ลุยป่า ล่าดอย เอ็นจอยทะเลหมอกสุดอลังการ ที่อุทยานแห่งชาติแม่เงา [Ep.1]

 

   Dec 2-5, 2016

            พวกเราเหล่านักเดินทาง ได้รวมตัวกันอีกครั้ง กับทริปเดินป่าปิดท้ายปี 2016 ตามคำบอกเล่าของเพื่อนคนนึง ว่าวิวภูเขาที่ดอยปุยน้อยปุยหลวงแห่ง อช. แม่เงานั้นสวยงามมากกก เดินไกลหน่อย และต้องรอนแรมในป่า ค่ำไหนนอนนั่น เช้ามาก้อเก็บสัมภาระ เดินไปหาที่นอนจุดต่อไป แต่วิวนั้นสวยงามตลอดเส้นทาง แถมขาลงจากดอยจะได้ล่องแพไม้ไผ่ไปตามลำน้ำแม่เงา ไปยังที่ทำการอุทยานฯ กางเต้นท์ ตั้งแคมป์ เล่นน้ำในแม่น้ำเงาที่ทั้งใสทั้งเย็นชื่นใจ...ได้ยินแค่นี้ ก็มั่นใจในสายตาของเพื่อนว่า มันต้องแจ่มว้าวว แน่ๆ...

และแล้วทริปนี้ก้อเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดยาว 2-5 ธันวาคม 2559 ซึ่งจัดและนำทริปโดย พี่เอก แห่งแคมป์ลูกหมู 

 

ธรรมชาตินั้นดีต่อใจ ช่วยเยียวยาชีวิตและจิตวิญญาณ

 

       พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนสองทุ่มของวันที่ 1 ธ.ค. แวะกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารหน้าอุทยานแห่งชาติออบหลวง ต่อด้วย Check in ที่สวนสนบ่อแก้ว และรีบตรงไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติแม่เงา ที่ มง.2 (สบเงา)  ตั้งอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่  190  ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (แม่สอด –แม่สะเรียง) ทันที 

 

 

พวกเรามาถึงที่นี่ประมาณบ่ายๆกว่าๆ รีบอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมลุยป่า

Check in อีกครั้งกับจุดชมวิวแม่น้ำสองสี

ที่แม่น้ำเงาสีใสและแม่น้ำยวมสีขุ่น มาบรรจบกัน  บรรยากาศร่มรื่นมาก

แต่พวกเรามีเวลาไม่มากนัก จึงต้องรีบกินข้าวกลางวันเติมพลัง และออกเดินทาง เพื่อให้ทันตั้งแคมป์

ที่ม่อนกองข้าวก่อนค่ำมืด

รถกระบะ 4WD คันเก๋าของอุทยานฯ พร้อมพาพวกเราไปปล่อยในป่าแล้ว

เห็นสภาพรถเก่าแบบนี้ แต่เก๋าใช่เล่นนะ

ตะกุยถนนที่ขรุขระผ่านโค้งคดเคี้ยงไปมาได้แบบสบายๆ ไม่มีดับ

สงสารก็แต่พวกหนุ่มๆที่นั่งกระบะหลัง กระเด้งกระดอนก้นกระแทกกันไปเกือบชั่วโมงกว่าๆ

จนกระทั่งถึงจุดที่รถไม่สามารถเข้าไปได้แล้ว

พวกเราก้อลงเตรียมเดินเท้าเข้าป่าไปยังที่จุดตั้งแคมป์คืนแรก

อีก 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

เดินผ่านร่มไม้สลับกับที่โล่งแดดจ้า เป็นระยะๆ

วิวเหลี่ยมเขาสองข้างทางสวยงามมากกกก

 

ถึงแล้ว...ม่อนกองข้าว

(เนินเขาเล็กๆ ไม่สูงมาก)

ซึ่งตอนนั้นเข้าใจผิดมาตลอดว่ามันคือปุยน้อย

พวกเราปักหลัก กางเต็นท์ ตั้งแคมป์กันบริเวณเนินหญ้าด้านล่างใกล้ๆกับม่อนกองข้าว

ช่วงที่เราไป มีแค่กรุ๊ปเรา 16 คน และนักท่องเที่ยวที่มากันเองอีก 2 คนเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเลือกทำเลกางเต็นท์นอน ได้ตามอัธยาศัย

ถึงเวลาใกล้พระอาทิตย์ตกพอดี เหลี่ยมเขาสลับซับซ้อนไล่สีสวยๆแบบนี้

กดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง...

บนนี้มีสัญญาณ Internet ของ True กับ AIS ซะด้วย

ขอถ่ายรูปอัพ facebook กันหน่อย

เมื่อสิ้นแสงตะวัน ท้องก้อเริ่มหิว 

ใครจะมาเที่ยวป่า เที่ยวดอย ทำใจไว้เลยว่า ต้องกินง่าย อยู่ง่าย

น้ำกิน น้ำใช้ มีจำกัด เพราะฉะนั้นช้อน และแก้วน้ำของเรากินเสร็จแล้ว

ก็ใช้ทิชชูเช็ด แทนการล้างด้วยน้ำ

อาหารมื้อเย็นวันนี้ พี่เอกซื้อมาจากตลาดฮอดเมื่อเช้าส่วนหนึ่ง และซื้อของสดมาทำเองอีกส่วนหนึ่ง

พวกเรามันประเภทกินง่าย อยู่ง่าย มีอะไรก้อกิน ไม่เลือก ไม่บ่น ซัดกันซะหมดเกลี้ยง

และนี่ถือเป็นจุดเด่นของแคมป์ลูกหมู ที่ลูกทริปจะได้ลุ้นว่าอาหารแต่ละมื้อจะเป็นอะไร

หม้อไฟก้อมา ต้มยำหัวปลาแซลม่อนก้อมา ไก่ย่างก็มา

แคปหมูน้ำพริกหนุ่มก้อมา ปีโป้ก้อมา ป็อปคอร์นก็มามันเผาก้อมา

และเมนูสุดเซอร์ไพรส์ ที่หัวหน้าทริปจัดให้...

เคบับ จร้า...เนื้อย่าง อาหารประจำชาติตุรกี กับปลาลำลีญี่ปุ่นย่าง ก้อ มะ อา อา อา มา

ดีต่อใจ ตับไต ไส้พุง มว๊ากกก...พรุ่งนี้มีแรงเดินกันอีกยาวๆเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อิ่มแล้ว...ก็เมาท์มอย ถ่ายดงถ่ายดาวกันไป...

เช้าวันที่ 2  รีบตื่นแต่เช้า ขึ้นไปเก็บภาพชมวิวสวยๆ บนม่อนกองข้าว

ภาพที่เห็นคือ ทะเลหมอก สุดอลังการ ที่มองเห็นได้ใกล้ๆ...

ขอกรีดร้อง ให้กับทะเลหมอก ที่ไม่ค่อยจะมีบุญได้เห็นอย่างใครเขา

และอีกฝั่งก้อเป็นพระอาทิตย์ขึ้น ที่แม้จะสวยงาม

แต่ก็ถูกทะเลหมอก แย่งซีนไปหมด

 

 


ทะเลหมอกที่นี่ดีอยู่อย่างนึง คือ ไม่รีบมา รีบไป

เกือบสิบโมงก้อยังเห็นได้อยู่...

ด้านล่างตรงลานกางเต็นท์ ก้อเห็นทะเลหมอกเต็มเลย...

ดูดซับพลังแห่งความสุขเข้าสู่จิตวิญญาณกันแล้ว

ก็ดูดซับสารอาหาร และพลังงานเข้าสู่ร่างกายกันต่อเลย

เพราะวันนี้ทั้งวัน เราจะต้องเดินเท้าเข้าป่าสู่ดอยปุยน้อย และดอยปุยหลวง กันต่อไป

เป็นระยะเวลากว่า 8 ชม. ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร

มากับแคมป์ลูกหมู เรื่องอาหารการกินไม่ทำให้ผิดหวัง

ขอแค่ให้กินให้หมด ไม่เหลือทิ้ง พี่เอก แกก้อดีใจแล้ว

ก่อนย้ายถิ่นฐาน สู้แคมป์ต่อไป เราก็ไม่ลืมที่จะกำจัดขยะให้เรียบร้อย

ด้วยวิธีการเผา แม้แต่เศษขยะสักชิ้นก้อไม่ให้เหลือ

ขอฝากให้ทุกคนที่คิดจะเดินทางเข้ามาหาความสุขจากธรรมชาติ

จงอย่าทิ้งอะไรไว้ นอกจากรอยเท้าและความทรงจำดีๆเลยนะ

เค้าล่ะ...คณพล คนแบกไข่

"พี่เอก และซ้อฝน" แห่งแคมป์ลูกหมู


ชักภาพหมู่ อำลาแคมป์แรกกันสักหน่อย

ทริปนี้ เป็นทริปแรก ที่ต้องเที่ยวไป หาที่นอนไป

ได้ความรุ้สึกของนักท่องไพร ดี ^^

 

จุดหมายปลายทางของวันที่สอง คือ ดอยปุยหลวง ยอด 1,700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

และลานกางเต็นท์ คืนที่ 2  วันนี้พวกเราต้องเดินเท้ากันทั้งวัน 

-----------------------------

สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปลุกใจตัวเองว่า "ลุยยยยยย"

บ๊ายบายนะทะเลหมอก...

เทรลเดินป่าที่นี่ มีหลากหลายอารมณ์มาก 

บางช่วงเป็นเนินหญ้าโล่งกว้างก็เหมือนม่อนจอง บางช่วงก็เหมือนดอยทูเล

บางช่วงเจอดอกไม้ก็เหมือนดอยหลวงเชียงดาว 

บางช่วงก็ไม่เหมือนที่ไหนเลย ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์...

แต่ที่แน่ๆ ยังไม่เคยเดินป่าที่ไหนแล้วเจอฝูงวัว ฝูงควาย เจอกองขี้วัว ขี้ควาย เหมือนที่นี่เลย

วิวสวยๆ ของที่นี่ ต้องแลกมาด้วยความอดทนล้วนๆ

อดทนต่อการเดินระยะทางไกลๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ

อดทนต่อความเมื่อยล้าของร่างกาย อดทนต่อสัมภาระที่แบกติดหลังมาด้วย

อดทนต่อความไม่สะดวกสบาย ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีน้ำดื่มเหลือเฟือ

ถ้าคุณไม่สามารถอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ติดต่อกันได้ถึง 3 วัน

ต้องบอกเลยว่า ภาพสวยๆที่เราถ่ายมานั้น มันอาจจะเป็นภาพหลอกตา

แต่พวกเรามันประเภท อึด ถึก ทน ทำได้ทุกอย่าง

ขอเพียงได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงาม...

----------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อหันหลังกลับมาดูทางที่เราเพิ่งผ่านมา ไม่อยากจะเชื่อว่า

เราสามารถเดินข้ามเขา เลาะเขา มาได้เป็นลูกๆ

และเนินหญ้านั่น คือจุดที่เราเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้

แม้จะคิดว่าเดินมาไกลมากแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งจะเที่ยงวันเองนะ

เหลืออีกตั้ง  5  ชั่วโมง เฮ้อออออ...อารมณ์ท้อก้อผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ

ตอนนี้พลังงานที่เติมไปเมื่อเช้า เริ่มจะหมดแล้ว...

เมื่อความเมื่อยล้า บวกกันความหิวเมื่อไหร่ ความงอแงก็เริ่มจะบังเกิด

ความบ่นก็จะตามมาติดๆ ...ตอนนี้ เริ่มชักใช้เสียงเดินแล้ว คือ ก้าวไป บ่นไป

เมื่อยๆๆๆ ...หิว ๆๆๆ

-----------------------------------

จนกองหน้า เริ่มหยุด และมีเสียงลอยมาว่า

"เราจะพักกินข้าวกลางวันกันตรงนี้"....

โหยยย ผมนี่แทบจะทิ้งตัว...

 

เสบียงมื้อกลางวัน มันคือข้าวผัดไข่ธรรมดาๆ แต่ว่าในป่าแห่งนี้กินอะไรก็อร่อยไปหมด 555

ตามด้วยช็อคโกแลต และน้ำแดงเฮลส์บลูบอยที่ติดตัวมา

H A P P Y ! ! !

 

พักจนหายเหนื่อยแล้ว กองคาราวานก็เริ่มเดินลุยกันต่อ...

ระหว่างนี้เราขอคั่นด้วยรูปดอกไม้ที่เจอตามทางเดิน

เสริมความรู้ในเรื่องดอกไม้ในป่ากันสักนิด เวลาเจอจะได้เรียกชื่อถูก

- 1 -

หนาดขาว หนาดดอย หรือขาวแม่สะเรียง

เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นมีขนสีขาวปกคลุมหนาแน่น ใบรูปหอก ขอบใบเป็นคลื่น ท้องใบมีขนฟู หลังใบมีขนเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อแตกแขนง ดอกวงนอกสีขาว ดอกที่อยู่เป็นกลุ่มตรงกลางสีเหลืองอ่อน ออกดอกในเดือนพฤศจิกายน พบขึ้นในที่สูงประมาณ 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล

เราลองถาม จนท อุทยานที่นำทางมา ว่านี่คือ ดอยอะไร พี่เค้าบอกว่า ดอกขาวแม่สะเรียง

พบเห็นได้ตามเนินหญ้า โดยเฉพาะที่ยอด 1,700 จะพบขาวแม่สะเรียงเป็นจำนวนมาก 

เรียกว่าเป็นเนินทุ่งขาวแม่สะเรียงเลยก็ว่าได้ ถ่ายรูปออกมาสวยงามมาก

- 2 -

เอนอ้า

ดอกเอนอ้า จะมีลักษณะคล้ายกับดอกโคลงเคลง จนแทบจะแยกกันไม่ออก

แต่เค้าให้ท่องว่า โคลงเคลงห้า เอนอ้าสี่ 

ก็เลยเดาว่านี่น่าจะเป็นเอนอ้า พอเสิร์ชข้อมูลดูก้อพบว่าเป็นเอนอ้าขน

เป็นไม้พุ่มมีขนละเอียดปกคลุมทั่วใบ ดอกเป็นช่อปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก

กลีบดอกสีบานเย็น มี 4 กลีบ เวลาบานจะอ้าออก ออกดอกตลอดปี

- 3 -

สาบเสือ

เป็นหญ้าวัชพืช แต่มีสรรพคุณทางยา ถือว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง

ดอกมีสีขาวอมฟ้าอมม่วง มีดอกย่อยวงนอกเป็นเส้นๆ กลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด

ใบแหลมขอบมีรอยหยัก มีขนทั้ง 2 ด้าน

หญ้าสาบเสือเป็นตัวชี้วัดอุณหภูมิความแห้งแล้งของอากาศ เพราะมันจะออกดอกในพื้นที่ที่แห้งแล้งเท่านั้น

เค้าว่าชื่อมันมีที่มาจากกลิ่นที่เหมือนสาบเสือ แต่เราก็ไม่ได้ดมดูเหมือนกัน...

- 4 -

ดอกอะรูมิไร้

ดอกอะไรไม่รู้ ถ้าใครรู้ช่วย comment บอกที


ชมดอกไม้กันแล้ว ก็เดินกันต่อค่ะ

ตอนนี้เรากำลังจะไต่ขึ้นไปยังยอดที่สูงที่สุดระแวกนี้

นั่นคือยอด 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

แม้พวกเราจะเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงแค่ไหน

ถ้าเรียกให้ถ่ายรูป ก็จะมีรอยยิ้มกลับมาเสมอ...

 

ไต่ขึ้น ไต่ลง เดินเข้าป่า โผล่ขึ้นมาเจอเนินหญ้า จนในที่สุดเราก็มาถึง

ยอด 1,700 ตอนสี่โมงเย็น ได้แวะพักกันอีกครั้งตรงนี้

เพื่อถ่ายรูปกับทุ่งขาวแม่สะเรียง ที่ขาวโพลน และเยอะที่สุดตั้งแต่เดินมา

เราสามารถมองเห็นวิวทิวเขาของที่นี่ได้ 180 องศา

ช่วงเวลานี้ก็ลั้ลลา ลืมเหนื่อยกันปายยยย


 

 

 

พักกันหายเหนื่อยแล้ว ก็เดินทางต่อไป

สู่ลานกางเต็นท์ตั้งแคมป์ พี่ จนท.อช. ชี้ไปลิบๆนู่นนนนนน...

บอกเดินอีกแค่ 1 ชั่วโมง...

แค่เหรอคะ!!

ตอนนี้คำว่าแค่มันมีความหมายมากกว่านั้น

ก็แค่เข่าปวด ก็แค่น้ำหมด ก็แค่เจ็บตรีน...

ยิ้มอ่อนๆ แล้วเดินต่อไปค่ะ....สู้ๆๆ ถถถถ...

ทางตอนนี้เริ่มเป็นทางลงจากเขา ผ่านเนินโล่ง

เพื่อนชี้ให้ดู ดอยทูเล ที่สามารถมองเห็นได้จากจุดนี้ที่อยู่ด้านซ้ายมือ ไกลลิบๆๆ

ฟอร์มของต้นไม้บริเวณนี้ดูแปลกตา และสวยงามมาก

กลั้นใจเกร็งน่อง จิกขา เดินขึ้นไปบนทางลาดชัน

ลัดดิ่งขึ้นไปสู่ลานกางเต้นท์เบื้องบน

ลมหายใจเฮือกสุดท้ายยยย...

ก่อนหมดสภาพ.... 555+

หันมองย้อนไปยังยอด 1,700 ที่พวกเราเพิ่งเดินลงกันมา

แทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเดินข้ามดอยเป็นลูกๆ ได้ไกลอะไรขนาดนี้

---------------------------------------------

พวกเราใช้เวลาในการเดินทางวันนี้ไปประมาณ 12 km ระยะเวลา 8.5 ชั่วโมง

จากนั้นจัดแจงกางเต้นท์ ทำกับข้าว...

บางส่วนก็อยากไปดูพระอาทิตย์ตกบนจุดชมวิวที่ต้องเดินไปประมาณ 10 นาที

วินาทีนี้ ขอยอมแพ้...เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ

 

คืนนี้อากาศเย็น 19-20 องศา แต่น้ำค้างแรงมาก หนาวใช้ได้เลย

มื้อเย็นวันนี้...บอกเลยอร่อยทุกอย่างงงงงงง

ซัดกันเรียบ...

การมาเที่ยวป่า เที่ยวเขา แบบนี้ แม้จะเหนื่อยเมื่อยล้า สุดๆ

แต่มันมีเสน่ห์ตรงที่ได้นั่งล้อมวงกินข้าว เมาท์มอย ดูรูป คุยเฮฮาด้วยกัน

ภายใต้แสงดาว ไอดิน และกลิ่นป่า...

 

ลาไปด้วยภาพดวงดาวบนท้องฟ้า..ที่เราฝึกหัดถ่ายกันในคืนนี้

ท้องฟ้ามืดสนิท เห็นดาวด้วยตาเปล่าชัดมากกกกกก

ติดตามทะเลหมอกสุดอลังการได้ในตอนต่อไปค่ะ

Comimg Soon

 

FB Fanpage : กุ้งตะลอน --->  https://www.facebook.com/Slowlifetraveller/