: การไปเชียงใหม่ครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจเดินทางเพื่อไปเที่ยวตั้งแต่แรก แต่เพราะมีภารกิจบางอย่างที่ต้องไปที่ อ.จอมทอง  จึงคิดว่าไหนๆ ไปทั้งที่ นักเดินทางอย่างเรามีหรือจะพลาดโอกาลในการชำแหละ "เชียงใหม่" อีกสักรอบ :

 

 

รูปแบบการเดินทาง

  • เดินทางขาไปด้วยรถไฟ

  • เช่ารถตู้พร้อมคนขับระหว่างเดินทางที่เชียงใหม่

  • เดินทางกลับด้วยเครื่องบิน โดยสายการบิน Jet airlines

เจ้ารถตู้ที่เราใช้

By Phone
Internationnal Mr.Tony Tel: (+66) 87-6564348 or (+66) 80-1344276

E-Mail
cmvanvip@gmail.com

ที่อยู่
www.chiangmaivanvip.com
279/5 ถนนนิมมานเหมินทร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง เชียงใหม่ 50000 
ติดต่อ คุณโทนี่: (+66) 87-6564348 

 

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ข้อมูล ณ เดือนก.พ. 2560)

  • ค่ารถไฟตู้นอนขาไป (กรุงเทพ - เชียงใหม่)  >> เตียงล่าง 841 บาท เตียงบน 771 บาท

  • ค่าเช่ารถตู้พร้อมคนขับ >> 1,800 บาท/วัน ไม่รวมค่าน้ำมัน

  • ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์  >> 20 บาท/คน

  • ค่าเข้าปางช้างแม่สา >> ผู้ใหญ่ 250/คน  (ค่านั่งช้าง 25 นาที 1,000 บาท/เชือก , 50 นาที 1,500 บาท .  นั่งได้ 2 คน)

  • ค่าเล่นเครื่องเล่น Zipline  >> 800 - 2,000 (แล้วแต่แพคเกจที่เล่น)

  • ค่าที่พัก @ ม่อนเหนือ โฮมสเตย์ >> 1,000 บาท/หลัง

  • ค่าเข้าชมแกรนด์แคนยอน >> คนละ 50 บาท สามารถนำบัตรเข้าชมไปแลกน้ำสมุนไพรได้ฟรี หรือเป็นส่วนลดในการซื้อเครื่องดื่ม

  • ค่าเข้าชมผาช่อ อุทยานแห่งชาติแม่วาง >> รถคันละ 30 บาท, คนละ 20 บาท

  • ค่าเครื่องบิน Vietjet วันกลับ

 

โปรแกรมการเดินทาง

 

Pre Day 1

  • ออกเดินทางด้วยรถไฟตู้นอน จากสถานีหลักสี่ - ปลายทางเชียงใหม่ 

 

Day 1 (เที่ยวที่ อ.แม่ริม)

1.1. พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ 

1.2. วัดป่าดาราภิรมย์

1.3. ปางช้างแม่สา

1.4. ร้านอาหารโป่งแยงแก่งดอย

1.5. Pongyang Zip Line & Jungle Coaster

1.6. เข้าพักที่ ม่อนเหนือโฮมสเตย์

 

Day 2 (เที่ยวที่ ตัวเมือง)

2.1. วัดเกตการาม

2.2. วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

2.3. ร้านเฮือนเพ็ญ

2.4. วัดอุโมงค์

2.5. ร้านต๋องเต็มโต๊ะ

2.6. ถนนคนเดินวัวลาย

2.7. เข้าพักที่ Hotel M

 

Day 3 (เที่ยวที่ อ.จอมทอง)

3.1. วัดพระธาตุดอยคำ (หลวงพ่อทันใจ)

3.2. แกรนด์แคนยอน

3.3. วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร

3.4. ผาช่อ

3.5. วัดเจ็ดยอด (วัดโพธารามมหาวิหาร)

3.6. ร้านผักสด

เดินทางกลับด้วยสายการบิน Vietjet

 

--------------------------------------------------------------------------

ถ้าพร้อมแล้ว......ไปค่ะ!!!

 

> เราเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟ ซึ่งตอนแรกตั้งใจอยากจะลองรถไฟใหม่สายอุตราภิมุข แต่ปรากฏว่าเต็มจองไม่ทัน เลยต้องไปรถไฟด่วนพิเศษแบบเดิมแทน (ราคาและรอบเวลาต้องตรวจสอบช่วงเวลาที่ไปอีกที เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด) http://www.railway.co.th/

 

> เราเลือกการจองและจ่ายเงินโดยผ่านหน้าเวปไซต์ของการรถไฟ และจะมีเอกสารยืนยันเป็น e-ticket ตอบกลับมาเพื่อเอาไปแสดงตอนขึ้นรถไฟเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจบนขบวน ถือว่าสะดวกมาก

 

> จริงๆ แล้วเราเลือกที่จะขึ้นสถานีหลักสี่ แต่ตอนจองดันเลือกผิดเป็นต้นทางกรุงเทพซะนี่ (หัวลำโพง) หากขึ้นหลักสี่ ราคาจะถูกลง

 

> เราออกเดินทางตอนกลางคืน เพื่ออยากให้ไปถึงเชียงใหม่ตอนเช้า  ** แนะนำให้เลือกเตียงล่าง **  จะได้นอนมองวิวและไม่โยกเขย่าตลอดทั้งคืน

 

> ราคาเตียงล่าง 841 บาท / เตียงบน 771 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ขึ้น)

 

 

> มาถึงสถานีต้นทางหลักสี่ เวลาตามตารางที่รถไฟมาถึงสถานีหลักสี่จะมาถึงตอน 20:15 (ออกจากหัวลำโพง 19:35)

 

> เมื่อรถไฟมาถึง จะมัวรออะไร ก็โดดขึ้นสิครัช  ผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่ไปเชียงใหม่ มักจะเป็นชาวต่างชาติ เกือบทั้งขบวน ซึ่งก็มักจะขึ้นกันมาตั้งแต่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง)

 

> ภายในแต่ละตู้ขบวน ก่อนช่วงที่จะปรับเป็นเตียงนอน ก็จะเป็นที่นั่งปกติ ซึ่งถ้าใครจองได้เตียงบน ก็จะต้องนั่งแชร์กับคนที่จองเตียงล่างไปก่อน (ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมาทยอยปรับเป็นเตียงนอนให้ประมาณ 2 ทุ่ม) 

 

> แต่ละช่องนอนจะมีม่านปิดเตียงใครเตียงมัน ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง

 

 

> ผ้าปู ผ้าห่ม หมอน ก็ถือว่าสะอาดเลยทีเดียว 

 

> ด้วยเสียงเครื่องจักร และแรงเหวี่ยงของม้าเหล็ก ก็ทำให้เราตื่นเป็นระยะๆ ได้เหมือนกัน

 

> ตื่นเช้ามา และได้นั่งมองวิวที่เคลื่อนไปข้างๆ ผ่านกระจกหน้าต่างแบบนี้ มันได้อีกอารมณ์นึงจริงๆ

 

 

> ประมาณ 7 โมง เจ้าหน้าที่จะเริ่มเดินผ่านตามขบวนพร้อมทั้งประกาศ "Wake Up, Wake Up"  และถ้าหากเตียงไหนตื่นแล้วก็สามารถให้เจ้าหน้าที่เก็บเตียงให้เลยก็ได้  แต่ถ้าคุณนอนเตียงล่าง และเตียงบนยังไม่ตื่น คุณก็ต้องรอ ร้อ รอ ไปก่อนน้ะคะ เพราะเค้าจะเก็บพร้อมกันค่ะ แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็มีวิธีทำให้ผู้โดยสารชั้นบนตื่นจนได้ค่ะ  

 

> แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินสวนไป สวนมากัน พร้อมทั้งพูดว่า "Breakfast?, Breakfast?" ซึ่งบนรถไฟนี้เค้าจะมีตู้เสบียง ซึ่งจะเปิดให้บริการถึงตอน 22.00 และก็จะมีอาหารเช้าไว้บริการด้วย (เสียเงินนะจ้ะ)

   

> สภาพห้องน้ำบนรถไฟ  ส่วนอ่างล้างหน้าแปรงฟันจะอยู่ด้านนอก

 

> 8:40 รถไฟก็เทียบชานชลาเชียงใหม่ ถือว่าตรงเวลาเป๊ะ! 

 

Day 1 (เที่ยวที่ อ.แม่ริม)

 

 > ไม่รีรอ เรารีบคว้าโทรศัพท์โทรหาพี่คนขับรถตู้  ที่เราได้ประสานไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว และพี่เค้าก็มาเราอยู่แล้วเช่นกันข้างหน้า  จึงรีบทักทายและทำความรู้จักกันพร้อมทั้งให้พี่เค้าพาไปหาอะไรให้ทานสักหน่อย

 

 > และแล้วพี่เค้าก็พาเรามาแถวหลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งแถวนี้จะมีร้านอาหารหลายร้านให้ได้เลือกตามความชอบ มีทั้งร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวมันไก่ ฯลฯ และเราก็มาสะดุดและหยุดที่ร้านนี้กันค่ะ ข้าวมันไก่ สูตรไหหนาน "ร้านเกียรติโอชา" บอกได้เลยว่า ไก่เค้านุ่ม เน้น จัดเต็มมาก นอกจากนี้ยังมีไก่สะเต๊ะให้ได้ลิ้มชิ้มกันด้วย ที่สำคัญพนักงานรวมถึงเจ้าของร้านอัธยาศัยดีและบริการดีมาก

> เมื่อเสริมพลังกันแล้ว ไม่รอช้าเราก็บอกโปรแกรมให้กับพี่คนขับว่าจะไปไหนบ้างในแต่ละวัน พี่เค้าก็ช่วยเราจัดโยก ปรับ โปรแกรมให้เหมาะสมกับเวลาและเส้นทางอีกที

 

> ซึ่งที่แรกที่เรามาแวะกันก็คือ "พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์" อ.แม่ริม เดิมพระตำหนักดาราภิรมย์เป็นที่ประทับของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  ปัจจุบันจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้อันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาฯ โดยให้มีสภาพ ใกล้เคียงกับอดีตมากที่สุด อาทิเช่น ห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องดนตรี เป็นต้น

 

> ภายในพิพิธภัณฑ์ จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะคะ  แต่มีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและบรรยายประวัติความเป็นมาอยู่ภายใน

>  สถานที่ต่อไปที่เรามากัน นั่นก็คือ "วัดป่าดาราภิรมย์" อ.แม่ริม  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนักจากพิพิธภัณฑ์ฯ 

 

> เป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาถระ เคยออกจาริกมาธุดงค์มาพำนักเจริญสมนธรรม ซึ่งในอดีตเคยเป็นป่าช้าร้าง  โดยต่อมาทายาทของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีเจ้าหญิงลดาคำ ณ เชียงใหม่ เป็นหัวหน้าได้น้อมถวายที่ดินอันเป็นเขตพระราชฐานที่ตั้งของตำหนักดารารัศมี สวนเจ้าสบาย ของพระราชชายาฯให้แก่วัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี จำนวน ๖ ไร่

>  เมื่อชื่นชมกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามอ่อนช้อย และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว เราก็พร้อมเดินทางต่อไปที่ "ปางช้างแม่สา" อ.แม่ริม กัน

 

> อัตราค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 250/คน  (ค่านั่งช้าง 25 นาที 1,000 บาท/เชือก , 50 นาที 1,500 บาท .  นั่งได้ 2 คน)

> ที่นี่จะมีการแสดงโชว์ของช้าง โดยมีรอบการแสดง 3 รอบ คือ 8.00น., 9.40น. และ 13.30น. > บ่ายแก่ๆๆ หลังจากนั่งน้องช้างชมรอบๆ ปาง รวมถึงชมการแสดง และความน่ารักของน้องช้างจบ เรารีบกระโจนขึ้นรถ พร้อมบอกพี่คนขับอย่างไม่รอช้า ว่าไปร้าน "โป่งแยงแอ่งดอย" อ.แม่ริม เลยเจ้าาาาาา  หิวแว้วววววววว > บรรยากาศภายในร้านเมื่อเดินเข้ามา ร่มรื่นดี > อาหารอร่อยยยย  ทุกอย่างเลย

> เมื่อซัดอาหารเรียบ พลังงานมาเต็ม เราก็ต้องไปย่อยกันต่อที่ "Pongyang Zip Line & Jungle Coaster" อ.แม่ริม เครื่องเล่นแนว adventure กันสักหน่อย

> เครื่องเล่นก็จะมีซิปไลน์ มีทั้งหมด 36 สถานี (โหนสลิง) และมีรถโคสเตอร์ ให้เลือกเล่นได้ โดยมีแพคเกจต่างๆ  ไม่อันตราย จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและแนะนำก่อนเล่น (ราคาขึ้นอยู่กับแพคเกจที่เลือกเล่น)

> เราอยู่เล่นกันที่นี่สักพักใหญ่ พอได้เวลาเย็นย่ำ เราก็เดินทางต่อมุ่งตรงไปยังที่พักของเรากันคืนนี้คือที่ "ม่อนเหนือโฮมสเตย์" อ.แม่ริม > เมื่อมาถึงก็ต้อง ว้าวววว กับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า  ฉันชอบทัศนียภาพแบบนี้ซะจริงๆ ภาพที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ภาพที่กว้างไกลสุดขอบฟ้า 

> ภายในโฮมสเตย์แห่งนี้ มีบ้านพักอยู่ 3 แบบหลักๆ คือแบบที่บ้านเดี่ยว ,  กระท่อม,  บ้านปูน 

 

> เราพักแบบบ้านเดี่ยว คือมีห้องน้ำในตัว, กระท่อมจะไม่มีห้องน้ำในตัว จะต้องเดินออกมาใช้ห้องน้ำรวม, ส่วนบ้านปูน จะเปิดให้พักเฉพาะชั้นบน ชั้นล่างจะเป็นที่พักของเจ้าของโฮมสเตย์

 

> ที่นี่สามารถนำเต็นท์ หรือจะเช่าเต็นท์ของทางโฮมสเตย์ได้

> ลักษณะบ้านเดี่ยว จะมีระเบียงหน้าบ้านได้นั่งนอนเล่น รบลม ชมดาว  ชิวววววว ชิววววววววว ส่วนวิวด้านหน้าก็เป็นไร่สตอเบอรี่ที่เจ้าของตั้งใจปลูกไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเก็บทาน ไม่ได้ปลูกไว้เพื่อขาย เจ๋งป่ะหล่าาาาา  > ภายในบ้านเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น ชักโครก น้ำดื่ม  > ลักษณะของที่พักแบบกระท่อม  >  สตอเบอรี่ที่ไร่ ลูกเล็ก แต่หวานนนน มากกกกกกกกก เห็นเหมือนจะน้อยๆ แต่เดินเก็บไปเก็บมาก็ได้เป็นชามเหมือนกันนะ ซึ่งที่นี่เจ้าของบอกเลยว่าน่ารักและใจดีมากๆ เป็นชาวม้ง  พี่เค้าบอกเก็บทานได้ตลอดเลยค่ะ > หยุดสิ่งวุ่นวายรอบตัวชั่วขณะ แล้วเก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นปัจจุบันให้เต็มที่

> มื้อเย็นที่นี่เค้ามีอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ (ไม่รวมกับค่าที่พัก) เป็นอาหารตามสั่ง และมีหมูกระทะ ด้วย  ซึ่งเรามีหรือจะพลาด .....พี่คะจัดมาเลยค่ะ 1 ชุด! 

 

> อากาศเย็นๆ ละเลียดหมูกระทะร้อนๆ จิบเบียร์เบาๆ ก่อนเข้านอนซุกตัวในผ้าห่มอุ่น .   แหม่...........ฟินเวอร์

Day 2 (เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่)

 

>  เช้าวันใหม่ กลิ่นไอความสดชื่นในยามเช้าลอดเข้ามาตามโครงไม้ไผ่ สัมผัสสรรพางค์กาย ทำให้ตื่นได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

> เช้านี้ทางโฮมสเตย์จัดเข้าต้มหมูร้อนๆ พอให้ร่างกายได้อบอุ่นไว้ทาน (รวมอยู่ในค่าที่พัก)

 

> เราอยู่เก็บภาพ และความทรงจำ อีกสักพัก แล้วก็ถือโอกาสอำลาและขอบคุณพี่เจ้าของโฮมสเตย์แล้วเริ่มออกเดินทางกันต่อ

> เราออกจาก อ.แม่ริม ลงมาเที่ยวในตัวเมือง โดยเริ่มกันที่ "วัดเกตการาม"  > พระธาตุวัดเกตการาม เป็นพระธาตุประจำผู้เกิดปีจอ > สถานที่ต่อไปที่เราไปกันต่อ นั่นก็คือ "วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร" ถือว่าเป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งแห่งเมืองเชียงใหม่ ที่ใครมาแล้วหากมีโอกาสก็ต้องแวะมาสักการะพระพุทธสิหิงค์ (องค์จำลอง)  ปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์องค์จริง ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวัง บวรสถานมงคล > ได้เวลาเที่ยงวันพอดี  พี่คนขับกับเราใจตรงกันพอดี ที่จะไปร้านอาหาร "เฮือนเพ็ญ" เพราะพี่เค้าก็ตั้งใจจะแนะนำให้ไปร้านนี้อยู่แล้ว >  ท้องอิ่ม เช็คบิลเก็บเงินเรียบร้อย มัวรออะไรล่ะคะ ไปต่อกันเล้ยยย ที่ "วัดอุโมงค์ สวนพุทธรรม"  > ภายในอุโมงค์ จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เป็นจุดๆ ไว้ให้ได้กราบไหว้   > สงบใจและเย็นกาย > ภายในวัดมี โรงภาพปริศนาธรรม ไว้เป็นคติธรรมเตือนใจ > เกือบห้าโมงเย็น ตรงตามเวลาที่เราวางไว้สำหรับมื้อเย็นวันนี้ ที่เค้าร่ำลือกันนักหนาในแหล่งโซเชียล จนถึงกับต้องขอมาลองสักหน่อย "ร้านต๋องเต็มโต๊ะ" ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถ.นิมมานเหมินท์ ซอย13 >  รสชาดถือว่าใช้ได้สมคำร่ำลือ แต่สำหรับเราบรรยากาศก็ธรรมดานะ > เต็มอิ่มกันแล้วกับมื้อเย็น ก็ต้องไปเดินย่อยกันหน่อยที่ "ถนนคนเดินวัวลาย"  พร้อมทั้งนัดแนะเวลากับพี่คนขับให้มารับกลับโรงแรม > โดยเราเข้าพักที่โรงแรม "M Hotel" ใกล้ประตูท่าแพ  (ถ้าเป็นคืนวันอาทิตย์ จะมีถนนคนเดินท่าแพ ซึ่งจะอยู่ซอยติดกับโรงแรมเลย) 

Day 3 (เที่ยวที่ อ.จอมทอง)

 

 > ทานมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จสรรพ ไม่รีรอ ทำเวลา ก็เช็คเอาท์พร้อมออกเดินทางต่อ  ซึ่งพี่คนขับก็มารอรับเราหน้าโรงแรมอยู่แล้ว โดยจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือมุ่งสู่ อ.จอมทอง โดยระหว่างทางเราก็ได้แวะตามที่ต่างๆ ซึ่งที่แรกในวันนี้ก็คือ "วัดพระธาตุดอยคำ" 

> วัดพระธาตุดอยคำ ตั้งอยู่บนดอยคำ มีอายุกว่า 1,300 ปีและถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ละคนที่มามักจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ มาสักการะขอพรหลวงพ่อทันใจ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เดินทางมาขอพร บนบาน แล้ว ประสบความสำเร็จและได้เดินทางกลับมาถวายดอกมะลิเพื่อแก้บน ที่ริมทางก่อนเข้าวัดจะสังเกตุได้ว่าจะมีร้านค้าขายพวงมะลิหลายร้าน สำหรับซื้อมาถวายหลวงพ่อทันใจ  >  หลังจากที่ได้กราบไหว้ขอพระ หลวงพ่อทันใจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดพระธาตุดอยคำเสร็จแล้ว  เราก็เดินทางต่อไปที่ "แกรนด์แคนยอน" อ.หางดง กัน > แกรนด์แคนยอนที่นี่ เกิดจากที่บริเวณนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีการขุดหน้าดินขาย มีความลึกถึง 15-20 เมตร จนกลายเป็นบ่อดินขนาด 30 ไร่ เมื่อหมดประโยชน์จึงปล่อยให้น้ำท่วมขัง เวลาผ่านไปหลายปีกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ สีเขียวมรกต  เจ้าของบ่อจึงเปลี่ยนบ่อดินให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว  เพิ่มเครื่องเล่นทำคล้ายๆ สวนน้ำ และดูแลรักษาความปลอดภัย มีเสื้อชูชีพ มีร้านกาแฟ – อาหารและห้องน้ำ ไว้อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท

>  เราอยุ่ถ่ายรุปที่นี่กันสักพัก แล้วก็ออกเดินทางกันต่อที่จุดหมายต่อไป "ผาช่อ" อุทยานแห่งชาติแม่วาง อ.ดอยหล่อ 

 

> ค่าเข้าอุทยาน 20 บาท/คน, รถ 30 บาท/คัน เส้นทางเข้าผาช่อค่อนข้าง Extreme เป็นเส้นทางดินลูกรังยังไม่มีการทำถนนลาดยาง และต้องขับเข้ามาลึกนิดนึง 

> ขับรถเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงจุดเริ่มเดินเท้าต่อเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร แนะนำให้เตรียมหมวก ร่ม น้ำดื่ม ใส่รองเท้าผ้าใบ และใส่เสื้อผ้าที่สบายไม่ร้อน เพราะระหว่างทางจะเป็นทางเดิน เป็นดิน อากาศค่อนข้างร้อน

> ทางเดินขาไป - ขาออก จะใช้เส้นทางเดียวกัน

> เดินมาจนสุดทาง ทำเอามีหอบกันเลยทีเดียว แต่!!!! ความเหนื่อยที่เพิ่งมีก็หายเป็นปลิดทิ้งกับความสวยงามอลังการตรงหน้า!!! 

> เมืองไทยมีสถานที่ที่สวยไม่แพ้เมืองนอกเหมือนกันนะ

>  เราใช้เวลาอยู่ที่นี่รวมการเดินเท้าประมาณ 1.30 ชม.  แล้วเราก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป "วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร" อ.จอมทอง

> วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีชวด

>  เมื่อเราไหว้พระ ทำบุญ กันเรียบร้อย เราก็เริ่มเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมือง โดยเราได้มาแวะกันที่ "วัดเจ็ดยอด (วัดโพธารามมหาวิหาร)" อ.เมือง ซึ่งเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีมะเส็ง > วัดเจ็ดยอด ได้ชื่อว่ามีเจดีย์รูปทรงแปลกที่สุด คือมียอดตั้งอยู่บนเรือนธาตุสี่เหลี่ยมถึงเจ็ดยอด เหมือนมหาโพธิเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย จัดเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย > ต้นมหาโพธิ์ โดยนำหน่อมาจากศรีลังกา มาปลูกในพระอารามนี้ จึงได้รับขนานนามว่า “วัดโพธาราม”หรือวัดโพธารามมหาวิหาร” > ตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้า เหมือนเป็นสัญญาณเตือนเราว่าเวลาของการมาชำแหละเชียงใหม่ในครั้งนี้กำลังจะหมดลง เราจึงบอกพี่คนขับให้ช่วยพาไปร้านอาหาร "สวนผัก" เพื่อขอทานอะไรก่อนขึ้นเครื่องกลับก่อนสักหน่อย > บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งแบบไทยๆ ร่มรื่น สบายๆ  > ปริมาณ คุณภาพและความอร่อย สมราคา

> อิ่มแล้ว เตรียมตัวนอนดีกว่า..... พี่คนขับก็พาเราไปเช็คอินขึ้นเครื่องที่สนามบิน เราแบกสัมภาระลงจากรถ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณและบอกลากันด้วยรอยยิ้มของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ

> นี่คือการใช้บริการสายการบิน Vietjet ครั้งแรกของเรา ซึ่งเมื่อเดินตามลำเครื่องเพื่อตรงไปยังเลขที่นั่งของตัวเอง และหย่อนตัวลงพร้อมล็อกเข็มขัดเรียบร้อย กฏแรงดึงดูดของโลกก็เริ่มทำงาน หนังตาเริ่มปิดและสนิทลง เพราะผลจากมื้อเย็นที่เพิ่งซัดมาเมื่อกี้ ตื่นมาอีกทีก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

: We can create everywhere, everyday, every moment to be our splendid journey :