เค้าว่าโหด เค้าว่าลำบาก เลยต้องเทใจไป....
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว บางคนอาจจะจำสับสนกับดอยเสมอดาว จังหวัดน่าน แต่ที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลก มีเนื้อที่ประมาณ 212,633 ไร่ และมีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภูเขาสูงชัน เป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อแขวงไชยบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จุดเด่น คือ น้ำตกภูสอยดาว และที่ขึ้นชื่อ คือ ทุ่งดอกหงอนนาค และการเดินป่าที่ใครๆก็บอกว่าโหด ถ้าบอกว่าเคยขึ้นภูกระดึงมาแล้ว บอกเลยว่าที่นีหนักกว่าเยอะมาก
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เที่ยวได้ตลอด เพราะโซนที่เป็นที่ทำการอุทยาน บนพื้นราบที่ยังไม่ขึ้นไปบนภู มีบ้านพักของอุทยาน มีลานกางเต๊นท์ สามารถจองที่พักได้จากเวปไซด์กรมอุทยานแห่งชาติ มีน้ำตกภูสอยดาว แต่ถ้าจะขึ้นภูสอยดาวชมทุ่งดอกหงอนนาค ทุ่งดอกไม้สีม่วงท่วมกลางต้นสน ต้องมาฤดูฝน แต่ถ้าจะพิชิตยอดภูสอยดาวที่ความสูง 2,102 เมตร จากระดับน้ำทะเล ต้องมาฤดูหนาวหรือตั้งแต่พฤศจิกายน เป็นต้นไป
(ข้อมูลบางส่วนจากเวปกรมอุทยานแห่งชาติ)
---->> การเดินทางครั้งนี้เราเลือกที่จะพิชิตยอดภูสอยดาว จริงๆแล้ว คืออยากมาชมทุ่งดอกหงอนนาค แต่เวลาไม่ได้ จนได้วันที่ลงตัวก็ 15 – 19 พ.ย. 2560 โดยมีผู้ร่วมทริป ทั้งหมด 4 คน หญิง 3 ชาย 1 บ้างก็รู้จักกันมานาน บ้างก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน และบ้างก็เพิ่งรู้จักกันก็ตอนเจอหน้ากันนี่แหละแต่ไม่น่าเชื่อว่าร่วมเดินทางด้วยกันอย่างกับรู้จักกันมานาน มีเรื่องที่ทั้งอยากรู้ เรื่องที่อยากเล่า เรื่องที่อยากระบาย ต่างๆนานา แต่ก็เฮฮากันไป ไม่แปลกที่เราชอบเดินทางไปโน่นไปนี่บ่อยๆ เพราะจุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่าเรื่องระหว่างทาง และเพื่อนร่วมทาง คนเราไม่รู้จักกันมาก่อน เพิ่งจะเห็นหน้ากัน แต่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 4 คืน 4 วัน มันต้องมีอะไรที่ชอบเหมือนกัน หรือไม่ก็บ้าพอกัน แต่เราเชื่อว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เราเริ่มออกเดินทางจากรุงเทพฯ วันที่ 15 พ.ย. 60 หลังเลิกงาน และกว่าจะโน่นนี่นั่นก็มืดมาก จนออกประมาณสองทุ่มกว่าๆ โดยรถส่วนตัว ก็ขับไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าพิษณุโลก แวะโลตัสอยุธยาซื้อของกิน ของใช้ที่จำเป็น เพราะจากที่อ่านรีวิวชาวบ้านมา ไม่มีอะไรขายบนภูสอยดาวเลยต้องเตรียมไปเอง ขับไปเรื่อยๆ เข้านครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก มุ่งตรงไปยังอ.ชาติตระการ ระหว่างทางไม่มีใครหลับ เพราะเม้าท์กันตลอดทาง และน้องก็ขับรถได้อึดจริงๆ นับถือๆ จนเข้าเส้นทางไปอำเภอชาติตระการ ถนนค่อนข้างมืด ไม่มีไฟส่องทาง ทางโค้งเยอะมาก แต่เราก็ยังเฮฮาต่อไปกับการแซวกัน ฟังเพลงทุกแนว โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง ที่ฟังแล้วต้องคิดตาม 555+
และแล้วเราก็ถึงจุดหมายคือ บ้านพักอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ณ เวลา 04.24 น. ไม่ได้บอกใบ้อะไรแต่อย่างใด 55555+
ปล. เราจองบ้านพักออนไลน์จากเว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ จองแล้วก็จ่ายตังค์ที่ธ.กรุงไทย ง่ายๆ ถ้าจองไว้แล้วมาถึงตอนไหนก็เข้าพักได้เลยตอนแรกคิดว่าน่าจะถึงประมาณเที่ยงคืนหน่อยๆ แต่ก็มาเรื่อยๆ พอถึงก็แปรงฟันนอนเลย (แต่ไม่รู้คนอื่นอาบน้ำกันป่าว) พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน
16 พ.ย. 60
---->>> ตื่นเช้าๆ กับบรรยากาศดีๆ ฟังเสียงน้ำ ริมธารข้างบ้านพัก ที่ทำการอุทยานมีบ้านพัก 4 หลัง แต่หลังที่เราพัก มี 2 ห้อง นอนได้ 4 คน มีร้านค้าสวัสดิการ ที่มีอาหารตามสั่ง และของชำขาย มีบ้านพักเจ้าหน้าที่ และจุดบริการนักท่องเที่ยว
บริเวณบ้านพักอุท่ยาน
ริมธาร น้ำใสๆไหลเย็นๆ หน้าบ้านพัก
มีที่กางเต๊นท์ริมธารด้วย ถ้าใครชอบก็จองที่กางเต๊นท์กับอุทยานได้เลย
ประมาณ 9 โมงหน่อยๆ ทุกคนก็เก็บข้าวเก็บของ เตรียมขึ้นเขากัน แล้วก็ไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลงทะเบียน (การลงทะเบียนนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นภูสอยดาว ละเอียดดีนะ มีให้ใส่บุคคลที่ติดต่อได้กรณีฉุกเฉิน ไว้ด้วย เผื่อเป็นอะไรจะได้แจ้งทางบ้านได้ถูก จากนั้นก็รวบรวมของที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไป มาชั่ง เมื่อชั่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จ่ายตังค์คะ ค่าสัมภาระ กิโลกรัมละ 30 บาท (ของพวกเรารวมๆแล้ว 44 กก.) ค่ากางเต็นท์ คนละ 30 บาทต่อคืน (เราเอาเต็นท์ไปเอง) ค่าสัมภาระใบละ 5 บาท (อันนี้งงอ่ะ ทำไมต้องแยกหลายใบ แทนที่จะชั่งร่วมๆกันแล้วใช้ไม่กี่ใบ ฝากบอก ถ้าใครจะชั่งนน.สัมภาระ แนะนำให้รวมของเล็กๆน้อยๆไว้ในถุงเดียวกันนะคะ) ค่าขึ้นยอดภู บวกเพิ่มคนละ 500 บาท ค่ามัดจำขยะ 200 บาท (ขาลงก็ถือถุงขยะมาด้วย แล้วเอาขามัดจำคืน ^^) รวมๆก็หลายตังค์อยู่ เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำให้เอาน้ำเปล่าติดตัวเวลาเดินขึ้นเขาคนละ 2 ขวด (ขวดประมาณ 0.5 ลิตร) แล้วก็เอาเอกสารหลักฐานตอนลงทะเบียนใส่ถุงซิปล๊อคอย่างดี ติดตัวไปด้วย
ด้านหลังสองสาว คือจุดบริการนักท่องเที่ยว
จากนั้นเราก็ไปทานข้าวเช้ากันที่ร้านค้าสวัสดิการภูสอยดาว ฝั่งตรงข้ามกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เมนูไม่ต้องคิดเลย กระเพราะไก่ไข่ดาว แล้วก็สั่งข้าวห่อสำหรับกินกลางวัน ระหว่างเดินทาง เราสั่งข้าวหมูกระเทียม
ร้านค้าสวัสดิการ สั่งข้าวมากินกันก่อน
มีมุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูปด้วยนะ
จากที่เราอิ่มกันเรียบร้อยแล้วเราก็มานั่งรถอีต๊อก เป็นรถบริการจากที่ทำการไปยังเส้นทางเดินเท้า ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก่อนเดินเท้า
ถึงแล้วววววววว น้ำตกภูสอยดาว ก่อนทางเดินขึ้นเขา
ด่านเก็บค่าบริการ ตรงน้ีเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แค่เราแจ้งชื่อกับเอาเอกสารในถุงซิป ที่เจ้าหน้าที่ตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวให้เรามา แสดงกับเจ้าหน้าที่ โชคดีมั๊ย โชคดีนะ วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี มีคนขึ้นไปบนลานสน แค่ 2 กลุ่ม คือก่อนหน้าเรา 1 กลุ่ม และกลุ่มเราอีก 4 คน ดังนั้น การเดินไปในเส้นทางนี้ ก็มีแต่เรา
ไม่ลิมที่จะเก็บภาพก่อนเดินขึ้น ตอนนี้หน้ายิ้มๆอยู่
เพลิดเพลินกับถ่ายรูปกับน้ำตกภูสอยดาวกันนิดหน่อย
เราก็เริ่มเดิน เวลาประมาณ 11.00 น. มีป้ายบอกลานสนภูสอยดาวก็ 6.5 กิโลเมตร
ทางเดินป่าของเรามีทั้งหมด 5 เนิน คือเนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่ากอ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ
ชื่อแต่ละเนินก็ เริ่มหวั่นละ
เริ่มเดินๆ เดินเข้าไปปุ๊ป ก็เจอบันไดเลยจ้า
และทางซ้ายมือก็เจอศาลเจ้าปู่ภูสอยดาว ไหว้และขอพรให้เราเดินทางปลอดภัย สาธุ สาธุ สาธุ
จากนั้นก็เดินต่อไป ทุกคนมีเป้คนละใบ น้ำหนักน่าจะประมาณคนละ 4 กก.ได้ มีเสบียงขนม ช็อคโกแลต ลูกอม เจลลี่ ส้ม และไข่ ที่ทุกคนเปลี่ยนกันถือ เหมือนเป็นเกมส์ ที่ห้ามไข่แตกเด็ดขาด แต่กระเป๋าน้องชายเราหนักแค่ 10 กก. เพราะน้องแบกกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นเอง น้องบอกชิวๆ ก่อนเดินทุกคนก็จะฉีดยากันยุง เพราะรู้ว่ามีแมลง มีตัวคุ่น เราเป็นคนแพ้ง่าย เราก็ฉีดปะโลมทั้งตัวเลย
มีเดินข้ามลำธารด้วยไม้ไผ่ ก็มีแอบกลัวเหมือนกัน กลัวตกน้ำ แต่ก็ผ่านมาได้
เดินไปตามลำธารไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงน้ำไหล ไปเรื่อยๆ เดินชิวๆ (รึเปล่า)
รักต้นนี้จังเราชอบที่มีต้นไม้ใหญ่ๆ มีมอส มีใบไม้ ใบใหญ่ๆ มีดอกไม้ ดอกหญ้า น่ารักๆ
มีต้นไม้ล้มขวางทางเดินด้วย แต่ก็มุดๆลอดๆไปได้
เดินมาซักพักใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงเนินส่งญาติ คือถ้าไม่ไหวเนินนี้กลับก็ได้นะคะ
แค่เนินแรก ก็เริ่มปีนป่ายขึ้นเขาบ้างแล้ว แบบ3 ก้าวแล้วหยุดพัก มีหอบ มีใจเต้นแรง แต่เราก็ไหว มีไม้ค้ำช่วยก็จะดีหน่อย ช่วยพยุงตัวเองให้ไปได้
ต่อมาก็เป็น เนินปราบเซียน บอกเลยหนักกว่าเนินส่งญาติ และมีป้ายบอกระยะทางด้วย
ของกินที่แบกมาก็กินตลอดทาง ตัวก็จะเบาลงเรื่อยๆ
มีความเหนือย และมองลงไปข้างล่าง อืม เราเดินขึ้นมา !!!!
เดินมาซักพัก ก็เจอแคร่นั่งพัก ตอนนั้นเกือบบ่าย 2 ละ ก่อนถึงเนินเสือโคร่ง ถึงเวลากินข้าวบ้าง มันเป็นหมูกระเทียมที่อร่อยมากกกกกกก
และผู้มีสัญญาณโทรศัพท์ตลอดเวลาคือน้องชายเรานั่นเอง เพราะใช้ AIS ทุกคนก็จะอิจฉาเบาๆ เดินๆไปก็มีเสียงไลน์ดังเป็นพักๆ ขอนอนแชทแป๊ป
กินข้าวกันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป เป็นเนินป่ากอ แล้วอยู่ๆฟ้าก็มืดมา เอ้าฝนตก ทำไงละ แต่เราเตรียมตัวมาดี เรามีเสื้อกันฝน เราเลยต้องเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่กัน
แล้วก็เดินต่อ ถึงเนินเสือโคร่ง เนินนี้มีต้องปีนเบาๆ และด้วยฝนตกด้วย ต้องระวังมากๆ
เราก็ยังคงเดินกันต่อไป ไปถึงเนินมรณะ
ตอนนี้ฝนเริ่มจะหยุด แล้วโชคดีมากเราเห็นหมอก ที่ลอยขึ้นมา มันสวยและสดชื่นมาก เราสนุกกับการถ่ายรูปมาก เพราะมีทั้งภูเขา ป่าไม้ เมฆที่ลอยอยู่ไกลๆ กว่าจะถ่ายรูปกัยเสร็จก็นานอ่ะ จริงๆคือเหนื่อย 55555+
ชอบบรรยากาศหลังฝนตกจัง มันก็จะเจอเมฆลอยๆ แบบนี้แหละ
เราเสียเวลากับบรรยากาศตรงนี้นานมากๆๆๆ สูดอากาศให้เต็มปอดไปเลย
จากนั้นเราก็เดินต่อ จากเนินมรณะไปถึงลานสนภูสอยดาว แค่ 0.5 กม.เอง แต่เนินนี้มันชันจริงๆ แต่เราก็ผ่านมันมาได้
เจอป้ายนี้ชื่นใจขึ้นมาเลย อีกแค่ 500 เมตร เราก็จะถึงลานกางเต๊นท์แล้วววววว
ป้ายนี้สินะ ที่ใครๆเค้าต้องถ่ายรูปกัน มันก็จะเหนื่อยๆเพลียๆหน่อย
เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงลานสน ตอนนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นจ้า พระอาทิตย์ก็จะเริ่มตกแล้ว แต่วันนี้มีฝน ฟ้าเลยครึ้มๆนิดหน่อย
จุดบริการนักท่องเที่ยว ไปถึงก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เอาของที่ลูกหาบแบกขึ้นมาให้ เช่าเตา ซื้อถ่าน เช่าถังน้ำ ขันน้ำ แผ่นรองนอน เราต้องเอาใบสีชมพูที่ติดมาไปให้เจ้าหน้าที่ลงว่าเราเอาอะไรไปบ้าง แต่ยังไม่ต้องจ่ายตังค์นะ ลงไปจ่ายข้างล่าง
**ขอบอก ที่นี่มีชาบูดอยนะคะ สามารถสั่งจากจุดบริการนักท่องเที่ยวด้านล่างได้เลย ชาบูดอยชุดละ 399 บาท เราเลยสั่งไป 1 ชุด สำหรับทานกันเย็นพรุ่งนี้ ส่วนเย็นนี้ก็กินของที่เราเตรียมมาก่อนละกัน
ถังน้ำสีแดงและน้ำเงินนั่นแหละ ที่เราใช้ตักน้ำมาอาบ มาใช้กัน เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปลำธารและห้องน้ำมาฝาก
อยู่ๆก็มีสายหมอกผ่านมา สดชื่นจัง
ลานสน มีเต๊นท์ของอุทยานไว้บริการด้วยนะคะ หากใครไม่ได้นำเต๊นท์มา
*** ที่นี่มีห้องน้ำแยกชาย-หญิง แต่ไม่มีน้ำในห้องน้ำ นักท่องเที่ยวต้องเอาถังน้ำไปตักจากลำธารใกล้ๆกับห้องน้ำ แ่ต่ห้ามลงไปเล่นหรืออาบน้ำในลำธารนั้นเด็ดขาด ***