Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
เราว่าเราหลงรักเขา "กิ่วแม่ปาน" กิ่วแม่ปาน (Kew Mae Pan) จ.เชียงใหม่
    • Posts-1
    How About •  December 12 , 2018

            ลมหนาวเริ่มพัดโชยมาแล้ว เป็นเหตุทำให้ฉันเกิดอาการอยากหนีทะเลเก็บกระเป๋าไปเที่ยวดอย “ท้าลมหนาว” กัน ซึ่งหนาวแรกมาเยือนนี้  ในเมื่อได้เวลาที่ลงตัวก็จะออกเดินทางไปสัมผัสหนาวแรกที่ "เชียงใหม่" อีกครั้งแต่เป็นสถานที่ที่ไม่เคยไปสัมผัสมาก่อน และตั้งใจไว้ครั้งนี้ต้องไปพิชิตด้วยตัวเองก็คือ "กิ่วแม่ปาน" ดอยอินทนนท์ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เขาว่ากันว่าสวยมาก

    แต่ครั้งนี้ต้องไปเที่ยวคนเดียว ขับรถก็ไม่เป็น มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับสิ่งที่เราอยากไปหา มันก็ต้องกล้าเสี่ยงกันหน่อย นั้นไปลุยพร้อมๆกันเลย

    "กิ่วแม่ปาน" หน้าหนาวคงเป็นจุดหมายของใครหลายๆคน ต้องไปสัมผัสธรรมชาติบนขุนเขาที่สูง ออกไปสัมผัสหมอก รับแสงแรกของวัน ณ ที่แห่งนี้ เริ่มต้นการเดินทางของฉันในฉบับคนเดียว ก็ต้องไปหาที่พักบนดอยอินทนนท์ซึ่งใกล้กับกิ่วแม่ปาน 

    - ได้ไปพักที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงใจกลางดอยอินทนนท์  "บ้านพักแม่กลางหลวงวิว" โดยที่มีพี่ไกด์ที่ได้ติดรถไปจากในเมืองช่วยหาจองให้ เพราะไปช่วงเสาร์ - อาทิตย์ เกือบทุกเจ้าก็เต็มกันทั้งนั้น (ราคาห้องละ 600 บาท โซนห้องด้านล่างอาคารร้านอาหารแม่กลางหลวงวิว)

    - รถที่จะไปกิ่วแม่ปานจากบ้านแม่กลางหลวง พี่ไกด์ก็แนะนำให้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นกันซึ่งสามารถเป็นไกด์ท้องถิ่นในการเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานได้ (ส่วนราคานี้ต้องคุยตกลงกันเอง)

          เดินทางกว่าจะมาถึงที่พักก็ค่ำมืดเลยเพราะติดรถเขามา ระหว่างทางขับรถขึ้นมาไม่ต้องเปิดแอร์กันเลย อากาศเย็นสบายมาก ดาวก็เต็มฟ้า และนี้เปิดบรรยากาศหน้าห้องพัก เปิดประตูก็เจอบรรยากาศสุดฟินไปเลย อากาศหนาวแล้วคืนนี้ เข้าห้องเก็บของจัดแจงชาร์จแบตต่างให้พร้อม (ที่พักที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนะไม่ต้องกลัวอาบน้ำหนาวๆ) จากนั้นพี่คนที่มาส่งก็บอกนัดแนะว่าต้องตื่นแต่เช้านะ เดี่ยวพี่อีกคนจะมารับตอนตี 5.30 นะ  

    ออกมายืนรอพี่ไกด์ที่จะมารับ ตี 5.30 ยังเห็นดาวเลย นี่ภาพตอนออกมายืนรอรถนะ 

             พี่ที่มารับชื่อ "พี่สมบรูณ์" ชาวบ้านแม่กลางหลวง ออกมาก็จะเจอด่านของอุทยาน ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวยืนมาเยอะเหมือนกันนะ เพราะเรามีจุดหมายที่เดียวกัน

           มาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จอดรถก็รีบลงจากรถพี่สมบรูณ์ก็ได้นัดแนะว่า ถ้าเรียบร้อยแล้วมาเจอที่ที่เดิมนะ จะได้เริ่มเข้าไปเดินศึกษาธรรมชาติเส้นทาง"กิ่วแม่ปาน"กัน ยามเช้าวันนี้ที่อากาศหนาวประมาณ 19 องศา ถูกใจเราเป็นที่สุดเลย เพราะกลางวันตอนอยู่ในเมืองเชียงใหม่ร้อนมากเลย 

           จากจุดที่คนยืนชมแสงแรกกันเยอะๆ ฉันก็เล่นเลี่ยงลงมายังที่ลานจอดรถ ถึงกับร้องโอ้โห้ กับหมอกที่ออกมาโอบกอดเขาแล้ว บริเวณนี้ผู้คนจะบางตาหน่อย

    เดินลงมาหน่อยก็จะเห็นวิวถนนเส้นขึ้นมาบนยอดดอย พร้อมวิวพระธาตุ

    "ซาลาเปา ฮ่องเต้ ร้อนๆกับอากาศหนาว"

    พี่สมบรูณ์ที่พามา เขาก็คือไกด์ท้องถิ่นที่พาเดินกิ่วแม่ปาน ก็บอกให้เราหาอะไรกินรองท้องก่อน และบอกให้เตรียมน้ำดื่มติดตัวขวดเล็กสักหนึ่งขวดนะ

             ถึงเวลาที่รอคอยแล้วที่จะเริ่มเดินป่ากัน และเรายังได้เพื่อนใหม่รวมเดินกลุ่มนี้อีกสี่คน ด้านหน้าทางเข้าไปเดินป่าก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารอคิว จัดกลุ่มกับไกด์ท้องถิ่นเป็นคนนำเข้าไปเดิน แต่ซึ่งทางฉันมากับพี่สมบรูณ์ก็เป็นไกด์ชาวบ้านอยู่แล้ว ไม่ต้องรอคิวพี่เขาจัดการให้เรียบร้อย

    เริ่มเดินเข้ามาจุดเริ่มต้นก็จะเป็นโซนป่าดิบชื้นที่มีต้นไม้สูงใหญ่ ทำให้ชุ่มชื่นตลอดทาง

     "กิ่ว"คือเล็กหรือคอดที่เราเดินอยู่ตอนนี้กว้างแค่สองเมตรทั้งสองข้างเป็นหน้าผา"
    แม่ปาน" เป็นชื่อหมู่บ้านข้างล่างรวมกันเป็น "กิ่วแม่ปาน" ครับคำบอกเล่าของคุณพี่ไกด์นำทาง :)

    ไกด์ชาวบ้านที่ก็จะเป็นชนเผ่าชาวเขา ก็จะแนะนำและห้ามทำอะไรในขณะเดินป่าที่นี่

    ระหว่างทางจะมีแผ่นป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับผื่นป่ากิ่วแม่ปานทั้งหมด 21 จุด

            เมื่อเดินเข้ามาระยะหนึ่งก็จะได้ยินเสียงน้ำตก "น้ำตกลานเสด็จ" เป็นน้ำตกเล็กๆ กลางป่าดิบเขาภายในพื้นที่เที่ยวของกิ่วแม่ปานที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม โดยรอบจะมีมอสสีเขียวปกคลุมโขดหินและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รอบๆ น้ำตก ซึ่งมีน้ำไหลตลอดช่วงฤดูหนาว

    ก็เดินไปเรื่อยๆ ข้ามสะพานที่พาดผ่านน้ำตกหันหลังกลับไป นักท่องเที่ยวในวันนี้เยอะเหมือนกันนะ

            พันธุ์พืชที่จะพบเห็นในระหว่างเดินทาง ก็จะเดินผ่านผืนป่าดิบเขา ผ่านบรรยากาศร่มครึ้ม ผ่านผืนป่าที่ชุ่มชื่นมากกกก ในป่าเต็มไปด้วยมอสสีเขียวขึ้นคลุมโคนต้นไม้และบริเวณริมห้วยเต็มไปหมด.....ที่นี้ธรรมชาติสมบูรณ์มาก

            เดินมาถึงสุดทางป่าดิบชื้นโซนแรกก็จะเจอ ทุ่งหญ้าโล่งกว้างของ สันกิ่วแม่ปานซึ่งมีแสงแดดจ้า อากาศจะอุ่นๆ กว่าเดินในป่าดิบเขา

           อากาศร่มรื่น สดชื่น ที่จุดชมวิวสวยสมคำร่ำลือ ทางเดินมองไกลๆเหมือนเดินบน เดินไปถ่ายรูปไป ออกมาเห็นภาพแบบนี้แล้วก็หายเหนื่อยกันเลยจริงๆ

    ลองซูมภาพเข้าไปที่สันเขาเห็นจากไกลๆ ก็จะเห็นนักท่องเที่ยงเดินกันตามไหล่เขาเพื่อมาสัมผัสบรรยากาศที่นี่

              นี้ฉันยังอยู่แต่จุดโซนทุ่งหญ้าเลย ยังคงยืนมองชื่นชมธรรมชาติไปอย่างช้าๆ หันกลับไปโห้นักท่องเที่ยวตามหลังกันมาแน่นเลย

    ( หนาดเขา )

    ( ดอก ม้าแหลบ )

            "กิ่วแม่ปาน" จุดชมวิวอีกแห่งบนดอยอินทนนท์ ก่อนจะถึงยอดดอย เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร 1 กิโเมตรแรกเป็นการเดินเข้าป่า อีก 2 กิโลเมตร มีทั้งขึ้นเนินและลงเนิน และพื้นราบผ่านป่า ตามทิวเขาบอกเลยสวยมากๆๆๆๆๆ วันนั้นอากาศกำลังเย็นสบายมาก ใช้เวลาในการเดิน 1.5 - 3 ชั่วโมง ไกด์ 200 บาทต่อกลุ่ม ก็ประมาณ 10 ต่อ ไกด์ 1 คน

    ( ดอก บัวทอง หรือ บัวคำ )

    มาถึงแล้วมุมมหาชนที่ใครๆก้ต้องมาถ่ายกัน กับ landmark "กิ่วแม่ปาน" มาคนเดียวก็ให้พี่ไกด์ถ่ายรูปให้  

    ไม่ว่าจะมาเดี่ยวหรือเป็นคู่ จุดตรงนี้มันต้องมีกันทุกคน

          เมื่อเก็บภาพที่จุด landmark กันจุใจแล้วก็เดินกลับลงมาอีกทาง  ก็จะเป็นช่วงสันเขา พี่สมบรูณ์ก็เรียกบอกว่านี้ๆ "หินคู่รัก" ตรงกลางหินจะมีก้อนหินรูปหัวใจนะ จุดเด่นของกิ่วแม่ปาน นอกจากวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว หินสองแท่งนี้ ยังเป็นจุดขายของที่นี่ด้วย เราเรียกหินสองแท่งนี้ว่า ผาแง่มน้อย

    • Posts-2
    How About •  December 14 , 2018

    นี่คือจุดที่ 12 เราเรียกจุดนี้ว่า กิ่วแม่ปาน ป่าสองมุมบนสันเขา
    ความว่า กิ่วแม่ปานเป็นสันบนเขา ส่วนที่แคบที่สุด ลาดเขาสองด้านต่างก่อน ด้านนอกถูกแสงแดดร้อนตลอดทั้งวัน ปะทะลมแรงจนตัดยอดไม้ให้เตี้ยลง ฤดูแล้ง ไฟป่าจากไร่ชาวบ้านลามขึ้นมาเผา ทำให้ป่าต้องซ่อมตัวเองตลอดเวลา จึงมีแต่ไม้บุกเบิกขนาดเล็ก เมื่อฝนตกมาด้านนอก น้ำไหลแรงชะหน้าดินลงถมห้วยให้ตื้นเขิน ผิดกับด้านในป่าชุ่มชื้นด้วยพันธุ์ไม้ดั้งเดิม น้ำฝนปะทะใบไม้ไหลตามลำต้น แล้วซึมลงดินไหลลงลำห้วย

     ( วงอากาศ )

            ก็จะมาถึงโซนที่จะมีต้นกุหลาบพันปีเยอะ เห็นกันไหมต้นกุหลาบพันปีกันไหมมาช่วงนี้ยังไม่ค่อยเบ่งบาน บานแค่บ้างต้น

    ดอกตูมของกุหลาบพันปี

    ช่วงจังหวะเดินก็จะหยุดพักกันบ้าง และจะเกาะกลุ่มเดียวกันที่ตอนเริ่มต้นเดินมาไม่ทิ้งห่างกัน

    ฉันนึกขอบคุณตัวเอง ที่ตัดสินใจเดินขึ้นมาด้วย เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ ขอบอกว่า คุ้มค่ามากกว่าเรี่ยวแรงที่เสียไปตอนเดินขึ้นมาหลายเท่าตัว และเมื่อมองลงไปด้านล่างจากจุดนี้ จะมองเห็นตัวอำเภอแม่แจ่ม

    มาถึงจุดก่อนจะเดินกลับเข้าป่าดิบชื้นทางออกในการเดินกิ่วแม่ปานครั้งนี้ ก็จะเป็นจุดที่มองเห็น

    พระธาตุ นภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ อยู่ไกลๆ


    ( ดอกหญ้าลาย )

    ( เอนอ้า )

    และก็กลับเข้ามาในช่วงก่อนถึงปากทางออกก็จะเป็นป่าดิบชื้นเหมือนช่วงแรกเริ่ม

    กิ่วแม่ปาน
    ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตรง กม.ที่ 42 ของถนนสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์
    อ.จอมทอง จ. เชียงใหม่

         กลับออกมาจากป่าประมาณ 09.00 รถนักท่องเที่ยวก็เริ่มมาจอดกันเต็มเลย ดูเหมือนแดดจะแรงนะ แต่อากาศบนนี้เย็นสบายมากเลย

              กลับมายังหมู่บ้าน "แม่กลางหลวง" ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอินนนท์ จะกลับมาที่พัก แต่ก่อนจะเข้าที่พักต้องไปหากาแฟสดอร่อยๆดื่มกันก่อนในเช้าๆอากาศแบบนี้

                 มาหมู่บ้านนี้ต้องมาที่ "กาแฟสมศักดิ์ โถ่บิเบ" ซึ่งร้านจะอยู่ในสุดทางขึ้นไปบนเนินของหมู่บ้าน ก็จะมาเจอศาลาเป็นเพิงในรูปแบบดั้งเดิมที่นี่ เหมือนเป็นจุดนัดเจอหรือแวะพักกัน จะมี "กาต้มน้ำร้อน" แบบดั้งเดิมที่ดำสนิทมากๆเหมือนจะผ่านกาลเวลามานานจริงๆ และการชงกาแฟสดที่นี่ยังใช้ถุงผ้าชงกาแฟสด ที่บดกับเครื่องแบบชาวบ้าน " บดสดๆ ชงสดๆ " ใครชอบเข้มๆก็จะถูกใจเลย แต่ก็มีน้ำตาลทรายไว้ให้เติมความหวานสำหรับคนไม่ดื่มเข้มๆ

           ได้แวะซื้อ อะโวคาโด ของชาวบ้านมากินคู่กับกาแฟดำในเช้านี้  

           กาแฟของพี่สมศักดิ์แวะมาดื่มกันได้นะ ในราคา 0 บาท มาฝั่งนี้แล้วต้องแวะจิบกาแฟของที่นี่นะ และที่ร้านก็ยังมีกาแฟที่แพ็คในถุงไว้จำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว สามารถอุดหนุนกันได้เลย

    ลงกลับมายังห้องพักเพื่ออาบน้ำ เก็บกระเป๋า สำหรับวันนี้ก็ต้องลงไปในเมืองแล้ว

    บรรยากาศหน้าห้องพักของ "บ้านแม่กลางหลวงวิว" ในโซนห้องแถวชั้นล่างของร้านอาหาร

    จะเป็นร้านอาหารของ "บ้านพักแม่กลางหลวงวิว" มื้อเที่ยงก็ต้องแวะฝากท้องที่นี่ก่อนจะกลับ 

           คนเดียวเลยกินง่ายๆ กับเมนู "ซูกินี่ผัดไข่" กับข้าวสวยหนึ่งจาน เป็นการกิน ซูกินี่ผัดไข่ ครั้งแรกเลย ก็อร่อยดีนะยิ่งวิวแบบนี้แล้วด้วยบวกความอร่อยเข้าไปอีก

    ถึงเวลาที่ต้องบอกลา "เชียงใหม่" ในการเดินทางครั้งนี้แล้ว เมื่อไหร่ที่ได้มาก็รู้สึกหลงรักขึ้นกับเมืองนี้ ไม่ว่าจะมาในช่วงฤดูไหนก็ตาม ความเป็น "เชียงใหม่" ก็ยังมีความสวยงามในตัวทุกช่วงฤดูกาล