ออกเดินทาง...ไปผ่อนกายคลายใจกัน
"อาทิตย์นี้ ไปไหนอีกหละ..." เสียงตามสายถามด้วยความประชดปนหมั่นไส้เล็กๆ 555 เลยตอบว่าจะไปทำบุญซักหน่อยเพราะเนินนานแล้วที่ไม่ได้ถวายสังฆทานบวกกับสัปดาห์นี้ไม่ได้นัดแก๊งไหนเที่ยว อิอิ ขอเที่ยวส่วนตัว
เอาวัดใกล้ๆ นี้แหละตั้งต้นจากคลองหก จังหวัดปทุมธานีไปตามเส้นทางหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เลยมหาวิทยาลัยไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถึงวัดหว่านบุญ
บรรยากาศในวัดเงียบสงบดี อาจเป็นเพราะเดินทางมาถึงยังเช้าอยู่ เจอบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มวางของขาย วันนี้เป็นวันทำบุญสารทเดือนสิบ ไหนๆ ก็ไม่ได้กลับไปทำบุญที่ใต้แล้วก็ขอทำบุญให้ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติๆ ทั้งหลายสักหน่อย>>>> สาธุ ที่วัดหว่านบุญมีการจัดเตรียมเครื่องสังฆทานไว้พร้อมสามารถทำบุญตามกำลังศรัทธาและกำลังเม็ดเงินในกระเป๋าของตัวเองได้เลย หรือจะตระเตรียมมาเองก็ตามสะดวกถวายสังฆทานเสร็จขอเดินเล่นรอบๆ บริเวณวัด ผู้คนเริ่มทยอยมา มีทั้งมาเป็นคู่ เป็นครอบครัว และมาเป็นแก๊ง แปลกใจ!!! ขนาดไม่ใช่วันที่มีการเวียนเทียนยังเห็นวัยรุ่นเข้าวัดกันเยอะเหมือนกัน
ขณะเดินชมบริเวณวัดต้องมาจอดตรงต้นไม้ที่มีดอกแปลกตา กลิ่นหอมละมุ่นๆ เลยรีบหาข้อมูล ชื่อต้นลูกปืนใหญ่ หรือ สาละลังกา สีสันสะดุดตาแจ่มจะแหล่มโดดเด่นกว่าลำต้น อืมม !!!
เดินเล่นจนรู้สึกแดดเริ่มแรง ไปไหนต่อดี เรามันเป็นพวกเดินหน้าแล้วไม่ถอยหลังกลับ เรียกว่า "ไม่มืดไม่กลับ" ซะด้วย ถ้าเป็นภาษาใต้จะต้องพูดว่า "หวันไม่พลัดไม่หล๊อบพรืด" 555
ตัดสินใจไปจังหวัดนครนายกหละกัน ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร มาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 305 ขับรถชิว ชิว กินลมไปเรื่อยๆ อาจทำให้รถคันหลังหงุดหงิดก็ต้องขออภัย พอดีไม่รีบ 5555
ตลอดเส้นทางถนนค่อนข้างดี บรรยากาศสองข้างทางก็ชุ่มชื่นหลังเจอฝนฟ้าคะนองทำให้น้องน้ำต้องรอการระบาย(สงสัยคงต้องให้กินยาถ่ายบ้างหละ น้องน้ำจะได้ระบายคล่องๆ 5555) ทำให้คนในเมืองกรุงต้องฝึกสมาธิและฝึกความอดทนกันไปในรถบนท้องถนนก่อนกลับบ้าน
หยุดพักรถเป็นระยะๆ เพลานั้นรถยังไม่เยอะทำให้สามารถสูดออกซิเจนเข้าปอดได้ ขอชื่นชมบรรยากาศสักแพ๊รบบ...
ขับรถกินลมชมทุ่ง ชมเขาไปไม่นานเข้าเขตจังหวัดนครนายก ดูนั่นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเด่นอยู่ตรงหน้า มีทั้งเขื่อนขุนด่านปราการชล น้ำตกสาริกาและล่องแก่ง จะไปไหนก่อนดี ตัดสินใจแวะตลาดโรงเกลือก่อนหละกัน ขับรถผ่านเมืองนครนายก ไปตามเส้นทางหมายเลข 305 และเลี้ยวซ้ายต่อถนนหมายเลข 3049 ขับตรงไปเรื่อยๆออกจากตัวเมืองนครนายกประมาณ 5 กิโลเมตรก็ถึงตลาดโรงเกลือนครนายกมีด้วยกัน 2 โซน คือ โซน C1 และ โซน C2 หากขับรถมาทางตัวเมืองนครนายกจะถึงโซน C1 ก่อนและอยู่ทางขวามือ ติดกับทางเข้าวัดหลวงพ่อปากแดง ส่วนโซน C2 จะอยู่ด้านซ้ายมือ
ตัดสินใจเข้าไปโซน C1 เลี้ยวขวาเข้าที่จอดรถมีค่าธรรมเนียม 20 บาทไม่จำกัดชั่วโมง แปลกใจรอบที่ 2 ทำไมตลาดดูช่างเงียบเหงาพ่อค้าแม่ค้ามีเยอะกว่าลูกค้า ด้วยความอยากรู้จึงพูดคุยสอบถามบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ได้ความว่า เราเองที่มาเช้าเกิน และวันนี้วันพระ ลูกค้าไปทำบุญกันในช่วงเช้า สายๆ บ่ายๆ จึงจะมีเข้ามาจับจ่ายซื้อของ ดีดี!!! จะได้เดินชมสินค้าอย่างสบายใจ อิอิ
กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ผ้าห่ม ฯลฯ และอีกมากมาย เดินไปนึกสงสารสตางค์ในกระเป๋าไปเพราะมีสิ่งของมายั่วตายั่วใจมากมาย สงสัยคงไม่ได้นอนอยู่ในกระเป๋าเสียแล้วกะตางค์น้อยๆ ของข้าเอ๊ย!! ^^
ต้องงัดเสน่ห์อันเย้ายวนกวนอารมณ์บวกกับกลยุทธ์การต่อรองราคาสินค้าต่างๆ ชวนพ่อค้าแม่ค้าคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วใช้จังหวะเผลอฟันราคาลงมาเกือบครึ่ง เอาตอนแม่ค้ากำลังมืนๆ งงๆ นี้แหละ 555 จริงๆ เราก็เริ่ม งง งง เหมือนกัน เพราะบางครั้งไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่แม่ค้าพูด โอ๊ะ โอ๊ะ!!! นี้เราอยู่ประเทศไหนกันเนี้ยะ 5555
ต่อรองกันไปมาสนุกสนานบางครั้งต้องใช้แผน "นึกเสียว่าสงสาร" หนูเถอะโปรยสายตาเรียกร้องความน่าสงสารสุดๆ 555 ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างก็ว่ากันไป แต่พ่อค้าแม่ค้าที่นี้น่ารักไม่มีมาทำเสียงรำคาญใส่และอดทนต่อความวุ่นวาย เรื่องมากของเราเป็นที่สุด เอ๊ะ!! หรือว่าด่าไปแล้วแต่เราไม่รู้เรื่อง 555
เริ่มเครียดหลังจากเห็นของเต็มหลังรถ จะซื้อไปขายต่อหรือไงเนี้ยะฉัน 555 ว่าแล้วไปหาของกินดีกว่า ถามตัวเองอยากกินไร?? ใจบอกอยากกินส้มตำ รอบนี้จึงขอใช้บริการเพจ wongnai ค้นหาร้านน่านั่ง จนมาเจอร้าน "น้องข้าวโอ๊ต" เพราะเป็นร้านตามเส้นทางการท่องเที่ยวสถานีถัดไป
จากตลาดโรงเกลือไปต่อตามถนนหมายเลข 3049 ตรงไปทางที่จะไปน้ำตกสาริกาประมาณ 13 กิโลเมตร ร้านจะอยู่ริมถนน จุดสังเกตเมื่อถึงป้ายอุทยานวังตะไคร้ชิดซ้ายเตรียมจอดเลยคร้า
ร้านจะอยู่ด้างล่างมีธารน้ำไหลผ่าน สามารถจอดรถหน้าร้านได้แต่ทางลงจะชันและแคบเล็กๆ พอให้เสียวนิดๆ หรือจะจอดแอบข้างบนที่ถนนทางหลวงบนสะพานก็ได้ แต่จะตรงกับทางโค้งพอดีก็ได้ลุ้นกันไป 555ที่ร้านมีที่นั่งให้เลือก 2 แบบตามหัวเข่าหรือข้อเท้าใครสะดวกจะเลือกนั่งแบบปูเสื่อหรือนั่งเป็นโต๊ะก็ว่ากันไป และสามารถเล่นน้ำในลำธารได้ ตอนที่ไปน้ำจะค่อนข้างเชี่ยวเพราะฝนเพิ่งจะหยุดตก
บรรยากาศค่อนข้างดี พูดถึงรสชาติอาหารก็ใช้ได้ถึงอร่อยระดับ 7 เต็ม 10 แต่หากใครมาทานแล้วต้องการทิชชูต้องพกมาเองนะเพราะที่ร้านไม่มีบริการ แต่ทางร้านจะบริการหามาให้และคิดเงินม้วนละ 10 บาท จัดไป>>>>ท้องอิ่มแล้วไปต่อสถานีถัดไปของเราคือ เขื่อนขุนด่านปราการชล เดินทางต่อตามถนนหมายเลข 3049 จะมีป้ายบอกตลอดเส้นทาง ดีใจ!!! รอบนี้ไม่มีหลงเลยสักนิด อิอิ ภูมิใจเป็นที่สุด 5555
ประมาณ 7 กิโลเมตรกว่าๆ ก็จะเข้าเขตอุทยานฯ ตื่นเต้นๆๆๆ แอบสงสัยเราจะตื่นเต้นทำไมนักหนา 555 ตอบรู้สึกดีใจที่เห็นธรรมชาติที่สวยงามแม้บางครั้งจะเป็นการสร้างสรรค์จากมนุษย์ก็ตาม อิอิโอ้โห!!! นี่เรามาเที่ยวมรดกโลกทางธรรมชาติเลยเชียวนะ 5555 เขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดที่ยาวที่สุดในโลก (ที่สุดในโลกอีกแล้ว) ยิ่งใหญ่ไหมหละ? ตั้งอยู่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก เขื่อนแห่งนี้สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนเพื่อใช้ในหน้าแล้งและควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมในฤดูฝน Cr.กรมชลประทานอืมมม+++ สวยจริงๆ สมแล้วที่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ >>>
นั่งทอดกาย ทอดใจลอยละล่องไปตามกระแสลม มันช่างดีแท้ๆ
นั่งมองผู้คนสนุกสนานเริงร่าตามวิถีของแต่ละคนก็เพลินไปอีกแบบ>>>
เห็นพี่เขาถือปลาตัวใหญ่ อยากลงไปร่วมแจมด้วยแต่....อย่าไปเกะกะพี่เขาดีกว่า 5555
รูปนี้ไม่ได้จัดฉาก แต่ขำตรงที่ 2 คู่มายืนโพสท่าเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย โดยมีเรานั่งเดี่ยวคั่นกลาง เอ้า เอากันเข้าไป เห้อ!!! ชีวิตคนโสด ฟ้าดินกลั่นแกล้งกันชัดๆ 5555 นี่ฉันนั่งผิดที่ผิดทางเองใช่ไหม ToT
อีกฟากของเขื่อนสามารถเดินเข้าไปชมสันเขื่อนที่ยาวที่สุด หรือใครจะสะดวกเช่ารถไฟฟ้าไปก็ได้เช่นกัน จำได้ว่าเขาคิดเป็นชั่วโมง แต่จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไร ต้องขออภัยเพราะไม่ได้เช่าเลือกที่จะเดินเรื่อยๆ เพื่อเข้าไปชม
เพราะมัวแต่ถ่ายรูปและนั่งเล่นจนพระอาทิตย์กำลังตกขอบฟ้า เจ้าหน้าที่เป่านกหวีดเชิญนักท่องเที่ยวกลับเวลา 18.00 น. เสียดายไม่ได้เดินไปจนสุดสันเขื่อน>>>
หมดเวลาสนุกแล้วสิ ได้เวลากลับบ้านจริงๆ บอกแล้ว "หวันไม่พลัดไม่หล๊อบพรึด" 5555 โบกมืออำลานครนายก มีโอกาสจะแวะมาเยี่ยมอีกครั้งเพราะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งรออยู่ แล้วค่อยเจอกัน>>>>>>