ตำนาน ‘เขาช้างเผือก จ.กาญจนบุรี’
“เขาช้างเผือกโคตรน่า(ไป)อ่ะ” เราเปิดหัวข้อสนทนากับเพื่อนระหว่างอยู่บนรถจากเชียงใหม่ไปอุดรเพื่อจะต่อไปวังเวียง(ลาว)
“เห็นในกระทู้ช่ะ กูอยากไปมากกกกกก ต้องไปอ่ะ”
“ไปกะกูป่ะล่ะ”
“เออออออ เอาป่ะล่ะ!”
“สองคนป่ะล่ะ!!(จะเสียงดังใส่กันทำไม)”
“เห้ย แต่มันเปิดให้ขึ้นเป็นช่วงอ่ะ น่าจะถึงกุมภา”
“เออไว้ว่ากัน แต่ไปกับกูนะ สองคนก็ไปนะ”
“เออออออออไปปปปปปป” จากนั้นก็จบบทสนทนาด้วยการจับมือจับไม้สัญญากัน โดยที่ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเล้ยยยยยยยย นอกจากการเห็นรูปในรีวิว555555555 เราว่าหลายคนคงเคยอ่านรีวิวหรือเคยเห็นรูปพีคๆบนเขาช้างเผือกแล้วรู้สึกว่า ต้องไปโดนให้ได้ จำไว้ค่ะว่า ไม่มีรูปไหนสวยเท่าของจริงที่เราได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เพราะฉะนั้น ลุยค่ะ!
แล้วหายนะก็เกิดขึ้น เมื่อเราและเพื่อน รู้ว่าเหลืออีกแค่ 3อาทิตย์เขาก็จะปิดไม่ให้ขึ้นแล้ว
นี่คือสิ่งที่ถ้าใครอยากจะไปเขาช้างเผือกต้องเช็คก่อนค่ะว่า แต่ละปีเขาเปิดให้ขึ้นเดือนไหนบ้าง
ปกติแล้วเขาจะเปิดช่วงสิ้นปีถึงต้นปีของปีถัดไป อย่างปีที่เราไปเขาเปิดให้ขึ้นต้นเดือนพฤศจิกายน(2557)ถึงปลายมกราคม(2558)
และถ้าจะไปต้องโทรไปจองล่วงหน้า7วันพอดี ไม่ขาดไม่เกิน ที่ต้องโทรจองเพราะว่าที่นี่เขาจำกัดจำนวนให้คนขึ้นไปได้วันละไม่เกิน60คน
ยิ่งช่วงที่เราไปเป็นช่วงโค้งสุดท้ายแล้วด้วย คนยิ่งแย่งกันเข้าไปใหญ่ พอตกลงกับเพื่อนเรื่องวันอะไรเสร็จเราก็โทรเลย มีสามเบอร์โทรสามเบอร์ค่ะ (03-453-2114, 03-451-0979, 081-382-0359) พอโทรติด เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเต็มแล้ว วันต่อไปโทรไปอีกเกือบสองร้อยสาย ไม่ติดเลยค่ะ คือคนอยากไปเยอะมาก เราเลยเปลี่ยนใจไปสัปดาห์ถัดไปแต่ก็ยังโทรไม่ติดเหมือนเดิม สุดท้ายได้ไปวันที่30มกรา เป็นวันรองสุดท้ายที่เขาเปิดให้ขึ้นค่ะ
หลังจากการจองทางโทรศัพท์แล้วก็ต้องส่งข้อมูลส่วนตัว อย่างชื่อ-นามสกุล รหัสบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ ให้กับทางอุทยานฯผ่านทางอีเมลล์ ค่ะ จากนั้นทางอุทยานฯจะให้ข้อมูลที่เราควรรู้เกี่ยวกับการไปช้างเผือก แต่เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูลเองด้วยนะวัยรุ่น เตรียมตัวให้พร้อม ขึ้นเขานี่ไม่ง่ายเลย ให้เขาขึ้นอ่ะง่ายกว่า…หลอกกกกกกกกกกก ตื่นเต้นๆๆๆๆๆ จะได้ไปแล้ววววววววว
เขาช้างเผือกเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ระยะทางจากกรุงเทพไปประมาณ400กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง5-6ชั่วโมง
ถ้าใครมีใจรักความเร็วหน่อยก็สัก4ชั่วโมงได้ แนะนำให้ไปโดยรถส่วนตัวจะสะดวกที่สุดโดยระยะทางจากอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีไป อำเภอทองผาภูมิ ประมาณ175กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินสาย323 และระยะทางจากอำเภอทองผาภูมิไปหมู่บ้านปิล๊อกอีกแค่60กิโลเมตรค่ะ หมู่บ้านปิล๊อกหรือหมู่บ้านอิต่องจะ เป็นจุดstartของการพิชิตยอดเขาครั้งนี้ แต่ก่อนจะถึงหมู่บ้าน เราต้องแวะที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิก่อน เพื่อรับรู้เงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่างๆค่ะ
ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียแน่ๆเลย คือ
– ค่าขึ้นเขาช้างเผือกคนละ30บาท
– ค่าเช่าเต็นท์กับถุงนอน30บาท
– ค่าเอารถเข้าอุทยาน40บาท
– ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง1,200บาท (เจ้าหน้าที่1คนนำทางได้มากสุด10คน)
– ค่าอาหาร (แล้วแต่เรา) และ
– ค่าจ้างลูกหาบ ให้แบกสัมภาระให้เรา(2วัน1คืน) ราคา 1,100บาท (ลูกหาบหนึ่งคนแบกได้20-30กิโลกรัม) คนที่ร่างกายแข็งแรงแบกของเองได้ก็ไม่ต้องจ้างลูกหาบก็ได้ค่ะ ประหยัดไปได้เยอะอยู่ แต่เรางี้ไม่ไหว555555555 พูดตรงๆ ให้เขาหาบแหละดีแล้ว เราขอพกติดตัวแค่ของจำเป็น อย่างน้ำ อาหารกลางวัน กล้อง และโทรศัพท์ค่ะ… ความจริงก่อนจะไปเราก็อ่านหลายรีวิว บางคนก็ใช้เงินไปแค่800บาท บางคน1,000บาท บางคน1,200บาท เอาเป็นว่ามันรวมๆแล้วประมาณนี้ แต่ยิ่งไปกันหลายคนจะยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายได้
แนะนำว่าก่อนออกเดินทางให้กินข้าวอะไรให้อิ่ม ในหมู่บ้านปิล๊อกเนี่ยแหละมีทั้งร้านข้าว ร้านกาแฟ จัดการซื้อเสบียงให้เรียบร้อย เพราะขึ้นไปแล้วต้องใช้พลังงานเยอะมากจริงๆ เหงื่อนี่ชุ่มค่ะ แต่งตัวคูลไปยังไงสุดท้ายก็ชุ่มค่ะ เพราะฉะนั้นใส่สิ่งที่สบายที่สุดเพื่อความแห้งของร่างกายตัวเองค่ะ หลังจากนั้นเราจะไปพบกับพี่ๆเจ้าหน้าที่และแก๊งลูกหาบได้ที่ร้านขายของขนาด ใหญ่ มีอยู่ร้านเดียวค่ะ เพราะร้านอื่นจะขนาดเล็ก เหมือนจะตลก แต่มันคือเรื่องจริง55555555 ร้านนี้ไม่มีชื่อร้านค่ะแต่ทุกคนจะมารวมพลกันตรงนี้ ขาดเหลืออะไรก็ซื้อได้ที่ร้านนี้ได้เลย ลูกหาบจะขึ้นไปบนเขาตั้งแต่ได้สัมภาระของเราครบ เขาจะนำไปก่อนเลย แล้วเราก็จะไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่นำทางตอน8โมงเช้า(บางกลุ่มสายหน่อยก็9โมง)
ทางจากหมู่บ้านไปจุดพักแรก ยังไม่มีอะไรมากค่ะ ยังชิลอยู่ พื้นราบปกติ มีร่องบ้างมีนูนบ้างเป็นธรรมดาของพื้นในป่า แต่สิ่งที่เรารับรู้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกเลยคือแดดค่ะ แดดมันเป็นแดดจริงๆ คือร้อนมาก… เขา ช้างเผือกถ้าไปต้นฤดูอากาศจะหนาวและภูเขาก็จะเป็นสีเขียวขจี ส่วนช่วงปลายฤดูที่เราไปก็จะร้อนแบบนี้และภูเขาก็จะเป็นสีเหลืองทองอร่าม แต่ถึงจะร้อนยังไงเราก็ยังแนะนำให้ใส่ขายาว เพราะมันจะช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้ ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆทางจะยากขึ้น แต่วิวก็จะสวยขึ้นเรื่อยๆด้วยค่ะ ตอนเดินก็จะเจอคนที่ขึ้นเขาเมื่อวานกำลังลงจากเขาค่ะ เดินสวนปุ๊ป “สู้ๆนะน้อง” “ไปให้ถึงนะคะ” “นี่ยังสวยไม่ถึง5%ของข้างบนเลยครับ” แหมะ พวกนายจะคูลกันไปไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะขอพูดอะไรคูลๆแบบนี้มั่งคอยดู… หลังจากผ่านจุดแรกที่ต้องใช้เชือกพยุงตัวขึ้นมาได้ เราก็จะถึง “จุดพักต้นส้าน”ค่ะ สวยงามใช้ได้ มองลงไปเห็นหมู่บ้านปิล๊อกล้อมด้วยหุบเขา นั่งพักกันสักหน่อยแล้วเดี๋ยวลุยกันต่อ
ทุ่งหญ้า พุ่มไม้ ต้นไม้ ดอกหญ้า ทุกอย่างลงตัวอย่างกับมีคนสร้างที่นี่ไว้ ตลอดเส้นทางคือสวยมากกกกกกกกกกกก และมันจะสวยขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะช่วง 1.5กิโลเมตรสุดท้ายค่ะ เพราะฉะนั้นระหว่างทางอย่าถ่ายรูปเพลินจนแบตกล้องหรือแบตโทรศัทพ์หมด เดี๋ยวจะไม่มีเอาไว้ถ่ายตอนพีค อย่าลืมนะว่าข้างบนนั้นมีน้ำไม่มีไฟฟ้าใดๆทั้งสิ้น อยากชาร์ทแบตต้องเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นไปค่ะ
หลังจากเดิน ปีน ไต่กันอยู่นาน พวกเราก็พักกินข้าวกลางวันกันที่ “จุดพักดงไผ่” ตอนประมาณ11โมงเกือบเที่ยง ทุกคนกินข้าวหมดเกลี้ยง ไม่แปลกใจเลยเพราะมันเหนื่อยเอาเรื่องอยู่ ยิ่งเดินยิ่งคิดว่าพวกลูกหาบนี่เป็นเขามหัศจรรย์จริงว่ะ เดินได้ไงทุกวันๆ ของที่แบกก็ใหญ่กว่าตัวคนแบกอีก “อย่างน้อยก็เหลืออีกแค่ครึ่งทางก่อนถึงจุดกางเต็นท์ เอาหน่อยเว่ยสาวน้อย สู้หน่อยเว่ย ดูดิ๊คนวัย30กว่า40เขาเดินเอาเดินเอา จะมานั่งหลบแดดนอนตีพุงไม่ได้หน่า อายเขาหน่า”
เดินต่อกันอีกหน่อยก็จะถึง “เขาช้างน้อย” เขาลูกเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเหลืองทอง คือสวยจริงอ่ะจำได้ขึ้นตาขึ้นใจ สีเหลืองของหญ้ามันตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าและสีน้ำเงินของภูเขาลูกไกลๆได้ แบบดีงามมาก อยากจะนอนทิ้งตัวลงไปบนหญ้า แต่เกรงว่าถ้าทิ้งลงไปมันจะไม่ลุกขึ้นมาแล้ว55555555 เอาเป็นว่าตั้งแต่เขาช้างน้อยไปเนี่ยเริ่มพีคขึ้นเรื่อยๆละ รอชมแล้วกันค่ะ
ข้ามเขาช้างน้อยมาอีกหน่อย ลงจากภูเขาสุดชันอีกลูก เท่านี้ก็มาถึงจุดกางเต็นท์กันแล้วววววววว ถึงประมาณบ่ายสามโมงค่ะ ระยะทางจากจุดเริ่มต้นมาตรงนี้ประมาณ7-8กิโลเมตร ใช้เวลา4-6ชั่วโมงแล้วแต่คนค่ะ แต่ย้ำว่าไม่ต้องรีบ เน้นความปลอดภัยกันดีกว่า เดี๋ยวเป็นไรมาจะไม่สนุกเอา พอมาถึงจุดกางเต็นท์ให้รีบจับจองทำเลที่ตั้งของเต๊นท์ตัวเองค่ะ ถ้าได้ที่ต่ำจะดีมากเพราะตอนกลางคืนจะมีลมเข้าเต๊นท์ทำให้ไม่ร้อน ส่วนห้องน้ำจะมีอยู่สองห้องค่ะ แต่คนไม่ค่อยใช้กันเนื่องจากกลิ่นอยู่ในเลเวลที่จมูกมนุษย์เกินจะรับ ไหว555555555555 เพราะเป็นห้องน้ำที่ไม่มีระบบประปาใดๆ เป็นหลุมที่ขุดลงไปบนพื้นดินค่ะถ้าคุณเป็นผู้หญิงเราแนะนำให้คุณสร้างห้อง น้ำของตัวเองได้ โดยการให้เพื่อนๆของคุณช่วยกำบัง หลังจากนั้นต้องรอเวลา4โมงเย็น เจ้าหน้าที่จะนำทางคุณขึ้นไปพิชิตยอดเขาช้างเผือกใน 1.5กิโลเมตรสุดท้ายค่ะ ถึงจะเป็นระยะทางที่สั้น แต่เรามั่นใจมากๆว่าใครได้สัมผัส1.5กิโลเมตรนี้ก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่า…“ไอเชี่ยยยยยยยย โคตรหวาดเสียวเลย ขอลงไปรอที่เต๊นท์ได้ป่าว”… จะบ้าหรอ!55555555555555
จากจุดกางเต็นท์ ไต่ขึ้นไปอีกหน่อย ก็จะถึง “สันคมมีด” จุดที่เป็นแลนมาร์คของเขาช้างเผือกค่ะทุกคน สันคมมีดเป็นส่วนของสันเขาที่เกิดจากกองหินแคบๆเรียงต่อกัน ปีนได้ทีละคน ใครก็หันมาช่วยใครไม่ได้ ไหนจะความชันประมาณ70องศา 2ข้างของสันคมมีดก็เป็นเหว มองลงไปแล้วหวาดเสียวจริงๆค่ะ เรานี่หายใจเข้า ทำใจก่อนปีนเหมือนกัน เพราะถึงจะมีพี่เจ้าหน้าที่คอยช่วยจับช่วยดู แต่คนที่ต้องปีนมันคือเราค่ะ ใจมันต้องได้ก่อน ตอนนี้แหละที่เราเข้าใจความหมายเพลงๆนึงของหินเหล็กไฟ…“ใจสู้รึเปล่า ไหวมั้ยบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ”…เราเห็นหลายคนถอดใจกันตรงนี้ บอกเลยว่าถ้าใครจะไปอย่าถอดใจตรงนี้นะอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เอาชนะใจตัวเองหน่อยๆๆๆ สิ่งที่จะได้เห็นข้างบนมันคุ้มค่าจริงๆค่ะ เชื่อเรา
หลังจากผ่านด่านสันคมมีดและเดินข้ามเนินเขาทางเดินแบบคนต่อคนมาได้ ด่านสุดท้ายที่พวกนายต้องเจอก็คือเนินเขาซึ่งชันเกือบ90องศาไอ บ้าเอ้ยยยยยยยย เป็นคนอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีเกือบเป็นสไปเดอร์แมนแล้ว บ้าที่สุด มีเชือกเส้นเดียวให้แต่ละคนใช้พยุงตัวเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา สูงและชันขนาดนั้นเราว่าไม่มีใครอยากหลังกลับไปมองหรอก แต่ด้วยความเป็นมนุษย์เว่ย อะไรท้าทายมันยิ่งทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิต หันกลับไปมอง จะเห็นเป็นเนินเขาเล็กๆ สามเนินเขาเรียงกันเป็นลูกคลื่น มองไกลๆ มันเหมือนหลังช้างจริงๆ ตอนนั้นรู้เลยทำไมชื่อเขาช้างเผือก เพราะช้างธรรมดามันคงไม่สวยขนาดนี้ นี่มัน “ช้างเผือก”
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสูงสุดของเขาช้างเผือก สูง1,249เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ที่เหล่าผู้พิชิตทุกคน…นอนกันเกลื่อนเลย นอนกันเหมือนบ้านเลยเห้ย5555555555555 แต่เป็นภาพที่ประทับใจจริงๆค่ะ คนที่เดินทางเดียวกันมาเกือบ10กิโล ไม่รู้จักกัน บนนั้นทุกคนแสดงความยินดีให้กัน บางคนก็ด้วยประโยคสั้นๆอย่าง”เก่งมากพี่” “สุดยอดพี่” บางคนแค่มองหน้าแล้วยิ้มให้ก็เข้าใจกัน กว่าจะผ่านเส้นทางสุดหินขึ้นมาบนนี้ได้ ถ้าไม่เรียกคนเหล่านี้ว่าตำนานก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว จากคนธรรมดาขึ้นมาบนนี้ได้ก็กลายเป็นตำนาน ถ้าตอนขึ้นมาชื่อแพรว ลงไปก็กลายเป็นตำนานแพรว ขึ้นมาชื่อจุ๋มลงไปก็กลายเป็นตำนานจุ๋ม เวรี่คูลว่ะ ย้ำว่าถ่ายรูปให้คุ้มค่าซะนะ 360องศานี่ถ่ายให้หมดนะ
ปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะให้ลงจากยอดเขาตอน5โมงหรืออย่างช้าก็5โมงสิบห้า เพราะถ้าลงช้า พระอาทิตย์ตกแล้วจะอันตราย(ขนาดสว่างนี่ยังใจจะวายเลย) แต่วันนั้นหนึ่งในสมาชิกของเราพี่ชายต่างพ่อต่างแม่ผู้ซึ่งมีน้ำหนักตัวร่วม ร้อยกว่าโลกว่าจะขึ้นมาถึงยอดก็5โมงเข้าไปแล้ว เลยได้สิทธิพิเศษอยู่ต่อถึงประมาณ5โมงเกือบครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็น่ารักเข้ามาแสดงความยินดีกับพี่เราใหญ่ นี่เป็นตัวอย่างเลยว่าถ้าใจคุณได้ คุณจะทำอะไรก็ได้ พี่เรามาช้าแต่พี่เรามาถึง… “มาอีกมั้ยพี่” “มาแต่ขอปีหน้า” ‘’ปีหน้าพี่ยังจะมาอีกอ่อ มาคนเดียวนะพี่ ไม่มีใครมาแล้วนะ” “…เออ…งั้นกูไม่มาละ”
พอลงมาถึงจุดกางเต็นท์ก็ได้เวลาทานข้าวเย็น บางคนเอาขึ้นไป บางคนทำสดๆตรงนั้น ก็แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ เช้าวันต่อไปหลังจากตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เจ้าหน้าที่จะเริ่มพาลงจากเขาตั้งแต่7โมงเช้าขาลงจะใช้เวลาน้อยกว่าขามา ประมาณ1ชั่วโมง สารภาพเลยละกันว่าขากลับเราป่วย ไข้ขึ้นค่ะ คงเพราะอากาศมันร้อนๆหนาวๆ เลยไม่คูลเลยตอนเดินลง จากที่คิดว่าจะทำคูลใส่คนขาขึ้นซะหน่อย หมดกัน เจ๊งๆๆๆ แต่แค่ได้เห็นธรรมชาติตลอดเส้นทางเขาช้างเผือกก็ถือว่าคุ้มมากๆแล้ว ถ้าพวกนายยังมีแรง มาเลยค่ะ อย่ารอ ปีนี้เขาเปิดปุ๊ปจองเลย มาเปลี่ยนชื่อพวกนายให้กลายเป็นตำนานที่นี่ที่ เขา-ช้าง-เผือก