Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
" ลุยเดี่ยว เที่ยวหลวงพระบาง ไม่อ้างว้างอย่างที่คิด " แม่น้ำโขง จ.แขวง คำม่วน
    • Posts-1
    Amp •  March 24 , 2017

    "ลุยเดี่ยว เที่ยวหลวงพระบาง ไม่อ้างว้างอย่างที่คิด"

     

    ครั้งนี้ลุยเดี่ยวเที่ยวหลวงพระบางมา แล้วพบว่าไม่ได้อ้างว้างอย่างที่คิด งบประมาณอันน้อยนิด 3 วัน 2 คืนคิดแล้วเพียง 4,394.71 บาท

     

     

    ติดตามบันทึกการเดินทางต่อๆไปได้ที่ :
    GowithAmp
    https://facebook.com/GowithAmp

     

     

    “หลวงพระบาง (ลาว: ຫຼວງພຣະບາງ) เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผล คือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม" ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/หลวงพระบาง


    (โดยส่วนตัวคิดว่าอารมณ์คล้ายจังหวัดน่าน ของไทย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีวัดเยอะมาก ปั่นจักรยานชิลๆแวะไหว้พระ แวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง)

     

    สถานที่การเดินทาง

    - ตลาดมืด 

    - วัดหอเซียง (Wat Hua Xiang) 

    - วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร หรือวัดทาดน้อย (Wat Mahathat) 

    - ตลาดเช้า 

    - วัดโพนไซซะนะสงคราม (Phonxay) 

    - ร้านประชานิยม (Prashaniyom Coffee) 

    - ร้านโจมา (Joma Bakery Cafe') 

    - ตาดกวางสี (Kuang Si Waterfall) 

    - ซอยบุฟเฟ่ต์ 

    - วัดเซียงทอง (Wat Xieng Thong) 

    - วัดแสนสุขาราม (Wat Sene) 

    - หอพะบาง (Haw Pha Bang) 

    - พิพิธภัณฑ์ (National Museum)

     

    ช่วงต้นปี 2559 ที่ผ่านมา สายการบินแอร์เอเชียร์เปิดเส้นทางบินตรงไทย-ลาวครั้งแรกที่หลวงพระบาง ด้วยโปรโมชั่น ไป-กลับ 1,690 บาท หลายๆคนคงจะได้จับจองตั๋วโปรฯนี้กันไปแล้ว หรืออาจจะเคยได้เห็นผ่านตามาบ้าง เราจึงรีบชวนเพื่อนที่คิดว่าน่าจะไปด้วยกันได้ทันที แล้วก็ดีใจมากที่เพื่อนตอบปากรับคำ เพราะปกติแล้วเวลาชวนใครจองอะไรล่วงหน้าแบบนี้จะไม่ค่อยมีใครกล้าเสี่ยงด้วย ฮ่าๆๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง หาข้อมูลและศึกษาแผนที่ต่างๆรวมถึงจองที่พักผ่านเว็บไซด์ ได้ราคามาตามที่ถูกใจ แต่แล้ว!! เพื่อนลางานไปด้วยกันไม่ได้.. เราก็แอบเสียดายแต่รู้ว่าเพื่อนเราทั้งเสียดายและเสียใจ จึงได้แต่ปลอบและบอกไปว่า 'ไม่เป็นไรนะ เราไปคนเดียวได้ ' เพราะตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อผู้โดยสารได้ ทำใจอยู่ 1 คืน แล้วเร่งหาข้อมูลต่อ จัดสิคะจองไปหมดแล้วเราทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ

    เมื่อถึงวันเดินทาง คล้ายว่าทุกอย่างจะลงตัวแล้ว แต่!!! พอลงรถแท็กซี่ ของกระเด็นออกจากเป้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย! ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเปิดกระเป๋าไว้ตังแต่เมื่อไร แล้วที่ร่วงลงพื้นไปเต็มๆหนะกล้องถ่ายรูปจ้า!!! แต่ปกติดีไม่มีปัญหา ก็เดินเข้าสนามบินไปมองหาที่เช็คอินเพราะครั้งนี้ต้องการใช้คูปองอัพที่นั่งเป็นฮอทซีทจึงต้องมาเช็คอินที่สนามบิน มองหาเค้าน์เตอร์เช็คอินอยู่สักพัก “ไปหลวงพระบางเช็คอินตรงไหนคะ" เดินไปถามเจ้าหน้าที่สายการบินด้วยอาการงงๆ “หลวงพระบางต้องไปอีกอาคารนึงนะคะ" เจ้าหน้าที่สาวสวยสง่าในชุดแดงให้คำตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คุณพระ!! เราลงรถผิดอาคาร!!! (ฮ่าๆๆๆ ขำในความก่งก๊งของตัวเอง) แล้วคิดมาตลอดทางด้วยนะว่าต้องไปลงรถที่อาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ตึ่ง!!! ก็ต้องเดินย้อนไปยังอาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศอีก เล่นเอาซะมีเรื่องให้ใจเต้นระทึกแต่เช้าเลยเชียว

    การเช็คอินที่สนามบินสำหรับเส้นทางระหว่างประเทศนั้น สามารถเช็คอินได้ก่อนเวลาเดินทาง 3 – 1 ชั่วโมง เราถือบัตรเครดิตร่วมแอร์เอเชียธนาคารกรุงเทพพร้อมกับคูปองสำหรับอัพที่นั่งไปยังเค้าน์เตอร์พรีเมี่ยม เลือกที่นั่งตามที่ต้องการ แล้วเดินเข้าไปด้านใน บอกตัวเองใหม่แล้วว่า “ต้องมีสตินะ ห้ามก่งก๊งอีกเด็ดขาด เพราะต้องดูแลตัวเองนะ"

     

    เมื่อเครื่องออกเดินทางเจ้าหน้าที่สายการบินจะแจกใบขาเข้าและขาออกของประเทศลาวให้เตรียมกรอกข้อมูลไว้ค่ะ

    เมื่อเริ่มเข้าเขตหลวงพระบาง กระทั่งเครื่องบินค่อยๆลดระดับลงแล้ว จะสามารถมองเห็นสายน้ำคานและวิวทิวเขาสีเขียวๆสวยงามมากเลยค่ะ

     

    ใช้เวลาเดินทาง 1ชั่วโมง 20นาที ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบางแล้วค่ะ

    ปวดฉี่ขั้นรุนแรง รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปแป๊บเดียว คนต่อแถวรอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองยาวเฟื้อยเลย

    เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาแล้วจะเจอทางให้เดินออกไปด้านนอกได้เลย ระหว่างทางมีบูธจำหน่ายซิมการ์ดสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยนะคะ หากใครคิดว่าจำเป็นต้องใช้งานอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาก็สามารถติดต่อที่นี่ได้เลย ราคาสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวอยู่ที่ประมาณ 250 บาทค่ะ

     

    เราแลกเงินที่สนามบินได้เรทที่ 233.51 แลกไว้ก่อน 2 พันบาท ได้มา 467,020 กีบ (รวยกันเลยพวกเรา!!) และมีของเก่าอยู่ในกระเป๋าจากทริปวังเวียงครั้งก่อนอีก 5.500 กีบ รวมกันเป็น 472.500 กีบ บางคนบอกว่าไปแลกที่ตลาดมืดจะได้เรทที่ดีกว่า เราไปสำรวจมาแล้วนะคะ เรทไม่ได้ต่างกันมาก ถ้าแลกแค่ไม่กี่ร้อยอาจจะไม่มีผลเลย เพราะที่ลาวจะใช้ธนบัตร ไม่มีเหรียญ มูลค่าต่ำสุดคือ 500 กีบ ฉะนั้นถ้าคำนวณออกมาแล้วมีเศษไม่ถึง 500 กีบต้องถูกตัดทิ้งไปโดยปริยาย (ถ้าจะเทียบกันที่จุทศนิยมแล้ว ณ ปัจจุบัน ธนาคารในสนามบินเรทดีกว่าค่ะ) 

    เราเข้าเมืองด้วยการใช้บริการ Taxi Service 50.000 กีบ ก่อนที่จะมาเราพยายามหาข้อมูลมาเยอะมาก แบบที่ถูกๆมีไหม แบบที่เดินออกมานอกสนามบินแล้วต่อรถสองแถวมีไหม... สรุปว่าไม่มีตัวเลือกอะไรมากนัก แบบนี้ถูกที่สุดค่ะ 3คน/ 50.000 กีบ สำหรับส่งในเมือง นั่นหมายความว่าถ้ามาคนเดียวก็ต้องจ่าย 50.000 กีบ เช่นกันจ้ะ พยายามหาคนที่จะมาร่วมหารค่ารถแต่ไม่เห็นใครเลย เพราะเราออกมาช้าด้วยแหละมั้ง ฮ่าๆๆ มีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งน่าจะอายุพอๆกันกับเรา เดินนำหน้าเราไปแป๊บเดียว เดินไม่ทันเขาจริงๆ เมื่อขึ้นรถมาก็มาเจอกับผู้หญิงคนเดิม มองดูรวมๆแล้วคิดว่าเป็นคนไทยแน่ๆจึงชวนคุยเลยค่ะ “คุณแตงโม" อายุมากกว่าเรา 1 ปี พรุ่งนี้ (12 ก.ย.) จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณแตงโม เธอมาลุยเดี่ยวหมือนกันแต่จุดประสงค์หลักของเธอคือการมาไหว้พระในวันครบรอบวันเกิดค่ะ สาเหตุของการลุยเดี่ยวของเราทั้งสองคนเหมือนกันเลยคือ ไม่มีเพื่อนเที่ยวแนวเดียวกัน ก็เลยไปมันคนเดียวนี่แหละ แต่ครั้งนี้เป็นการลุยเดี่ยวครั้งแรกของคุณแตงโมค่ะ เราสองคนพักห่างกันต่างคนต่างมีแผนมาคร่าวๆในใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้นัดแนะหรือชักชวนกันไปเที่ยวด้วยกันแต่อย่างใด อย่างน้อยก็ไม่ใช่แค่เรานะที่เป็นผู้หญิงสาว(สวย)ออกเดินทางคนเดียว

    ตัวเมืองหลวงพระบางอยู่ห่างจากสนามบินออกไปทางทิศตะวันตก ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วค่ะ สามารถแจ้งกับคนขับรถได้เลยว่าต้องการไปลงที่ไหน

    ที่พักที่จองมาชื่อ “Khonesavanh Guesthouse" ทั้ง 2 คืนเลยค่ะ จองผ่านเว็บไซต์หนึ่งมา 696.25 บาท/ 2 คืน เป็นห้องที่มีแต่เตียงนอนและชุดเครื่องนอน ห้องน้ำรวม แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ เจ้าของเป็นคนจีน พูดลาวได้นิดหน่อย อังกฤษได้อีกนิดหน่อย ซึ่งเราก็ไม่ทราบมาก่อน สื่อสารกันค่อนข้างยากแต่ดีที่มีสาวจีนอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นเพื่อนของเจ้าของมาพูดคุยภาษาอังกฤษ (ที่นี่มีห้องพักหลายแบบนะคะ) เรามาด้วยอารมณ์กึ่งแบ็คแพ็คจึงไม่คิดอะไรมาก ห้องราคาถูกมีอุปกรณ์ให้ใช้มีเตียงนอนมีกลอนล็อกห้องดี ไม่มีกลิ่นอับไม่มีแมลง แถมยังเงียบสงบดูเป็นส่วนตัวดี ก็โอเคแล้วล่ะค่ะ

    • Posts-2
    Amp •  March 24 , 2017

    วันที่ 1 : ตลาดมืด

    เดิมวางแผนมาว่า เมื่อถึงที่พักแล้วจะออกไปเดินขึ้นเขาภูสีแล้วลงมาเดินตลาดมืด แต่พอเข้าที่พักฝนก็ตกมาพอดี ต่อให้เดินกางร่มขึ้นไปก็อาจจะมองเห็นวิวด้านล่างไม่สวยนัก จึงนอนเล่นอยู่ในห้องจนฝนซา แล้วออกไปเดิน ตลาดมืด หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ตลาดม้ง " เพราะทั้งสินค้าและคนขายส่วนใหญ่จะเป็นชาวม้ง หลายๆอย่างก็ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่กาดหรือตลาดทางภาคเหนือของไทยนั่นเองค่ะ ตลาดมืดจะเริ่มตั้งเต๊นท์วางของขายกันตั้งแต่เวลา 17.00 – 23.00 น. โดยประมาณ

     

    อยู่บนถนนสีสว่างวงศ์ (sisavangvong) ตั้งแต่บริเวณสี่แยกวงเวียนยาวไปจนถึงหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง ระยะ 500 เมตรเท่านั้นค่ะ 

    ระหว่างทางก็แวะถามหารถสำหรับไปตาดกวางสี หรือน้ำตกกวางสีในวันพรุ่งนี้ด้วย เท่าที่หาข้อมูลมา เจอแต่ที่รู้สึกว่าค่อนข้างแพง จึงพยายามเดิมถามเอาเอง ตามทางจะมีทั้งรถตู้ รถตุ๊กๆ รถสองแถวจอดอยู่เต็มไปหมดค่ะ ตกลงราคาและนัดแนะเวลากับสถานที่ขึ้นรถกันได้เลย ตามที่บอกไปก่อหน้านี้แล้วเรามาแบบกึ่งแบ็คแพ็ค ฉะนั้นเราจะหาที่ประหยัดที่สุดสำหรับเรา เราไม่เน้นสบายแต่ก็ไม่เอาที่ลำบากเกินไปค่ะ ถามอยู่หลายคนเลยล่ะค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่จะชักชวนให้เหมาคันไป ซึ่งราคาก็จะสูงลิบลิ่วตามไปด้วย คือราวๆ 200.000 - 250.000กีบ เราบอกไปตามตรงเลยว่า "ไม่เอามันแพงไป อยากไปแบบถูกๆ ไปจอยกับคนอื่นๆก็ได้" (ฮ่าๆๆๆๆ) สุดท้ายมีคันหนึ่งยอมให้เราต่อมาได้ที่ 30.000กีบ บอกเราให้ออกมารอหน้าที่ทำการไปรษณีย์เวลา 11.15 น. เป็นอันว่าสบายใจแล้วคืนนี้

    ของที่ขายในตลาดมืดส่วนใหญ่เป็นของชาวม้งนะคะ สินค้าคล้ายๆกับของที่ขายอยู่ตามตลาดถนนคนเดินทางภาคเหนือของไทยเราเลยค่ะ คนลาวมักเรียกว่าตลาดม้ง!!

    เราเดินผ่านของกินทุกร้านมากระทั่งเจอร้านแซนวิชแบบนี้ นึกถึงตอนกินที่วังเวียงอร่อยมาก จึงสั่งมาลอง ปรากฎว่ารสชาติของที่นี่เทียบกับที่วังเวียงไม่ได้เลย แอบผิดหวังเล็กๆ กินไม่หมดด้วย เลี่ยนเกินไปค่ะ

    เดินมาแวะดูร้านในซอยบุฟเฟต์ที่เคยอ่านเจอผ่านๆกันต่อ ซอยนี้อยู่ข้างๆ Indigo Cafe'

    มองเข้าไปในซอยมีร้านขายของกินเยอะเลยค่ะ

     

    ร้านที่เป็นบุฟเฟ่ต์ก็มีอยู่ 2-3 ร้านใกล้ๆกันเลยค่ะ ไว้พรุ่งนี้จะแวะมาลองนะคะ (บอกไว้ก่อนนะคะว่าสำหรับเราที่เป็นคนกินง่ายนะ เราว่ารสชาติไม่ได้เรื่องเลย แอบรู้สึกเสียดายเงิน มีแต่ผักกับเต้าหู้และรสชาติจืดๆ ถ้ามีน้ำพริกสักถ้วยน่าจะพอไหว)

     

    เดินออกมา เลยตลาดมืดไปจะมีคาเฟ่ ร้านอาหารแบบหรูๆ รวมถึงร้านอาหารตามสั่งอยู่หลายร้านเลยค่ะ ถ้าไม่ติดว่าซื้อแซนวิชมาแล้วเราคงแวะร้านอาหารตามสั่งนี่แหละ เมนูเยอะเชียว

    ก่อนเดินกลับที่พักต้องแวะซื้อน้ำเปล่าไว้ดื่มสักหน่อยก่อน ราคาตามป้ายเลยค่ะ

     

     

    เจอป้าถือตะกร้าขายปลาทอดกับข้าวเหนียวเดินไปมา ยั่วน้ำลายจนอดใจไม่ไหว ต้องแวะซื้ออีก!! ปลาตัวละ 1.000 กีบเอง มีข้าวเหนียวกับน้ำพริกด้วยแต่ซื้อมาแค่ปลาทอด อยาก!!!

     

    • Posts-3
    Amp •  March 24 , 2017

    วันที่ 2 : ตักบาตรข้าวเหนียว - วัดหอเซียง (Wat Hua Xiang) - วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร หรือวัดทาดน้อย (Wat Mahathat) – ตลาดเช้า - วัดโพนไซซะนะสงคราม (Phonxay) – ร้านประชานิยม (Prashaniyom Coffee) - ร้านโจมา (Joma Bakery Cafe') - ตาดกวางสี (Kuang Si Waterfal

    ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้า เพราะไม่อยากรีบอะไรมาก และการตักบาตรข้าวเหนียวก็มีตั้งแต่เช้ามืดด้วย แต่เนื่องจากคืนที่ผ่านมานอนดึก ฮ่าๆๆๆ จึงนอนบิดขี้เกียจต่ออีกหน่อยกว่าจะลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกว่าจะออกไปถึงปากซอยก็เกือบ 6 โมงแล้ว โชคดีที่ซอยที่ว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดหอเชียงที่จะมีพระเดินบิณฑบาตรพอดี ก่อนอื่นต้องมีข้าวเหนียวก่อน ที่เราหาอ่านมาถูกสุดคือ 1หมื่น มีขายในตลาดเช้า แล้วก็จะมีแม่ค้าขายเป็นเซ็ต มีข้าวเหนียว ขนม และเสื่อ หรือรวมผ้าห่มไหล่ (สไบ)ให้ด้วยก็ 2-3หมื่น จริงๆตั้งใจจะเดินไปดูในตลาดเช้าก่อน แต่ด้วยความที่ออกมาช้า เจอป้าคนหนึ่งดักขาย 3หมื่น กะจะเดินหนีแล้วแต่เห็นพระมาพอดี เลยต่อราคาลงมาได้แค่ 2หมื่น ก็ยังดีค่ะ เกรงว่าจะไม่ทันกาล (มารู้ทีหลังจากเพื่อนที่เป็นคนลาวว่า ทางแถบหน้าวัดหอเชียงนั้น พระเดินมาบิณฑบาตรน้อย และมาตั้งแต่เชามืด แต่ถ้าเป็นทางแถบหน้าวัดแสน พระจะมาจากหลายวัด แต่จะสายกว่าอีกหน่อย) 

     

    พระและเณรจะทยอยเดินออกบิณฑบาตรเรื่อยๆ เพราะท่านมาจากหลายวัด โดยพระท่านจะเดินเร็วมาก ต้องจกข้าวเหนียวเร็วๆและมีสมาธิในการใส่บาตรอยู่ตลอดเวลา

     

    ระหว่างนั้นก็สามารถชมภาพวิถีชีวิตแบบสโลวไลฟ์ยามเช้าของผู้คนในเมืองนี้ไปได้ด้วย 

     

    • Posts-4
    Amp •  March 24 , 2017

    หลังจากที่ข้าวเหนียวและขนมหมด ได้รูปกลับมาเล็กน้อย (แอบเสียดายที่ไม่มีใครให้ไหว้วานมาช่วยถ่ายรูปให้เราเลย แหะๆๆ) พับเสื่อเก็บตะกร้าและกระติ๊บข้าวเหนียวเดินข้ามฝั่งกลับไปคืนป้า แล้วเดินข้ามถนนไปยังวัดหอเชียงอีกครั้ง ชาวบ้านบางคนก็จะนำอาหารไปถวายพระในวัดพร้อมทั้งเข้าไปฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เราก็เดินตามไปเพื่อชมความงามของศิลปะที่นี่ค่ะ

    “วัดหอเชียง หรือวัดหอเซียง (Wat Hua Xiang)"

    วัดหอเซียง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไซเชษฐาธิ ราช (พ.ศ. 2091) เช่นเดียวกันกับวัดพระมหาธาตุ มีการค้นพบพระพุทธรูปสำริดในสมัยเดียวกันหลายองค์ พระอุโบสถมีขนาดเล็กเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ๆ ภาพวาดฝาผนังด้านหน้าได้ถูกวาดขึ้นในภายหลัง

    จากวัดหอเชียงเดินไปอีกหน่อยมีอีกหนึ่งวัดอยู่ติดกันเลย คือ วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร หรือวัดทาดน้อย ไม่มีรั้วกันแต่อย่างได เดินลงบันไดไปก็ถึงแล้ว


     

    “วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร หรือวัดทาดน้อย (Wat Mahathat)"

    วัดพระมหาธาตุสร้างในปีพ.ศ. 2091 (สมัยพระเจ้าไซยเชษฐาธิราช) ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2453 โดยเจ้ามหาอุปราชบุญคง ภายในสิม (อุโบสถ) แบบล้านช้างมี "ราวเทียน" รูปนาค 24 ตัว ฝีมือการแกะวิจิตรงดงาม หน้าสิมมีเจดีย์ธาตุองค์ใหญ่ บรรจุอัฐิของเจ้าเพชรราชรัตนวงศา อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศลาว และถือเป็นรัฐบุรุษของประเทศลาวยุคใหม่ เฉพาะพระอุโบสถขนาดใหญ่ มีการตกแต่งเพิ่มเติมรูปสลักบนบานประตูและหน้าต่าง แสดงเรื่องเล่าชาดกพระสุธนมโนราห์ดูสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นฝีมือสกุลช่างพ่อเฒ่าเพียตัน ด้านหลังมีพระธาตุเจดีย์ยอดทรงระฆังประดับเศวตฉัตร 17 ช่อ นั้นหมายถึง วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าชีวิต 

    หลังจากนั้นเราเดินไปตลาดเช้าต่อ โดยผ่านที่ทำการไปรษณีย์ และตู้ ATM ที่เรียงรายเหล่านี้

    ไปจนกระทั่งถึงถนนวงเวียนให้เลี้ยวซ้านเดินตรงเข้าไปสักประมาณ 200 เมตร ตลาดเช้าจะอยู่ทางขวามือเข้าซอยไปเลยค่ะ

    เข้ามาทางนี้จะผ่านวัดโพนไซซะนะสงครามด้วย จึงแวะเข้าไปชมก่อนค่ะ

     

    “วัดโพนไซซะนะสงคราม (Phonxay)"

    สร้างในปี พ.ศ. 2334 โดยพระเจ้าอนุรุทธราช ตามประวัติกล่าวว่าเป็นประเพณีที่พระมหากษัตริย์แห่งนครหลวงพระบางและเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายต้องมาทำพิธีนมัสการพระองค์หลวง (พระประธาน) เพื่อขอพรก่อนจะออกไปรบทัพจับศึก เชื่อกันว่าองค์พระประธานของวัดนี้ มีอำนาจช่วยบันดาลให้ชนะศึกสงคราม พระอุโบสถมีลักษณะศิลปะแบบหลวงพระบางทั่วไป ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องยาว 4 ห้องขวาง ภายหลังห้องขวางพังลง 2 ห้องและเริ่มบูรณะในปีพ.ศ. 2513 โดยขยายกว้างออกข้างละ 1 เมตร จากนั้นจึงบูรณะใหม่หมดทั้งหลัง 

    ยืนชมความงดงามของวัดอยู่สักพัก มองไปเห็นคุณป้าท่านหนึ่งเดินออกมาจากโบสถ์แล้วปั้นๆข้าวเหนียวใส่ไปในปากรูปปั้นสิงห์แบบนี้ กำลังจะเดินเข้าไปถามให้คลายสงสัย แต่ก็ไม่ทันคุณป้าเดินกลับออกไปไวมากค่ะ แหง่ว!

    เดินออกมาเข้าตลาดเช้าอีกครั้ง คนเดินกันเยอะพอสมควรเลยค่ะ ตลาดเช้าจะคนละแบบกับตลาดมืด มีของสด พืชผักผลไม้ท้องถิ่น และผลไม้ไทย รวมไปถึงร้านค้าขายของแห้งของกินของฝากอีกไม่น้อย

     

    ที่ตลาดนี้เราซื้อแค่ “ไค" ที่เป็นของดีและขึ้นชื่อของหลวงพระบางมาไว้เป็นของฝาก ซึ่งที่นี่มีทั้งไคสดและไคปรุงรสแห้งแบบนี้ค่ะ ไค เป็นพืชน้ำสีเขียว คล้ายสาหร่าย และตะไคร่น้ำ ในเมืองไทยเราก็มีไม่น้อยเหมือนกันนะคะ ทราบไหมเอ่ย.. “สไปโรไจรา (เทาน้ำ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spirogyra sp. และมีชื่อสามัญว่า เทาน้ำ เตา ไก หรือผักเตา" ทางภาคเหนือมีเมนู “ยำเตา" ทางภาคอีสานก็มี “ลาบเทา" นั่นแหละค่ะ (มาทราบภายหลังอีกว่า ไคแผ่นปรุงรสในช่วงนี้คือไคเก่า เขาจะเก็บมาทำใหม่กันอีกทีช่วงฤดูหนาว คือตั้งแต่ เดือนตุลาคม จนถึง เดือนกุมภาพันธ์นั่นเองค่ะ ไม่รู้แล้วล่ะซื้อมาแล้ว มีกลิ่นเก่าๆจริงด้วย ขนาดว่าเลือกที่สีเข้มๆมาแล้วนะคะ รสชาติก็ค่อนข้างจืดมีรสเค็มปะแล่มๆหน่อยๆ มีมะเขือเทศและเครื่องปรุงใส่อยู่ด้วย คล้ายๆกินสาหร่ายแผ่น แต่รสชาติไม่ค่อยน่าพิศมัยสักเท่าไหร่ น่าจะต้องรอชิมไคใหม่ดูก่อน

    จากนั้นเดินไปกินข้าวต้มที่ “ร้านประชานิยม" ร้านดังแห่งวงการรีวิวของชาวไทย เอิ้กๆๆๆ ออกมาจากตลาดเช้า ทางถนน Chao Phanakhang เดินไปสุดทางแล้วเลี้ยวซ้าย ระหว่างทางเจอร้านขายของทุกอย่าง 6.000 กีบ

    ตรงหัวมุมมีร้านขายขนมปังแซนวิช

    เดินไปอีกนิดก็จะเจอร้านประชานิมแล้วค่ะ

    จะนั่งฝั่งตรงข้ามร้านวิวริมโขงก็ได้เช่นกัน

    รสชาติดี ราคาไม่แพง ข้าวต้มชามละ 7.000กีบ ปลาท่องโก๋ตัวละ 1.000กีบ ชากาแฟแก้วละ 5.000 กีบ เรากินข้าวต้มอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว ไม่ได้สั่งน้ำเพราะไม่ชอบดื่มกาแฟและยังไม่อยากดื่มน้ำหวานๆแต่เช้า

     

     

    • Posts-5
    Amp •  March 24 , 2017

    ธุระเสร็จสรรพก็เดินชิลริมโขง ช่วงนี้ฝนคงตกแทบทุกวัน น้ำในแม่น้ำเป็นสีชาเย็นมากค่ะ

    จากนั้นขอแวะเข้าไปงีบในห้องพักต่อ ฮ่าๆๆๆ แล้วออกมานั่งละเลียดเบเกอรี่ "ร้านโจมา (Joma Bakery Cafe')" เพราะมีเวลาเหลือเฟือจริงๆ

    มีที่นั่งให้เลือกทั้งด้านนอกคือบริเวณหน้าร้าน และที่นั่งภายในร้าน มีแอร์เย็นๆ มี Free Wifi ให้ใช้ด้วยค่ะ

    เมนูมีหลากหลาย ทั้งเบเกอรี่แบบหวานและไม่หวาน รวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆ

    ส่วนเราทานแค่นี้ก็พอแล้ว มีแต่คนแนะนำให้มาก็ไม่คิดว่าจะอร่อยอะไรมากนัก แต่ได้มาชิมแล้วบอกเลยว่าอร่อยจริงๆค่ะ ชอบอ่า หมดนี่ 41.000กีบ หรือประมาณ ร้อยเจ็ดสิบกว่าบาท

     

    • Posts-6
    Amp •  March 24 , 2017

    พอใกล้ถึงเวลานัดที่จะไปตาดกวางสี ก็เดินไปรอรถหน้าที่ทำการไปรษณีย์ บริเวณนั้นจะมีทั้งรถตู้และรถตุ๊กๆจอดอยู่หลายค้น เดินผ่านไปถูกถามตลอดทางว่าจะไปไหน ไปเที่ยวที่นี่ๆๆๆไหม เรายืนรอจนเกือบถึงเวลาก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะมารอ และไม่แน่ใจว่ารถที่นัดไว้จะมารับจริงไหม เดินไปก็ชวนคนนู้นคนนี้คุยไปเรื่อย เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ เจอคนไทยด้วย คนไทยมาเที่ยวกันเยอะเชียวค่ะ กระทั่งเจอคนขับรถแวนเล็กคนหนึ่ง บอกว่าเขาใกล้จะออกไปตาดกวางสีแล้วจะไปด้วยกันไหม สองจิตสองใจคุยกันจนคิดว่าน่าจะไว้ใจได้ ขอต่อราคาลงมาเหลือ 35.000 กีบ เดินไปดูรถ ยังไม่มีใครมา สักพักหนึ่งเขาบอกว่าจะฝากไปกับรถเพื่อนเป็นรถตู้คันใหญ่ให้ราคาเท่าที่ตกลงมาเมื่อกี๊นั่นแหละ เห็นว่าคนเต็มรถเลยก็เลยไปด้วยค่ะ มีแต่ฝรั่งกับเกาหลี เราคือคนไทยคนเดียวในรถ ก็ไปกับเขา คนอื่นเขาจ่ายกัน 50.000 กีบ เราจ่ายแค่ 35.000 กีบ ที่กล้าต่อเพราะเขามีคนจะเต็มรถอยู่แล้วเลยคิดว่าเพิ่มเราอีกคนเดียวขอต่อหน่อยก็แล้วกัน ซึ่งเขาก็ใจดียอมให้ไปแบบจ่ายถูกกว่าชาวบ้าน (ถ้าคนไม่กี่คนก็ไม่กล้าต่อขนาดนี้นะคะ)


     

    รถมินิแวน ที่ตอนแรกนึกว่าจะได้ไปคันนี้ อุตส่าห์ถ่ายรูปเก็บไว้ดูทะเบียนรถ ฮ่าๆๆๆๆ 

    ตาดกวางสีอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกค่อนไปทางใต้ ระยะทางห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร แต่ถนนหนทางบางช่วงไม่ค่อยดี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง เมื่อถึงแล้วต้องจ่ายเงินค่ารถเลยแล้วคนขับรถก็บอกว่าให้เวลา 3 ชั่วโมงนะ แล้วมาเจอกันที่ลานจอดรถนี่แหละ

     

    “ตาดกวางสี" (อังกฤษ: Kuang Si Falls, Tat Kuang Si Waterfalls, ลาว: ຕາດກວາງຊີ)

     

    ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง ตาดกวางสีมีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูนน้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ภายในพื้นที่น้ำตกมีการจัดการท่องเที่ยวอย่างเป็นระเบียบ มีพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารเป็นสัดส่วน ไม่อนุญาตให้มีการปรุงอาหารนะคะ มีพื้นที่สำหรับเล่นน้ำ และมีถังขยะตามจุดต่างๆเพื่อให้นักท่องเที่ยวทิ้งขยะกันอย่างเป็นที่เป็นทาง 

    ราคาบัตรผ่านเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 กว่าบาท) เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 8.00-17.30 น.

    บริเวณทางเข้าจะมีร้านค้า จำหน่ายทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มอยู่หลายร้าน ราคาก็จะค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นๆเล็กน้อย

    บริเวณทางเข้าน้ำตกจะมีศูนย์อนุรักษ์หมี ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหมีที่ถูกช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าตามสถานที่ต่างๆในประเทศลาว ซึ่งค่าเข้าชมส่วนหนึ่งนั้นได้นำมาอนุรักษ์บำรุงหมีด้วยค่ะ ไปหาหมีกันนะ หาหมี หาหมี หาหมี!!! บ้างก็นอนอืด บ้างก็เล่นซนกันไป น่ารักดีค่ะ ^^

    จากนั้นเดินขึ้นไปอีกไม่ไกลนัก เราก็ได้พบกับชั้นบนสุดของตาดกวางสี อลังการงานสร้างจากธรรมชาติมาก สวยเว่อร์วังสุดๆ ตื่นตาตื่นใจที่สุด จะถ่ายแบบแนวนอนหรือแนวตั้งก็สวยไม่แพ้กัน แม้สีของน้ำจะค่อนข้างขุ่นกว่าปกติ เพราะเท่าที่เคยหารูปดูมานั้น น้ำจะออกใสๆมีสีฟ้าอมเขียวหน่อยๆ แต่ก็ยังคงงดงามอยู่ดี

    ด้านบนมีนักท่องเที่ยวอยู่จำนวนมาก ทั้งฝรั่ง เกาหลี จีน และไทย ไม่ยากเลยสำหรับการเข้าไปไหว้วานใครสักคนให้ช่วยถ่ายรูปให้ แหะๆๆๆ นักท่องเที่ยวน่ารักทุกคนเนอะ อยากมาอีกช่วงหน้าหนาวที่น้ำใสๆเขียวอมฟ้าสวยๆ

    แวะซื้อไอศกรีมวอลล์กินสักหน่อย อารมณ์ไหนไม่ทราบ แต่อยากมาก ตั้ง 10.000 กีบ หรือ 40 กว่าบาท ก็ยอมจ่าย ณ เวลานั้น

    • Posts-7
    Amp •  March 24 , 2017

    คิดไว้ว่าเมื่อวานไม่ได้เดินขึ้นไปชมความงามพระธาตุ เดี๋ยววันนี้แหละกลับไปถึงแล้วจะไปเดินขึ้นสักหน่อย พอใกล้ๆถึงในเมืองฝนก็เริ่มปรอยลงมา บอกคนขับรถให้ไปส่งตรงทางขึ้นฝั่งน้ำคาน หรือที่คนลาวเรียกว่า “แคมคาน" เพื่อที่จะได้เดินลงมาทางตลาดมืดพอดี แต่คนขับบอกว่าทางนั้นไกลและค่อนข้างเปลี่ยว คนไม่ค่อยขึ้นทางนั้นกัน อีกอย่างฝนตกอากาศไม่ค่อยดีแบบนี้อาจไม่มีคนเดินขึ้นเลย จึงตัดสินใจให้ส่งลงใกล้ๆตลาดมืดนั่นแหละค่ะ

     

    พอลงจากรถได้แป๊บเดียวฝนก็เริ่มแรงขึ้นอีก เดินไปดูทางขึ้นพระธาตุ 

    แล้วมองลงมาที่ตลาดมืดด้านล่างก่อน อดอีกวันแล้ววันนี้ ยืนกางร่มมองดูฝนพรำ มองดูวิวรอบๆ ชมความงามของหอพระบางอยู่ไกลๆไปก่อน

    จึงตัดสินใจแวะหาอะไรกินก่อนเลยก็แล้วกัน เมื่อวานเดินเข้าไปดูซอยบุฟเฟ่ต์ไว้ ก็เลยเดินไปลองค่ะ 15.000 กีบ ตักเอาได้ตามสบาย แต่คนเอ๊ย!!! มีแต่เมนูผักและเต้าหู้ เห็นมีต่อนอะไรทอดๆอยู่ก็คิดเอาเองว่าอาจจะเป็นเนื้อไก้ชุบแป้งทอด ที่ไหนได้ เป็นกล้วยชุบก้อนแป้งทอด ฝันสลาย ฮ่าๆๆๆ รสชาติสุดจะบรรยายค่ะ เราว่าเรากินง่ายแล้วนะ แต่มันไม่ไหวจริงๆ ถ้ามีน้ำพริกสักถ้วยนะจะดีมากเลย ฝืนกินไป กังวลเรื่องฝนตกหนักไป จนหมดชาม พอกันที เลี่ยนเลยคราวนี้

    ต้องเดินไปกินเฝอร้านข้างๆต่ออีก 15.000 กีบ ขอใส่พริกกับมะนาวเยอะๆกินให้หายเลี่ยนกันไปสิ

    เครื่องปรุงเยอะแบบนี้จัดแซ่บๆได้ตามต้องการ

    มีเส้นให้เลือก 2 แบบ แล้วแต่ว่าอยากทานเส้นเล็กหรือใหญ่

    มีข้าวพองและแคปหมูแขวนไว้ให้ดึงลงมาทานคู่กับเฝอได้อารมณ์ไปอีกแบบ

    ชามใหญ่มาก!!! แหม่ เดินเลยมากินเฝอตั้งแต่แรกก็จบไปละ ฮ่าๆๆๆๆ

    • Posts-8
    Amp •  March 24 , 2017

    วันที่ 3 : วัดเซียงทอง (Wat Xieng Thong) - วัดแสนสุขาราม (Wat Sene) - หอพะบาง (Haw Pha Bang) / พิพิธภัณฑ์ (National Museum)

    วันนี้อากาศดีแต่เช้า จึงไปตามแผนที่คิดไว้ได้ทั้งหมดค่ะ ตื่นสายกว่าวันก่อนหน่อยไม่ได้ตักบาตรข้าวเหนียว และเนื่องจากคืนที่ผ่านมากินเข้าไปเยอะ เช้ามาก็เลยไม่หิวแม้แต่น้อย เดินออกไปเรื่อยๆ แวะเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอ่านข้อมูลมาว่าที่นี่จะปิดวันอังคาร เราก็ดันมาวันอังคารพอดี แต่ประตูด้านหน้าเปิดอยู่ จึงเข้าไปถ่ายรูปโดยรวมนิดหน่อย 

    จังหวะที่กำลังจะเดินออกมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานเข้ามา พอเราข้ามฝั่งไปเดินขึ้นเขาภูสีเพื่อไปชมพระธาตุจอมสี ก็สังเกตเห็นว่าผู้ชายคนเดิมเดินตามมา เราไม่แน่ใจว่าเขามองๆเราหรือเปล่าจึงหยุดให้เขาขึ้นไปก่อน แวะซื้อดอกไม้สำหรับไหว้พระมาด้วย 5.000 กีบ ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ที่ขายตั๋วอยู่เกือบถึงยอด)

     

    “พระธาตุจอมสี บนยอดเขาภูสี"

    สามารถมองเห็นได้จากแทบจะทุกมุมของหลวงพระบาง เมื่อยามต้องแสงแดดจะสะท้อนแสงสีทองให้ได้เห็น มีความสูงประมาณ 100 เมตร มีทางขึ้นสองทาง คือ บันไดทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์และหอพระบาง มีบันได 328ขั้น อีกเส้นทางหนึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก เป็นทางบันไดชันขึ้นมาจากทางแม่น้ำคาน ผ่านวัดถ้ำพูสี เมื่อขึ้นถึงด้านบนพระธาตุสามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบางได้รอบด้าน สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างได้สวยงาม ซึ่งบนยอดพระธาตุนั้นประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูง 21 เมตร ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นช่วงเย็น ประมาณ 4 โมงเป็นต้นไปค่ะ 


    วิวฝั่งแม่น้ำโขง ภาพนี้จากพระธาตุหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เห็นสายน้ำโขงไหลอ้อมภูเขา


    วิวทางทิศใต้


    วิวทางทิศตะวันออก (ถ่ายรูปฝั่งนี้ก่อนเที่ยง ย้อนแสงเลยจ้า) มองเห็นแม่น้ำคาน และวัดโพนเพาไกลๆด้วย


    วิวสวยมาก ฟ้าค่อนข้างเปิด จึงสามารถมองเห็นวิวเมืองหลวงพระบางได้กว้างไกล ทั้งทางแม่น้ำโขง และทางแม่น้ำคาน

     

    ยืนชมวิวอยู่ดีๆ ผู้ชายคนที่กล่าวมาก็เดินมาข้างๆแล้วพูดภาอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง เลยถามเป็นภาษาอังกฤษกลับไปก่อนว่ามาจากไหน (จากประเทศอะไร) เขาบอกว่าเขาเป็นคนลาว!! อ้าว!!! คือหน้าตาไปทางปากีสถานมากค่ะไม่คิดว่าจะเป็นคนลาว เลยบอกว่าว่าเราเป็นคนไทย เขาก็คิดว่าเราเป็นคนลาวเพราะเห็นใส่ซิ่นมาเดินเลยจะถามทางไปเมืองเมืองหนึ่ง ฮ่าๆๆๆ อ้อ! เขาชื่อ “เหม" ค่ะ หลังจากนั้นก็ชวนกันคุยนู่นนี่ ปรากฏว่าอายุเท่ากันค่ะจึงทำให้คุยกันง่ายหน่อย ซัดภาษาไทยเลยเหมก็พูดไทยได้และสำเนียงชัดซะด้วย ก็เลยได้รูปจากตากล้องเหมกลับมาเยอะเลย ^^ 

    เราจะไปวัดเชียงทองต่อ เหมบอกว่าเมื่อเช้าไปมาแล้วแต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเพราะไปเช้ามากไม่มีคนอยู่เลย ก็เลยได้ไปด้วยกันอีกรอบ โดยซ้อนจักรยานเหมไปค่ะ สงสารนะ ไอ้เราก็หนักใช่ย่อย แต่เหมบอกว่าออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้วแค่นี้สบายมาก ดีงามอะไรปานนั้น ฮ่าๆๆๆ

    • Posts-9
    Amp •  March 24 , 2017

    “วัดเชียงทอง"

    เป็นวัดในแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2103 สร้างโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างที่สวยงามมาก 

    เวลาเปิด-ปิด: 06.00 - 17.30 น.

    ค่าธรรมเนียมในการเข้าชม: 20,000 กีบ 

    อาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่าม ขนาดใหญ่ซึ่งคนลาวเรียกว่า “โรงเมี้ยนโกศ"หรือเป็นโรงเก็บพระโกศ, พระราชรถ, ราชยานของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2502 และได้สร้างโรงเมี้ยนโกศแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2505

    ภายในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้

    บริเวณกลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งของราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศ 3 องค์ ตรงกลางเป็นโกศองค์ใหญ่

    พระอุโบสถ หรือ ภาษาลาวเรียกว่า "สิม" (ภาษาอีสานของไทยก็เรียกว่าสิมเช่นกัน)

    กราบไหว้พระประธานในโบสถ์แล้วสังเกตเห็นไม้ยาวๆสีทองพาดอยู่ด้านบนจึงถามเหมว่าไม้นั่นมีไว้ใช้ทำอะไร จึงได้ทราบมาว่า เป็นไม้ที่มีร่องให้น้ำไหลผ่านได้ ใช้ในพิธีสรงน้ำพระ ชาวบ้านจะรดน้ำลงบนไม้นี้แล้วน้ำจะไหลผ่านไปสรงพระพุทธรูปนั่งเองค่ะ

    บริเวณด้านหลังของโบสถ์ตกแต่งสวยงามมากเลยค่ะ

    บริเวณด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารเล็กๆ 2 หลัง

    จุดเด่นของวิหารด้านหน้าคือ ที่ผนังด้านนอกแต่ละหลังตกแต่งด้วยกระจกสีตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาต่อกันเป็นรูปร่างต่างๆ เล่าเป็นนิทานพื้นบ้านลงบนผนังสีชมพู ดูสวยงามน่ารักตามแบบฉบับชาวหลวงพระบางเลยทีเดียว

     

    วิหารหลังเล็กด้านข้างพระอุโบสถที่มีชื่อว่า “วิหารแดง" ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่งดงาม

    จากนั้นกลับเส้นทางเดิมเพื่อไปยังวัดแสนกันต่อค่ะ จริงๆแล้วเขมมีไฟลท์บินกลับบ้านที่ปากเซตอนเที่ยง แต่เขมตกลงว่าจะไปเลื่อนไฟลท์เป็นตอนเย็นเพราะเมื่อวานฝนตกทั้งวันเช่ามอเตอร์ไซค์ก็ไม่ได้ไปไหน วันนี้อากาศดีเลยอยากเที่ยวต่อ พอส่งเราลงที่วัดแสนเขมก็ออกไปทำธุระเปลี่ยนเที่ยวบิน ไม่นานนักก็กลับมา

    • Posts-10
    Amp •  March 24 , 2017

    “วัดแสนสุขาราม"

    สร้างขึ้นในคริสศตวรรษที่ 15 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้ากิ่งกฤษราช ตามประวัติศาสตร์เล่ากันว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนในการก่อสร้าง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังนครหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทน์ได้11 ปี เป็นอีกอาณาจักรหนึ่ง ก่อนหน้านั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนมีวัดเก่าอยู่ก่อน

    พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปยืนองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว ข้างหอพระยืนมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง

    ส่วนพระอุโบสถดูวิจิตรการตาเต็มไปด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นสีแดง ภายในตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม พระประธานของวัดมีชื่อว่า “พระองค์หลวง" มีลักษณะงดงามชดช้อย วัดแสนได้รับการบูรณะ 2ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่สองเมื่อปีพ.ศ. 2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองที่สวยงามนั้นบูรณะเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยช่างในวังหลวงของหลวงพระบางนั่นเอง

    โรงเก็บเรือแข่ง เป็นเรือที่ใช้ไม่ท่อนเดียวขุดเป็นลำยาว

    พอดีว่ามีเพื่อนในเฟซบุ๊คเป็นชาวหลวงพระบาง ก่อนมาก็มีสอบถามข้อมูลจากเพื่อนคนนี้มาส่วนหนึ่งด้วย และวันนี้จะได้เจอกันแล้วค่ะ คุณตุ้ย ทำงานอยู่ในซอยข้างๆวัดแสนเนี่ยแหละค่ะ คุณตุ้ยเคยเป็นไกด์พาคนไทยเที่ยวในลาวมาก่อน จึงสามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ในระดับที่ดีเลยล่ะค่ะ นัดแนะกันแล้วก็ชวนเหมไปหาคุณตุ้ยกันต่อเลย พอเจอหน้ากันก็ชวนคุยกันไปเรื่อยๆ คุณตุ้ยบอกว่ามีเฝอตรงข้ามวัดแสนอร่อย (ไม่ได้ไปกิน เสียดายจัง) แล้วก็มีร้านส้มตำในซอยเนี่ยแหละแซ่บนัว แน่นอนสิคะ ขอไปชิมส้มตำ หรือตำส้มของลาวสักหน่อย


     

    ส้มตำที่นี่จะปาดเป็นเส้นใหญ่ ถ้าใครกลัวไม่ถนัดก็สั่งแบบเส้นเล็กเหมือนบ้านเราได้นะคะ แต่เราว่าแบบนี้ก็อร่อยไม่ใช่ย่อยนะเนี่ย กินเข้าไปคำแรกรู้เลยว่าใส่กะปิ แต่รสดีมาก นัวมาก โอย... พิมพ์ไปน้ำลายสอไป อยากกินอีก!!! กะปิที่ใส่เป็นกะปิตราเรือใบนำเข้าจากไทยนั่นแหละค่ะ ของส่วนใหญ่ที่หลวงพระบางจะนำเข้าจึงทำให้ราคาค่อนข้างสูงไปด้วย คุณตุ้ยสั่งไส้อั่วมาให้ลองอีกจาน พร้อมกับข้าวเหนียวที่เป็นข้าวกล่ำหรือข้าวเหนียวข้าวกล้องนั่นเองค่ะ ไส้อั่วที่นี่ไม่เหมือนไส้อั่วทางภาคเหนือของไทยนะคะ เป็นไส้อั่วหมูไม่มีสมุนไพร รสชาติอร่อยมาก เหมือนว่ามีแต่เนื้อหมูอาจผสมมันหมูเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นสมุนไพร ไม่เปรี้ยว รสชาติกลมกล่อมอร่อยมาก! ข้าวเหนียวก็ไม่ติดมือ แต่เหนียวนุ่มอร่อยเข้ากันเป็นอย่างดีกับส้มตำและไส้อั่ว ฮืม... อยากกินอีกๆๆๆ ส้มตำจานละ 10.000 กีบจ้า (ก็ตกสี่สิบกว่าบาท พอๆกับส้มตำบ้านเรา) ทั้งหมดนี่ 95.000 กีบ คุณตุ้ยเลี้ยง!! อ๊า... ใจดีจังเลย >< 

    และที่เราพบเห็นได้แทบทุกร้านก็คือพวงข้าวพองนี่แหละค่ะ ถ้าเป็นบ้านเราจะเป็นอะไรล่ะ แคบหมู หนังปลากรอบ ประมาณนั้น

     

    ร้านนี้ไม่มีชื่อร้าน แต่คุณตุ้ยบอกว่าเป็นร้านประจำของ คุณวู้ดดี้ มิลินทจินดาค่ะ เอาเป็นว่าจะอธิบายทางอีกทีนะคะ เผื่อว่าใครอยากจะมาลองความแซ่บนัวของส้มตำหลวงพระบางดูบ้างนะคะ

    ร้านจะอยู่ในซอยข้างวัดแสน ตรงปากซอยมีโรงแรม 3Naga ตรงเข้าไปกระทั่งเจอสี่แยกก่อนสุดซอย ให้เลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปอีกประมาณ 100 เมตร ร้านจะอยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับวัดศรีคูนเมือง

     

  1. View more