไ่ด้เงียบเชียบแบบ เครื่องบินเจ็ทนะครับ
ในอดีตผมเคยนั่งเครื่องบินใบพัดหลายครั้ง หนึ่งในครั้งที่จำได้คือนั่งของสายการบินลาวแอร์ไลน์ บินจากหลวงพระบางกลับมาเวียงจันทน์ เสียงจะดังกว่านี้หลายเท่ามากเวลาคุยนี้ต้องแข่งกันกับ เครื่องเลยทีเดียว
ที่เที่ยวชมสถาปัตยกรรมล้านนา
ใช้ เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงนิดๆ น้อง Nok Anna ก็พาคณะเรามายืนยิ้มกลางแดดเปรี้ยงๆที่สนามบินลำปาง เรียบร้อย สนามบินนี้ขนาดเล็กๆเหมาะมากกับเครื่อง Q400 จะบินมาลงได้ว่าแล้วก็ชักภาพร่วมกันสักนิด และชาวคณะก็พร้อมจะเดินทางเข้าไปยังลำปางเมืองแห่งประวัติศาสตร์สำคัญของภาค เหนือกันทีเดียว
ที่เที่ยวอิ่มบุญ เมืองลำปาง
กองทัพ เดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้นหลังจากลงเครื่อง ทั้งคณะก็เริ่มต้นมื้อเช้ากันที่ "ร้านรสนานา" ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมานาน ของเมืองลำปาง เปิดขายมาตั้งแต่ ปี 2531 เรียกว่าเปิดขายกันมาเกิน 20 ปีแล้วน่าจะการันตีรสชาติกันได้ อาหารถูกจัดเตรียมไว้รอชาวคณะเรียบร้อย อาหารรสชาติดี ทีเดียวละครับ
ที่ นี่มีจุดเด่นคือ การจัดเมนูเป็นเซ็ท ตามจำนวนคนที่มาทานได้ เช่น 3-5 คนสำหรับอาหาร คือใน 1 เซ็ทสามารถคละเมมนูอาหารได้หลากหลาย ทางร้านมีการจัดเป็นตัวอย่างให้เราสั่งได้
และ ที่มีชื่อเสียงของร้านคือ กุนเชียงฮ่องกง เป็ดพะโล้ ต้มจืดเต้าหู้ ขาหมู หมูผัดพริก เมนูดูเรียบๆแต่รสชาติดีมากเลยทีเดียว ไม่เผ็ดมากกลมกล่อมดีทีเดียว และที่สำคัญ มีเสริฟ ขนมและน้ำผลไม้ที่หลากหลายมาก ผมเองสั่งมาทานเพิ่มด้วยสดชื่นดีทีเดียว
ร้านเปิดตั้งแต่ 8.00-20.00 น.ทุกวันนะครับแวะเวียนมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองกันได้
อิ่ม กันดีก็ได้เวลาไปอิ่มบุญกันต่อแล้วละครับ จริงๆแล้วจังหวัดลำปางเอง ในอดีตคือเมืองท่าสำคัญในการค้าขาย โดยเฉพาะค้าไม้ โดยจะลำเลียงซุงลงมาทางน้ำไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าชาวจีน ชาวพม่าต่างก็ใช้เส้นทางแม่น้ำวัง จนเรียกได้ว่า เมืองลำปางคือหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่สุดเมืองนึงของภาคเหนือกันเลย และวันนี้เราจะมาพิสูจน์กัน
ยิ่งเปิดเส้นทางบินแบบนี้ก็เชื่อได้ว่าคน ลำปางเองก็คงถูกใจและพร้อมรับกับนักท่องเที่ยวใหม่ๆที่จะแวะเวียนมาเที่ยว กันได้ง่ายขึ้น และที่แรกที่หากใครมาลำปางแล้วไม่มากราบนมัสการ "พระธาตุลำปางหลวง" แล้วก็น่าจะเรียกว่ายังมาไม่ถึงกันได้เลยนะครับ
วัด พระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานหากย้อนกลับไป มีการกล่าวไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ตัวพระธาตุลำปางเอง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู(ผมก็เกิดปีนี้เช่นกัน และที่เป็นเหตุบังเอิญสุดๆคือในทริปนี้ มีคนเกิดปีฉลู ไปด้วยกัน 3 คน 3 รุ่น!!! ) และเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลู
นอกจาก เรื่องสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ ทางกรมศิลป์ พยายามอนุรักษ์เอาไว้ให้เป็นแบบเดิมมากที่สุด ไม่พยายามเพิ่มเติม ตกแต่งด้วยของใหม่เข้าไป จนดูแตกต่างกันชัดเจน ผมว่าที่นี่หากใครอยากมาชมลวดลายช่างล้านนาภาคเหนือแท้ๆ ที่นี่ก็คือคำตอบครับ
ภายใน วัดพระธาตุฯ มีสถาปัตยกรรมที่งดงามอยู่หลายจุด ที่ควรมากราบนมัสการ และมีวิหารสำคัญ 3 แห่งคือวิหารหลวง วิหารพระพุทธ และวิหารน้ำแต้ม ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิหารที่สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเก่าแก่ที่สุดของล้านนา
ตัว วิหารหลวงหรือ อีกชื่อเรียกกันคือ มณฑบพระเจ้าล้านทอง ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร
ตัวพระธาตุเองภายในบรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง
ยอด ฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ อันเป็นแบบที่นิยมสร้างกันในพระธาตุทางภาคเหนือ เราจะพบเจอได้ที่พระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง เช่นกัน
และสิ่งที่ถือเป็น Unseen Thailand ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงคือ เงาพระธาตุกลับหัว ในซุ้มพระบาท ในประวัติกล่าวไว้ว่า สร้าง ครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นและเข้าไปในโบสถ์
ภายใน ทางวัดได้นำตัวจอภาพฉายสไลด์ มาตั้งไว้ด้านใน เพื่อให้เงาที่ตกทอดดูชัดขึ้น ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้งนี้ครั้งแรกก็สุดแสนใจแปลกใจที่ มันก็ชัดจริงๆแม้จะไม่คมชัดเหมือนภาพถ่ายเวลา focus ก็ตามแต่นี้ก็ Amazing มากๆแล้วละครับ
และ ก่อนจะออกไปในฐานะคนปีฉลูเลยต้องเวียนเทียนกันเพื่อเป็นสิริมงคลกัน สักนิด ข้อดีมากๆคือทางวัดปูเสื่อไว้ให้เดินง่ายแม้ในวัดร้อนๆแดดอย่างวันที่เราไป เช่นกัน
อ่อ อีกนิดหากมีโอกาสเดินเวียนเทียนให้ลองสังเกตุรอยกระสุนที่รั้วทองเหลืองรอบ องค์พระธาตุจะมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศ จนตอนหลังเกิดเป็นสงคราม และได้รวมไพล่พลต่อสู้เพื่อขับไล่กองทัพพม่า จนสังหารท้าวมหายศได้สำคัญ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้สถาปนาเป็นเจ้าเมืองลำปาง นามว่า ‘พญาสุวฤษไชยสงคราม’ และท่านยังเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง, ณ ลำพูน, ณ เชียงใหม่ ที่เราคงเคยผ่านตากันมาบ้างแล้วนั้นเอง
ทริ ปนี้เน้นไหว้พระทำบุญ เพราะฉะนั้นจะมีวัดวาอาราม ที่เด่นๆหยิบมาเล่าให้ฟังกัน อย่างวัดต่อมาเป็น "วัดไหล่หินหลวง" หรือ วัดเสลารัตนปัพพตาราม
เป็น อีกวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลำปาง มีพระวิหารเก่าแก่ฝีมือสล่า ศิลปะแบบล้านนาไทย ประดับลวดลายงดงามทั้งหลัง โดยเฉพาะส่วนหน้าบัน และซุ้มประตูที่มีการก่ออิฐถือปูนประดับรูปปั้นสัตว์ศิลปะล้านนาแท้
จุด เด่นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวรู้จักที่นี่อย่างแพร่หลายคือ วัดนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนต์พระนางสุริโยทัย ด้วย ทำให้ทางวัดจึงต้องนำ ภาพจากตอนที่มาถ่ายทำเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน
ภายในวัดเองก็สวยงามนะครับ ร่มรื่นเป็นธรรมชาติมาก
ยัง ไม่ทันไร แป๊บๆก็เที่ยงแล้วและพวกเราก็มายังร้านขึ้นชื่อในด้าน ขนมจีน ร้านนี้เป็นที่นิยมของคนลำปาง และนักท่องเที่ยวที่ใครมาเมืองนี้ยังไงก็ต้องลองแวะเข้าไปสักครั้ง ที่ "ร้านครัวมุกดา"
สมกับที่ขนมจีนร้านนี้ขึ้นชื่อ ทานร้านจึงเสริฟน้ำยาแบบต่างออกมาให้เราได้ลิ้มชิมรสกัน
ส่วนตัวผมเป็นคนทานขนมจีนไม่เก่งนัก แต่มื้อนี้เรียกว่ายอมยกหัวแม่โป้งให้สองข้างกันเลย
อร่อยเลิศมาก น้ำยาอร่อยหมด และยังมีไก่ทอดรสดีเสริฟมาพร้อมๆกันด้วย
อิ่นกันดีก็ได้เวลาไปต่อกันแล้ว
วัด ที่สามที่ควรไปกราบนมัสการและเยี่ยมชมคือ "วัดศรีชุม" วัดที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวัดที่ได้รับอิทธิพลจากพม่าที่ใหญ่ที่สุดของ ประเทศไทยแล้ว
ประวัติที่ค้นมาๆได้คือ เป็นวัดพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สร้างในปี พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่า ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย เมื่อตนเองมีฐานะดีขึ้นจึงต้องการทำบุญโดยสร้างวัดศรีชุมขึ้นในตำบลสวนดอก ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการบูรณะวัดที่มีอยู่เดิม เพราะเดิมนั้นวัดศรีชุมก็เคยเป็นวัดมาก่อน แต่เป็นวัดเล็กๆมีเพียงศาลา บ่อน้ำ และต้นโพธิ์เท่านั้น ต่อมาในปี 2435 คหบดีชาวพม่าจึงได้ทูลขออนุญาตเจ้านครลำปางแล้วสร้างวัดศรีชุมนั้นขึ้น โดยตั้งชื่อเป็นภาษาพม่าว่า หญ่องไวง์จอง
วัด ศรีชุม เป็นวัดพม่าที่มีความสมบูรณ์และงดงามที่สุดในบรรดาวัดศิลปะพม่าทั้ง 31 วัดทั่วประเทศไทย กล่าวคือมีทั้งพระวิหาร พระอุโบสถ พระธาตุเจดีย์ กุฏิและซุ้มประตูเป็นแบบอย่าพม่าทั้งสิ้น
ช่วงที่ไปแสงช่วงบ่ายคล้อยแล้วทำให้เราเก็บแสงสวยๆได้
สังเกตุ ดูตรง หน้าบันเป็นลายดอกไม้ประดับกระจกสี ตัววิหารมีมุขบันไดทั้งสองด้าน มีการแกะสลักลวดลายลงรักปิดทองตัววิหาร เมื่อ ปี พ.ศ. 2535 ศิลปะดั้งเดิมถูกเพลิงไหม้จนเกือบหมด แม้จะมีการซ่อมแซมแล้ว ปัจจุบันเราก็ยังคงสังเกตุเห็นร่องรอย การถูกเผาไหม้อยู่บ้าง และก็มีการทำใหม่ขึ้นและพยายามรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้มากที่สุด
วัดถัดมาเป็นวัด “วัดปงสนุก” วัดขนาดย่อมๆ แต่มีประวัติน่าสนใจไม่แพ้วัดอื่น เพราะเป็นวัดแห่งเดียวของไทยเราที่ได้รับรางวัล “Award of Merit” จาก UNESCO ในปี 2008 และเคยเป็นที่ประดิษฐาน เสาหลักเมืองเสาแรกก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ก่อนจะย้ายไปประดิษฐานที่ ณ.ที่ตั้งศาลาว่าการ (หลังเก่า) ในปัจจุบันนี้ ภายในวัด ตอนนี้มีการสร้างองค์จำลองไว้ให้นักท่องเที่ยว ได้รู้ว่าเคยมีมาก่อน
มีการสันนิษฐาน ว่าตัววัดมีการสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน และในเวลาต่อๆมาก็มีการแบ่งวัดออกเป็น วัดปงสนุกเหนือ วัดปงสนุกใต้ จนกระทั้งมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2429
สถาปัตยกรรม ที่สำคัญในวัด คือวิหารจตุรมุข ทรงปราสาท ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูป 4 องค์ ที่หันพระพักตร์ไปทั้ง 4 ทิศ เสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าที่กำเนิดมาแล้ว 4 พระองค์ตามพุทธประวัติ
และ ภายในวิหารยังประดับตกแต่งด้วยพระเครื่องดินเผา 1,080 องค์ ที่ประดับอยู่ภายในโดยรอบวิหาร จนได้ชื่อว่าเป็นวิหารพันองค์ นั้นเองครับ
และ ตัววิหารนี่เองละครับ ที่ทำให้ได้รับรางวัล เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังสวยงามมากครับ
ที่ นี่ผมยกให้ในด้านความประทับใจส่วนตัว เพราะตัววัดมีความสวยงาม การตกแต่งก็ดี การขึ้นปูนปั้นที่ตรงบันได ทำให้วัดดูมีเสน่ห์ แก่การเก็บภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก
วิหารด้านบนเองยังเป็นที่ประดิษฐานองค์ พระนอนองค์ใหญ่อีกด้วย
หลัง จากชมวัดมาทั้งวัน ได้เวลาชมเมืองกันบ้างแล้ว และชาวคณะก็ได้รับการต้อนรับขับสู้ จากพาหนะที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างรถม้าเมืองลำปาง
เรียกว่าเอ่ยถึงเมืองนี้ไม่พูดถึงรถม้า ถึงเป็นของคู่บ้านคู่เมืองลำปาง อีกอย่างทีเดียว
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังกุบกันชวนให้ผมนึกถึงหนังคาวบอยขึ้นมาเลย แต่เราไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็สามารถมีประสบการ์ณ เดียวกันนี้ได้