DAY 1 :: วัดพระธาตุแก่นนคร - วนพรรณฟาร์ม - The Little Box - จุดชมวิวหินช้างสี
หากเรามีวันหยุดไม่มาก แต่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศไปไกลจากกรุงเทพมหานคร เมืองรถติดที่แสนวุ่นวายนี้สักหน่อย รอบนี้เราขอแนะนำจังหวัดขอนแก่นให้เป็นหนึ่งในลิสต์เดินทางไปพักผ่อนเลย จริง ๆ แล้วขอนแก่นเป็นเมืองใหญ่ของภาคอีสานบ้านเราที่มีบรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคักที่สุด และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรมที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวจึงมีมากมายหลายรูปแบบ รวมถึงที่เที่ยวตามอำเภอต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติก็สวยงามไม่แพ้ในเมือง จึงเรียกได้ว่าไปเที่ยวขอนแก่นครั้งเดียวก็ได้เที่ยวครบแบบหลากหลายรสชาติเลย
ทริปนี้เราเริ่มเดินทางจากสนามบินดอนเมืองบินตรงสู่ขอนแก่น เลือกไฟลท์เช้าหน่อยเพราะจะได้มีเวลาเที่ยวในเมืองขอนแก่นให้เต็มที่ สถานที่แรกที่แวะหลังเครื่องจอดคือ "วัดพระธาตุแก่นนคร" หรือเรียกอีกชื่อว่า "วัดพระธาตุหนองแวง" วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนกลางเมือง ริมบึงแก่นนคร เป็นพระอารามหลวง สร้างขึ้นในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ลักษณะฐานของพระธาตุเป็นฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 50 เมตร สูง 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห จุดเด่นของพระธาตุคือ ในแต่ละชั้นจะมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น ,หอปริยัติธรรม,หอพิพิธภัณฑ์ และหอพระต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนารวมอยู่ ไฮไลต์อยู่ที่ชั้นบนสุด เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมทัศนียภาพของตัวเมืองขอนแก่นได้ทั้ง 4 ด้าน แบบ 360 องศา รวมถึงสามารถมองเห็นวิวบึงแก่นนคร บึงเก่าแก่ที่อยู่คู่กับเมืองขอนแก่นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หลังจากไหว้พระเรียบร้อยแล้วเราก็ไปเที่ยวฟาร์มกันต่อ ไม่ใช่ฟาร์มม้า ฟาร์มแกะอะไรแบบนั้น แต่เป็นฟาร์มที่ใช้ทฤษฎีเศรษกิจพอเพียงมาร่วมด้วยที่นั่นคือ "วนพรรณฟาร์ม" ฟาร์มเกษตรที่ผสมผสานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ากับการแปรรูปผลผลิตเป็นของใช้ในครัวเรือนจากสมุนไพร และผักพื้นบ้าน เช่น ทำสบู่ ครีมอาบน้ำ เป็นต้น
แนวทางของที่นี่เป็นการทำเกษตรเพื่อจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย และมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นนาปลูกข้าว พื้นที่สำหรับปลูกพืชไร่นานาชนิด และที่อยู่อาศัย ในส่วนของที่อยู่อาศัยจะรวมถึงการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำผลผลิตมาใช้บริโภคด้วย อย่างเช่นการเลี้ยงไก่เพื่อนำไข่ไก่มาบริโภค กิจกรรมที่นี่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวทั้งเด็ก และผู้สูงอายุ เราจะได้ลองทำผลิตภัณฑ์จากผักที่ปลูกได้เองในรั้วบ้าน เช่น แชมพูอัญชันบอระเพ็ด โดยใช้อัญชันเป็นส่วนผสม จะช่วยบำรุงเส้นผม และหนังศรีษะ ให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นให้เซลล์รากผมแข็งแรง จึงสามารลดอาการหลุดร่วมของเส้นผม และชะลอผมหงอก ความพิเศษของที่นี่คือ ถ้าเรามาช่วงมื้อกลางวัน จะได้ตำส้มตำจากมะละกอที่ไปสอยมาเอง หรือม้วนเปาะเปี๊ยะสดจากผัก และดอกไม้ในสวน เรียกว่าสายสุขภาพต้องปลื้มแน่นอน
ยามบ่ายเราไปผ่อนคลายชมวิวทุ่งนาที่กำลังเขียวขจีสวยงามที่ "The Little Box" พร้อมจิบกาแฟคลายร้อนกันหน่อย ที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่ และโฮสเทลขนาดย่อม เหมาะสำหรับคู่รัก นักเดินทางหรือ Backpacker สไตล์ค่ำไหนนอนนั่นมาก ๆ โรงแรมนี้มีสไตล์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และยังมีทุ่งนาผืนงามไว้ให้ถ่ายรูปกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ยิ่งตรงมุมแคร่ไม้ไผ้ริมนานี้...ขอหมอนสักใบหลับเพลินแน่นอนครับ
ตามแพลนเราตั้งใจมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่ "หินช้างสี" ในอุทยานแห่งชาติน้ำพอง ซึ่งเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่วิจิตรตระการตา แต่ด้วยอากาศที่แปรปรวนบ่อยยิ่งกว่าใจคนอีกนั้น ทำให้จุดชมวิวที่เราตั้งใจมาดูพระอาทิตย์ตกดินนั้นกลายเป็นมาดูฝนตั้งเค้าแทน ส่วนที่เรียกว่าหินช้างสี มีเรื่องเล่าอยู่ว่าแต่เดิมพื้นที่ป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีช้างป่า และสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็จะพบโป่งดินมากมาย และที่บริเวณโขดหินมีรอยแทะกินของสัตว์และร่องรอยโคลนดิน และขนช้าง ที่เกิดจากการเสียดสีผิวหนังของช้างป่า จึงเป็นที่มาของชื่อ หินช้างสี มาจนถึงปัจจุบัน จุดชมวิวที่ว่าต้องเดินเท้าต่อจากหินช้างสีไปอีกประมาณ 300 เมตร ภาพตรงหน้าก็จะเป็นวิวเขื่อนอุบลรัตน์ที่สวยงาม ถ้าในวันที่ฟ้าเปิด แดดดี ๆ ก็จะมองเห็นเทือกเขาภูเวียง และภูเก้าได้ชัดเจน
**ข้อแนะนำ** การที่เรามาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาตินั้น ไม่ควรขีดเขียน แกะสลักหินหรือเปลือกไม้เพื่อจารึกชื่อของตัวเอง บอกรักให้โลกรู้ เพราะนอกจากจะทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรมแล้วยังแสดงถึงจิตสำนึกที่ไม่ดีให้คนรุ่นหลังเอาเป็นแบบอย่างด้วย