เมื่อดาวลอย ณ ภูสอยดาว

ฤดูฝนเป็นฤดูที่ใครก็คิดว่าคงไปเที่ยวไหนไม่สนุกเป็นแน่
แต่อันที่จริงแล้วเมืองไทยฤดูฝนยังมีความสวยและน่าไปเที่ยวอยู่มาก (แต่ก็ต้องแลกกับความเฉอะแฉะและความเปียกปอน)
เราก็เลยคิดว่าน่าจะลองหาที่เที่ยวดูสักตั้ง...

ติดตามการเดินทางของเราได้ที่ http://www.facebook.com/PaeSongBai
พอดีว่าเพื่อนขาลุยได้ชักชวนมาว่าเฮ้ย!! ไปภูสอยดาวกัน
ณ ตอนนั้นคือ “มันอยู่จังหวัดอะไรวะ!!” จึงเริ่มออกหาข้อมูลและเริ่มนับจำนวนสมาชิกแล้วหาไกด์...
.
.
.

บางคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีไกด์เดินป่า??
หนึ่งคือ การจัดการเรื่องการเดินทางที่พัก ลูกหาบ และเสบียง
สองคือ ไกด์คือพ่อครัวชั้นยอด
สามคือ เค้าจะแนะนำวิธีการดำรงชีวิตอยู่ในป่าและการเดินชมธรรมชาติอย่างถูกวิธีและสอดแทรกมุกตลกโปกฮาตลอดเวลาการเดิน
สิ่งของที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการเดินทางในป่าหน้าฝน คือ......
1. เสื้อกันฝน จำเป็นอย่างมาก
2. รองเท้ากันทาก (โชคดีที่ตอนเราไปไม่มีทาก)
3. ซอฟเฟลสำหรับฉีดกันแมลง (ตัวคุ่นโหดมากกกกก เป็นแผลเป็นไปอีกนานนะ ขอเตือนเลยครับ)
4. รองเท้าควรเป็นแบบที่มีดอกยาง หรือสตั้ดดอย (ลูกหาบใส่กัน มีขายที่ตีนดอย)
5. น้ำดื่ม ใช้ดื่มระหว่างทาง (ใครไม่สามารถดื่มน้ำฝนได้ ควรเตรียมไปเผื่อ เพราะด้านบนรองน้ำฝนดื่มนะแจ๊ะ)
6. ไฟฉายสำหรับเข้าห้องน้ำ (ห้องน้ำด้านบนต้องตักน้ำจากลำธารไว้ใช้เอง มีถังให้ยืมตักน้ำ และห้ามอาบน้ำในลำธารเด็ดขาด)
7. ไปกับไกด์ไม่ต้องเอาถุงนอน เต็นท์ไป แต่ใครกลัวแข็งกลัวหนาวเอาไปเผื่อครับ
8. อาหารของกินเล่นพกไปกินระหว่างทาง เพราะด้านบนไม่มีร้านค้า
.
.
.

ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางกับพวกเรากันเลย ลุยยยยยย...

(ช่วงเดินทางกลางเดือนสิงหาคม) เมื่อเราได้ไกด์เดินป่าแล้วเราก็พร้อมออกเดินทาง (อันนี้แล้วแต่ใครจะหาเจ้าไหนได้นะครับ) เราออกเดินทางจาก กทม. 4 ทุ่ม ไปถึง จ.อุตรดิตถ์ ก็ประมาณเช้ามืด ระยะเวลาเดินทางราวๆ 6-7 ชม. เป็นอย่างต่ำ

ตอนเช้าเราก็จัดแจงล้างหน้าล้างตาที่ที่ทำการอุทยานฯ พร้อมจะเดินป่ากันแล้วครับ ก่อนออกทางไกด์ก็จะมีถุงดำไว้ห่อกระเป๋าเป้เสื้อผ้าเราอีกที (เลอะแน่ ๆ) แล้วก็มีไม้ค้ำยันให้ระหว่างเดินทาง จัดแจงแบ่งกระเป๋าออกเป็น 2 ใบ กระเป๋าใบใหญ่สำหรับลูกหาบแบกสิ่งสำภาระที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตด้านบน และใบเล็กใส่สำภาระที่จำเป็นระหว่างการเดินทางในป่า

ออกเดินทางตั้งแต่ 9 โมงเช้า ระยะทางขึ้นภูประมาณ 6.8 กิโล เริ่มออกเดินทางจากน้ำตกภูสอยดาว อากาศตอนเช้าเย็นสบายแต่ด้วยทางเดินที่ขึ้นๆ ขึ้น และขึ้นทำให้เหงื่อเริ่มซึม จากอากาศดีเริ่มร้อน เดินสักพักฝนตก งัดเสื้อกันฝนกันออกมาใส่ ใส่สักพักฝนหยุดร้อนต่อ ถอดเสื้อกันฝนใส่ๆ ถอดๆ กันไปตลอดทาง 

สภาพเส้นทางจัดได้ว่าค่อนข้างถึกครับ ฟิตร่างกายกันสักนิดนะครับก่อนเดินทาง ทางเดินแบ่งออกเป็น 5 ช่วงหลักๆ (ที่นี่ใช้คำว่า “เนิน” แทนคำว่า “ซำ” นะครับ) ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ และเนินที่ชื่อสุดสยอง... คือ เนินมรณะ แต่อย่าไปกลัวครับ มันแค่มีความสูงและชันมากกว่าทุกช่วงที่เคยผ่านมาเท่านั้นเอ๊งงงงงงง

เนินแรกครับ “เนินส่งญาติ” คล้ายๆ เนินรับร้องน้องก็ไม่ผิดครับ แต่ด้วยความที่มันเป็นเนินชันในช่วงแรก ยังมีฟิตและความเฟรช แต่ก็เล่นเอาหอบแฮ่กๆ คือ เอาไว้ให้วัดใจครับว่าถ้าไม่ไหวให้ถอดใจเดินลงซะตั้งแต่ช่วงนี้ครับ เพื่อความไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน หรือถ้าไหว คุณได้ไปต่อนะคร้าบบบบบ (เนินนี้โดยส่วนตัวเกลียดบันไดที่สุดครับ ช่วยได้เยอะครับ.... ช่วยให้ขาผมนี่ล้าไปได้เยอะเลยละครับ ฮึ่ยยยย!!!)

ช่วงโค้งสุดท้ายราวๆ 4 ชั่วโมงทางระยะทางที่เดินมาไกลแสนไกล ชันแสนชัน เหนื่อยแสนเหนื่อย เราก็จะเห็น “เนินมรณะ” อยู่ข้างหน้า เหมือนเราจะรู้ทันทีที่ได้เจอมันและจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงชื่อ “เนินมรณะ”
ผมได้หยุดพักที่ต้นไม้ใหญ่ก่อนขึ้นอยู่พักใหญ่เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจเพราะความชันของมันเกือบๆ จะตั้งฉากกับพื้นโลกเลยทีเดียว ระยะทางช่วงแรกก็ยังดีมีต้นไม้มีต้นหญ้าสูงพอบังแดด (เวลานั้นน่าจะประมาณบ่าย 2-3) ตอนที่ผมไปยังคงเป็นทางดินและก้อนหินให้พอได้เหยียบได้จับบ้าง พอเข้าช่วงกิโลเมตรสุดท้าย โอ้โห...แดดมาจากไหน ทั้งร้อน ทั้งชัน น้ำที่พกติดตัวมาเริ่มจะหมด คุณนายผมเริ่มเดินช้าลง 10 เมตร/ชม. คือหลังกับคอไหม้ครับ (เตรียมครีมกันแดดไปด้วยก็ดี) นรกมากจริงๆ ครับ แดดแรงอยู่สักพักพอจะขึ้นถึงลานสนฝนเริ่มลงเม็ดอีกครั้ง (ที่นี่มีหลากหลายฤดูกาล)

สุดท้าย สิ่งตอบแทนจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็คือ หมอกครับหมอก สลับกับลานสนที่มีดอกไม้สีม่วงๆ บานอยู่เต็มไปหมด (ดอกหงอนนาค) หยุดถ่ายรูปกับทิวเขาและสายหมอกไปได้สักพัก ไม่นานนักฝนที่ลงเม็ดพรำๆอยู่ ก็ตกลงมาอย่างแรง วิ่งหนีตาย 4*100 เข้าเต็นท์แทบไม่ทัน แทบอยากจะตะโกนกู่ร้องด่าออกมาว่า “ไอแอ๊บแอ้” 

ดูเวลาประมาณเกือบ 4 โมง สิริรวมเวลาเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 7 ชม. ฝนตกยาวเลยครับประมาณ 5 โมงกว่าถึงได้เริ่มทำอาหารเย็นกัน คืนนั้นเรากินหมูกระทะท่ามกลางฝนที่ก็ยังตกพรำๆ ไม่หยุด ต้องคอยช่วยกันเอาน้ำออกจากหลังคาเต็นท์กัน แต่ความเฉอะแฉะไม่ทำให้ความสนุกสนานจากการแย่งกันปิ้งหมูกระทะกับเพื่อนน้อยลงไปเลย

ตอนจะเข้าเต็นท์ที่พัก ก็มีเซอร์ไพรส์อีก เต็นท์น้ำท่วม ธ่ออออ!! แผ่นรองด้านล่างที่เต็มไปด้วยน้ำ ต้องวิดน้ำออกสิครับ แต่ด้วยความเพลียจากการเดินทางทำให้วันแรกของเราหลับไปแบบที่พื้นเต็นท์แฉะนิดๆ 

ตื่นเช้ามาไม่รอช้า ฝนหยุดตก อากาศแจ่มใส ออกไปเดินเล่นรอบๆ บริเวณลานสน
สายๆ ไปเดินน้ำตกธารทิพย์ เดินลงไปหน่อยครับไม่ไกลมาก พอเรียกเหงื่อนิดๆ เป็นพิธี 
บริเวณรอบๆ เดินเล่นได้ทั้งวันไม่เบื่อ จะถ่ายหมู่ ถ่ายเดี่ยว จัดเต็มกันไป

เย็นนั้นด้วยความเปรี้ยวจัดไปดาวลอย ลอยจริงๆ ครับ ใครคอไม่แข็งจริงผมขอเตือนนะครับ (ครั้งนึงต้องลองครับ ทำผมอ้วกแตกอ้วกแตนมาแล้ว) และคืนนั้นเองทำให้ผมได้พบกับช้างเผือกในป่าใหญ่ มันออกมาเผยตัวตั้งแต่หัวค่ำ ตัวใหญ่ชัดเจนประทับใจนักถ่ายรูปมือสมัครเล่นอย่างผมมาก

เช้าวันรุ่งขึ้นเก็บข้าวของเตรียมลง ขาลงเหนื่อยน้อยกว่าขาขึ้น แต่ก็เหนื่อย พอเห็นน้ำตกภูสอยดาวเท่านั้นแหละแปลว่า เราถึงแล้วโว้ยยยยย!! เปลี่ยนเสื้อผ้ากระโดดลงเล่นน้ำ ความเหนื่อยที่มีหายเป็นปลิดทิ้ง น้ำเย็นมาก แล้วก็มากินข้าวร้านป้าที่ทำการอุทยาน โคตรอร่อย อร่อยสุดๆ พร้อมกับเก็บเป้ขึ้นรถเตรียมตัวกลับบ้าน ตอนกลับก็แวะซื้อของฝากแล้วก็หลับยาวๆ กันทั้งคัน