‘ชีวิตอิสระเสรีที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่อย่างแท้จริง จะมีที่พักซักกี่ที่กันในประเทศไทยที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่บ้านเพื่อน บ้านคนรู้จัก’
ผมพอรู้จักอยู่บ้าง หนึ่งในสถานที่แบบนี้ทางภาคใต้ที่ถ้าผมผ่านเข้าไปจังหวัดใกล้ ๆ ผมจะต้องแวะไปเยือน ไปพัก ไปถ่ายรูป ไปพูดคุย และไปดูวิถีชีวิตที่ได้เพิ่มทุกครั้งที่แวะไป แต่เอาจริง ๆ รอบนี้ก็เป็นรอบที่สองที่ได้ไปเจอหน้า ไปพักกับลุงสนั่น ผู้เป็นเจ้าของ ‘โฮมสเตย์ ลุงสนั่น บ้านปากประ’
ลุงสนั่น กับบ้านที่ลงมือสร้างเองมากกว่า 70% เป็นคล้าย ๆ เรือนไทย มีพื้นที่เชื่อมต่อกันทุกหลัง เป็นสิ่งที่ลุงสนั่นภูมิใจมาก เพราะมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างแท้จริง (ภาพนี้เป็นของปีที่แล้วนะครับ ภาพของปีนี้มีรถของนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหลายคันในบางวัน เลยเอาภาพเก่าที่เห็นลักษณะได้ชัด ๆ มาน่าจะดีกว่า)
เกริ่นมา 2 ย่อหน้า คงต้องเฉลยก่อนว่าที่แห่งนี้คือ พัทลุง อยู่ในเขตทะเลน้อย อยู่แค่ฟากถนนก็เห็นกลุ่มยอยักษ์ที่ลุงสนั่นตั้งคำพ้องไว้เพื่อการท่องเที่ยวว่า ‘ยอยักษ์ ตักตะวัน’ ซึ่งมีจุดชมวิวอีกหลายอย่างอยู่ใกล้ ๆ เช่น ควายน้ำ บึงบัว ฝูงนกนับล้านที่อพยพจากไซบีเรีย เขตพื้นที่ชุ่มน้ำ ต้นลำพูกลางน้ำ และสะพานเอกชัย
ฟ้าไม่เปิด ทะเลที่นั้นไม่ใส คลื่นแรงแต่ว่าไม่มีจุดเด่นมากนักในแง่ขอภูมิประเทศทางธรรมชาติ ทำให้ทางอาจารย์ ดร. ภูมินันท์ กับทาง Nikon ต้องปรึกษากันเพื่อให้ Workshop ออกมางานไม่กร่อย
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะผมจะต้องลงไปสงขลาเพื่อฟังงานบรรยายเกี่ยวกับการถ่ายภาพจากอาจารย์ผู้บรรยายที่มีผลงานการถ่ายภาพที่ผมชื่นชอบอย่างมาก (ดร. ภูมินันท์ ปิยทัศน์นันท์) ซึ่งเป็นงานที่ทาง Nikon จัด 2 งานติดในช่วงวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2560
ผลจากการปรึกษากันของทีมงาน ก็สรุปว่า เอานางแบบมา 2 คน พร้อมกับม้า 3 ตัว มาถ่ายน่าจะดีกว่าให้ถ่ายภาพทะเลที่ตอนนี้หาจุดเด่นยาก แถมแสงก็ไม่มีจุดเด่นอะไรด้วย ซึ่งถือว่าดีเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ตรงกับหัวข้อบรรยายที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ก็ตาม อีกอย่างคือจำนวนคนเข้าฟังบรรยาย 30 คนได้ ทำให้มุมภาพโดนบังบ้างอะไรบ้าง
ไหน ๆ ก็จะลงใต้มาลึกพอสมควรก็คิดไว้เลยว่าจะไป สงขลา ต่อพัทลุง ตามด้วยกระบี่ ปิดด้วยพังงา และอาจจะมีแถมชุมพร ก็ว่ากันไป แต่เอาเข้าจริง เริ่มสงขลา ปิดพัทลุงเท่านั้นแหละ 555 ก็แล้วแต่ดิน ฟ้า อากาศ และอารมณ์ละนะ บางทริปลากยาวไปเกือบเดือนก็มี
SYM GTS 300i ABS เจ้ามอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ตัวเองในอีกหลายด่าน แน่นอนรวมถึงตัวผมเองก็ต้องปรับตัวอีกหลายอย่างเมื่อมาใช้รถประเภทที่ตนเองไม่เคยใช้ แถมมีลักษณะเฉพาะตัวอย่าง Big Scooter
แต่ที่เหมือนกับทุกครั้งของทริปถ่ายรูปก็คือ มอเตอร์ไซค์ที่จะใช้เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง ผมติดใจในเสน่ห์ และความสะดวก ความคล่องตัวของมัน เพียงแต่ครั้งนี้มอเตอร์ไซค์ผมเปลี่ยนคันใหม่ซึ่งเป็นแนวที่ผมไม่เคยขี่มาก่อน เขาเรียกมันว่า Big Scooter ซึ่งเทียบกับคันเก่าแล้ว มันลุยได้น้อยกว่ามาก มีแต่คนบอกว่า ผมตัดสินใจผิด เพราะคนที่เคยติดตามการเดินทางของผมจะรู้ว่า บางครั้งเส้นทางที่ผมไป ชาวบ้านในพื้นที่เขายังไม่ไปกันเลยก็มี แต่ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจเลือกเจ้า SYM GTS 300i ABS เพราะชัดเจนในเรื่องของประเภทมอเตอร์ไซค์ และตัดสินใจได้แล้วว่ารถที่เราต้องการไม่มีอยู่จริง แต่ละประเภทมันมีลักษณะเฉพาะของมัน จึงลองคันที่คิดว่าสะดวก สบาย และบรรจุของได้เยอะไว้ก่อน ไม่ชอบใจไว้ว่ากันใหม่
ขี่รถทางไกล ๆ ไม่ค่อยพัก ก็มักจะทำให้มือผมแดง ๆ คัน ๆ มือแบบนี้อยู่เรื่อย แม้ว่าจะใส่ถุงมือไว้ก็ตาม คงเพราะการสั่นสะเทือนต่อเนื่องเป็นเวลานานละมั้ง แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก วันรุ่งขึ้นก็หาย มันแค่คัน ๆ นิด ๆ ดีกว่าขี่รถลุยฝนในหน้าฝนเยอะ เพราะนั้นทั้งคัน ทั้งเปื่อย 555
หมวกใบเก่งที่ใช้มาประมาณปีนึง ชอบที่มันเปิดคางได้ แล้วก็ป้องกันเราได้ดี ผ่านการพิสูจน์ตัวของมันเองมากับอุบัติเหตุจากความประมาทของผู้เป็นเจ้าของ มันก็ปกป้องผมได้ดี ตอนนี้เป็นรอยเต็มไปหมด ยังไม่ได้ไปเปลี่ยนชิวที่เป็นรอยเลย ใครเจอก็ทักได้ครับ บีบแตรเรียกจอดคุยกันได้ สังเกตุไม่ยาก หมวกกันน๊อคสีเขียวแป้นแล้นมาก
ผ้าคลุม หรือจะเป็นโม่งที่ขาดไม่ได้ มันช่วยกันเหงื่อ และถ้าเป็นผ้าบัฟก็ค่อนข้างอเนกประสงค์ ในเมืองผมอาจจะใช้โม่ง แต่ถ้าออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะขึ้นภูสูง ๆ อากาศเย็น ๆ ผมจะใช้เป็นผ้าบัฟแทน เพราะมันแปลงร่างไปทำอะไรได้หลายอย่าง อีกอย่างคือหูฟัง เพราะผมใช้ Google map นำทางตลอด มันช่วยเตือนให้ผมรู้ว่าผมจะต้องไปทางไหน และทำให้ผมไม่ง่วงด้วย เพราะจะฟังเพลงระหว่างเดินทางในบางช่วง ถ้าไม่เปิดเพลงฟัง ผมอาจจะหลับได้ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม จริง ๆ ฟังเพลงแล้วน่าจะง่วงมากกว่า แต่ผมถ้าได้ยินเสียงลมปะทะหมวกกันน๊อคไปเรื่อย ๆ บางทีตอนบ่าย ๆ แดดร้อน ๆ เนี้ย จะมีอาการง่วง หลับในได้ แต่ถ้าฟังเพลงจะไม่ง่วง เพราะจะฮัมเพลงไปด้วยมั้ง
ซึ่งทริปนี้เป็นทริปยาว 2500 + กิโลครั้งแรกของมัน ถึงแม้ออกมาได้เดือนนึง และเข็มไมล์วิ่งไป 2000 กว่าแล้วก็เหอะ แต่นั้นมันแค่ทริปสั้น ๆ เอาจริง ๆ ผมก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับรถแบบนี้อยู่นิด ๆ หน่อย ๆ และน้ำหนักตัว กับลักษณะของการออกตัวที่ต่างกับรถโซ่ทำให้ผมยังไม่ชินเวลาต้องเลี้ยววงแคบ ๆ หรือกลับรถ โดยเฉพาะกลับรถบนทางลาดชันมากกว่า 30 องศา แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาหรอก (ถ้ามีปัญหาคงไม่ได้อยู่มาเขียนบทความนี้ซินะ 55)
ทริปนี้ไม่ได้ขี่ทางวิบากเลย ก็ไม่รู้ว่าถ้าต้องกลับไปขี่ทางแย่ ๆ แล้วจะเอาอยู่ไหมกับเจ้า GTS 300i คันนี้ ทริปนี้ก็แค่วิ่งเข้าไปในที่รกร้าง ทางฝุ่น ขรุขระ แต่ดินแน่นดี ไม่ได้ขี่ยากอะไร
มันไม่ได้ทำให้ผิดหวังเรื่องบรรจุของใต้ท้องรถเลย สัมภาระที่ไม่แคร์เรื่องความร้อนสะสม ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่ได้ร้อนอะไรนะ อุ่นนิดเดียวจริง ๆ สำหรับที่เก็บของใต้เบาะ แต่ถ้าคุณจอดรถ แล้วทิ้งของไว้ในนั้น มันจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากเครื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ผมก็จะเอาสิ่งของที่ไม่แคร์เรื่องความร้อนไว้ใต้เบาะ เช่น ขาตั้งกล้อง เสื้อผ้า ของใช้ทั่วไป ส่วนของที่แคร์ความร้อนอย่าง กล้อง และอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็เอาไว้ที่กล่องหลังขนาด 52 ลิตร
ใจอยากให้มีที่เก็บชุดเต็นท์ เครื่องนอน และเครื่องครัวสนามด้วย กำลังคิดว่าจะทำกล่องข้างดีไหม เอาจริง ๆ มันพอจะยัดลงใต้ที่เก็บของใต้เบาะ และกล่องหลังได้อีก แต่เต็นท์อาจจะต้องแพ็คไว้บนกล่องหลัง หรือตรงเบาะคนซ้อน ซึ่งก็ห่วงว่าของอาจจะหายถ้าทิ้งรถไว้กลางเส้นทางที่เปลี่ยวแล้วออกไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ ที่เจอระหว่างทางก็เท่านั้นเอง