ตุลานี้ที่ภูกระดึง 2558
"มึงๆ อาทิตย์หน้าไปเที่ยวกัน"
เรื่องของเรื่องเริ่มจากประโยคนี้ประโยคเดียว แต่เดี๋ยวเราจะไปไหนกันดี? ด้วยความที่อยากไปใกล้ๆก็เลยมองหาที่เที่ยวที่ใกล้กรุงเทพ ขับรถกันไปสามวันสองคืน ชิวๆไม่รีบ แถมเรายังว่างกันช่วงวันธรรมดา ดีเลยไม่ต้องไปแย่งกับใคร
แต่เดี่ยวก่อน!!!!!! ทำไมที่พักแพงจัง แถมมีกันสามคนยังต้องจ่ายเพิ่มอีก ไอ้ที่ถูกๆ ดังๆ ใกล้ๆ ก็เต็มไปถึงสิ้นปี โอยยยยยยยยยย.....
"จ่ายขนาดนี้ ไปไกลๆเลยไหม คุ้มกว่าตั้งเยอะ!!!"
"เออเอาดิ รถก็ไม่ต้องขับ"
"เออๆ"
'เดินป่า' นั่นแหละค่ะ เดินคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดเราเป็นอันดับแรก เราก็ช่วยกันหาที่ทางว่าจะไปไหน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะส่วนมาก เดินป่า, ปีนเขาหรือน้ำตกส่วนมากก็จะเปิดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป (เนื่องจากฝนและสภาพอากาศอาจทำให้เกินอันตราย) เราก็หากันไปหากันมา....
"มึงภูกระดึงเปิดแล้ว!!!"
“ภูกระดึง”
ได้ยินชื่อมาก็ตั้งนาน ทั้งความโหดความเหนื่อย ได้ยินมาแม้กระทั่ง สมัยคุณพ่อคุณแม่เอาไว้ไปพิสูจน์รักแท้ (ถึงขนาดตอนบอกแม่ว่าจะไป แม่ถามกลับมาว่าไปพิสูจน์รักแท้กับใครรึป่าว ฮ่าๆ ป่าวค่ะ คุณแม่!!!) หลังจากเราเลือกสถานที่
ได้แล้ว เราก็เริ่มชวนเพื่อน ตอนแรกจาก3คน ก็เพิ่มๆๆๆๆๆๆ จนมาเป็น 8 คนค่ะ คนพร้อมแล้ว! เราก็มาเตรียมตัวกันเถิดดดดดดดด
1.รองเท้า
เนื่องจากระยะทางที่เราต้องเดินค่อนข้างเยอะ และแถมยังมีบางจุดที่ลื่นและต้องปีนป่าย (ช่วงที่เราไปมีฝนตกเพราะฉะนั้นบางช่วงจะค่อนข้างลื่นและแฉะ) รองเท้าที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แนะนำว่าเป็นผ้าใบที่ใส่สบายไม่เจ็บ หรือถ้าใครยังไม่มีรองเท้าเดินป่า เราขอแนะนำ ‘สตั๊ดดอย’ มีขายบริเวณตีนภู คู่ล่ะประมาณ 80 บาท ถูก ดีและทน มันจะเป็นรองเท้ายางสีดำตรงพื้นจะคล้ายๆรองเท้าสตั๊ดเตะบอล การันตีความดีและเหมาะต่อภูกระดึงจากการที่ลูกหาบแทบทุกคนใช้
2.เสื้อผ้า
อันนี้ก็แล้วแต่สภาพภูมิอากาศแต่ละช่วง อย่างช่วงที่เราไปมา ยังมีฝนตกอากาศยังไม่หนาวมาก ขอแนะนำขาขึ้นให้ใส่กางเกงสบายๆ เพราะต้องเดินเยอะ และมีบางช่วงต้องปีน เอาแบบที่ใส่แล้วสามารถก้าวขากว้างๆได้ค่ะ แนะนำเป็นกางเกงวอมบางๆค่ะ
3.ทาก! ทาก! ทาก!
บนภูกระดึงและระหว่างทางเดินขึ้นจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่จะมาดูดเลือดเรา มันไม่ใช่แวมไพร์ แต่เป็นทาก! ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวกันมากๆ ไม่อยากโดนกัด เลยหาข้อมูลวิธีป้องกันกันทุกทาง
- กย.15 หรือ ซอร์ฟเฟล
ทาค่ะ ฉีดค่ะ บริเวณขาและข้อเท้าค่ะ หรือถ้าใครที่โดนทากกัดไปแล้วให้เอาซอร์ฟเฟลฉีด ทากจะปล่อยแล้วหลุดไปเองค่ะ แถมเอาไปกันยุงได้ด้วย
- เคาท์เตอร์เพน หรือ น้ำมันมวย
อันนี้นอกจากจะไว้นวดแก้ปวดแล้ว เราลองทาที่ขาและเท้า แล้วใส่รองเท้าแตะเดิน ทากก็ไม่กัดหรือขึ้นขาเรานะ หรือเพราะกลิ่นมันแสบมาก เรายังไม่ชอบกลิ่นเลย ทากก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆๆ
- ปูนขาว
เอาไว้โรยบริเวณรอบๆเต้นท์ค่ะ ข้างบนมีขายแต่ค่อนข้างแพง ใครสะดวกพกไปก็พกค่ะ การันตีค่ะ ทากไม่เข้าเต้นท์ (นอกจากทากจะติดตัวเราเข้าไปเอง) แถมยังกันสัตว์เล็กๆอื่นๆได้อีกด้วย
- ถุงเท้า
แนะนำเป็นถุงเท้าข้อยาวนะค่ะ เราใส่ถุงเท้าครอบขากางเกงวอร์มเราค่ะ แล้วพับปลายลงมาซัก1นิ้ว เพราะถ้าเกิดทางเกาะเรา มันจะพยายามไต่ขึ้นมาหาผิวหนังเรา ถ้าเราใส่ถุงเท้าไว้ด้านในขากางเกง ทากอาจจะไต่เข้าไปแล้วเราไม่เห็นค่ะ เลยแนะนำเป็นใส่ครอบขากางเกงไว้ด้านนอก
4. ยาประจำตัว ใครมียาประจำตัวก็อย่าลืมพกไปนะค่ะ แต่ที่แนะนำเพิ่มก็จะมี
-ยาคลายกล้ามเนื้อ
-ยาดม
-ชุดทำแผลเบื้อต้น
*บนภูจะมีห้องพยาบาลสามารถขอยาได้
5.เบ็ดเตล็ด
-ไฟฉาย
-…
เริ่มเดินทาง
13 ตุลาคม 2558
เราออกจาก สถานนีขนส่งหมอชิตเวลา 22.35น.
โดยเราใช้บริการรถทัวร์แบบวีไอพีของ บริษัท แอร์เมืองเลย จำกัด
(รถแบบวีไอพี 27 ที่นั่ง และ มี USB ชาร์จแบต)
จาก ขนส่งหมอชิด – ผานกเค้า (ร้านเจ๊กิม) ซึ่งเป็นรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ-เมืองเลย ซึ่งจะผ่านผานกเค้า
ราคาขาไป 464 บาท ถ้าจองขากลับพร้อมกันเลย ได้ลด10%
เราก็เลยจองขากลับ วันที่16 เวลา 20.30น. ราคา 371 รวมไป-กลับ 835 บาท
*รถทัวร์ วีไอพี 27 ที่นั่ง / สภาพภายใน / จุดพักรถ
*ร้านเจ๊กิม (จุดจอดรถ ผานกเค้า)
14 ตุลาคม 2558
06.00 น. ถึงร้านเจ้กิม แวะกินข้าวเช้าและทำธุระส่วนตัวกัน
07.00 น. เหมารถแดง จะมีจอดอยู่ข้างๆร้านเจ๊กิม ราคาต่อคัน อยู่ที่ 300 บาท/เที่ยว
*ระหว่างทางไปอุทยาน
07.20 น. ถึงที่ทำการอุทยาน จัดการซื้อตั๋วและจองเต้นท์ เนื่องจากเราไปช่วงที่เพิ่งเปิดให้ขึ้นคนจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
เจ้าหน้าที่จึงบอกให้มาจัดการที่นี้เลย แต่ถ้าใครจะไปช่วงท่องเที่ยวสามารถจองเต้นท์ได้ก่อนเป็นเวลา 60 วัน
ราคา 225 บาท/เต้นท์ นอนได้ประมาณ 3 คน
ค่าขึ้นอยู่ที่ 40 บาท/คน (วันธรรมดาลดเหลือ 20 บาท/คน)
ค่าลูกหาบ 30 บาท/กก.
เครื่องนอนต้องไปติดต่อด้านบนภู
- ถุงนอน 30 บาท/คืน
- ที่รองนอน 20 บาท/คืน
- หมอน 10 บาท/คืน
- ผ้าห่ม 10 บาท/คืน
- ผ้าห่มอย่างหนา 20 บาท/คืน
- เสื่อ 10 บาท/คืน
เว็บไซต์จองเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติ
http://www.dnp.go.th/parkreserve/tent_reservation.asp?lg=1
เบอร์ติดต่ออุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง
โทรศัพท์ : 042-810833
จองบ้านพัก : 042-810834
08.00 น. หลังจากเคารพธงชาติเสร็จ ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ฮ่าๆๆๆ ขึ้นภูกัน!!!!!
*จุดพักแรกซำแฮก
*ระหว่างทาง
*ระหว่างทางขึ้น หลบทางให้ พี่ๆ ลูกหาบกันหน่อยนะคะ
*ระหว่างทาง จากซำแคร่ – หลังแป
*วิวจากหลังแป ด้านหลังป้าย ”ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตภูกระดึง”
13.00 น. ถึงแล้ว !!!! ยัง !!!! เพราะเราเพิ่งมาถึงหลังแปกันค่ะ ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินขึ้นภูเขา ยอมรับว่าตอนแรกเข้าใจว่าเราจะกางเต้นท์กันตรงนี้ แต่เปล่าค่ะ เราต้องเดินอีก 3 กม. เพื่อไปถึงลานวังกวาง โอยยยยยยยยยยยยย ไปต่อค่ะพี่สุชาติ!!!
*ระหว่างหลังแป – ลานกางเต็นท์วังกวาง
*ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลานกางเต็นท์วังกวาง
13.45น. ถึงแล้ว รอบนี้ถึงจริงๆ ฮ่าๆ เราถึงกันค่อนข้างช้าเพราะเราเดินไปถ่ายรูปกันไป แถมมีเพื่อนคนนึงในทริปเกือบไม่ไหว แต่สุดท้ายเราก็มาถึงกันจนได้ แอบภูมิใจเล็กๆเหมือนกันนะเนี่ย พอถึงเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นท์และเครื่องนอน เนื่องจากคนน้อย เราเลยเดินเลือกเต้นท์กันได้แบบสบายๆ เราเลือกเต้นท์ที่ตั้งอยู่บนพื้นปูน 3 หลัง
*บรรยากาศโดยรอบลานกางเต็นท์
*กวางแถวร้านอาหาร
14.00 น. เราเลือกที่จะไปกินข้าวกลางวันกันแถวนั่น มีร้านให้เลือกมากมาย ส่วนมากเมนูก็จะเหมือนๆกัน ราคาก็จะเท่าๆกันค่ะ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่มื้อล่ะ 100 บาท (รวมน้ำและอาหารจานเดี่ยว) นอกจากจะได้กินข้าวไปยังจะได้เล่นกับกวางด้วย ใช่ค่ะ กวางตัวเป็นๆ เท่าที่เห็นจะมีอยู่ 3-4 ตัว นะคะ ระหว่างเรากินเค้าก็จะมาเดินป้วนเปี้ยนขออาหาร บางตัวก็จับได้
17.00 น. หลังจากพักเหนื่อย ถึงเวลาที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วค่ะ เราจะไปกันที่ ผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2กม. เราลงความเห็นกันว่า จะเช่าจักรยานกันไป เพราะเดินกันไม่ไหวแล้ว จะมีจุดเช้าจักรยานซึ่งเป็นของเอกชน ถ้าเช่าไปแค่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูกจะอยู่ที่คันละ60บาท แต่ถ้าเช่าทั้งวันจะอยู่ที่คันละ 300 บาท แนะนำให้พกไฟฉายไปด้วยนะค่ะ เพราะตอนกลับมันจะมืดแล้ว
17.30 น. ถึงผาหมากดูก
หลังจากเราดูพระอาทิตย์ตก ถึงแม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตของเราเพราะเมฆค่อนข้างเยอะ แต่แสงยามเย็นก็สวยใช้ได้ ถือว่าโอเคอยู่นะ :)))
18.30 น. ถึงเวลากลับที่พัก เพราะเริ่มมืดแล้ว สำหรับใครปั่นจักรยานมาขากลับก็ระวังทางกันนิดนึง เพราะจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นที่เขาเดินกลับ ระวังชนพวกเขานะคะ
19.00 น. ถึงลานวังกวางแล้ว เราก็ไปหาอาหารเย็นกินกัน เราเลือกเป็นหมูกระทะ หมูจุ่ม อันนี้มีทุกร้านเลยค่ะ ราคาอยู่ที่ 300-500บาท ต่อชุด หลังจากเสร็จเราก็ไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวกัน เพราะคืนนี้เรามีนัดกับ...
ทางช้างเผือก!!!!
20.30 น. จากการสอบถามพี่ๆเจ้าหน้าที่ เขาเเนะนำให้เราเดินไปถ่ายตรงลานพระ ซึ่งห่างจากลานวังกวางไปประมาณ1 กม. แต่ด้วยความขี้เกียจ ความเหนื่อย ความกลัวทาก ความกลัวความมืด ฮ่าๆๆๆๆ จะอะไรก็แล้วแต่ เราเลือกที่จะถ่ายทางช้างเผือกกันตรงหลังเต้นท์ (ขี้เกียจเดินแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆๆ) ตอนแรกก็แอบหวั่นว่าจะถ่ายไม่เห็น แต่พอถ่ายไปรูปแรกปั๊ป
กรี๊ดดดดดดดดดดดด !!!
22.00น. ซึ่งทางช้างเผือกก็เคลื่อนตัวไปทางอื่นแล้ว อีกทั่งยังเป็นเวลาที่ส่วนกลางเริ่มดับไฟ วันนี้เราก็คงพอกันแค่นี้ อัดยาคลายกล้ามเนื้อแล้วไปนอน พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นเราเราอยู่
15 ตุลาคม 2558
4.30 น. กริ๊งงงงงงงงงงงงงง!!! ตื่นๆ!!!! เข้านี้เราต้องตื่นเร็วมากเพราะเราจะไปดูพระอาทิตย์ที่ผานกแอ่น แม้ท้องฟ้าจะยังมืดแต่ก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าจะมีพี่ๆเจ้าหน้าที่นำทางเราไป โดยที่เค้านัดรวมกันเวลา5.00น. แล้วเดินไปพร้อมๆกัน ระยะทางประมาณ 2 กม.
*ผานกแอ่น
โชคร้ายมากเมื่อวานพระอาทิตย์ตกก็ไม่เห็นแถมวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นก็ยังไม่เห็นอีก โอยยยยยยยยยย เสียใจ
แต่บรรยากาศรอบๆผานกแอ่น หมอกลงหนามากตัดกับป่าด้านหลัง สวยมากกกกกกกกกกกกก ถือว่าไม่เห็นพรอาทิตย์ขึ้นก็ไม่เสียดาย
*ผานกแอ่น
6.30 น. พี่ๆเจ้าหน้าที่ตะโกนบอกเราว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เดินกลับที่พักได้แล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับ แต่เพราะหมอกหนามาก ทำให้เราพลัดหลงกัน แยกออกเป็นสองกลุ่ม แต่ไม่เป็นไรค่ะ ทางไม่อันตราย แต่ด้วยที่เพื่อนให้เรานำทาง เป็นไปตามคาด เราพาเพื่อนหลง!!!!
*ระหว่างทางเดินกลับจากผานกแอ่น – ลานกางเต็นท์วังกวาง
*ลานวัดพระแก้ว
*สิ่งเล็กๆ ระหว่างทาง
*พระแก้ว
จริงๆก็ไม่ใช่หลงทางหรอกค่ะ แต่เราจำทางกลับไม่ได้เลยเดินไปอีกทาง ซึ่งมันอ้อม ไปทางลานวัดพระแก้ว ไกลกว่าทางปกติที่มาประมาณ1-2 กม. แต่วิวระหว่างทางทำเราหายเหนื่อยเลยจริงๆ
นี้ถ้าเราไม่พาหลงก็คงไม่เจออะไรแบบนี้หรอกเนอะ:))
(โล่งอก ไม่โดนเพื่อนด่า ฮ่าๆๆๆๆๆ)
9.30น. หลังจากกลับมาจากดูพระอาทิตย์ขึ้น ทานอาหารและทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น เราก็ไปกันต่อค่ะ
วันนี้เราจะพิชิตผาหล่มสักค่ะ
*www.sabuy.com และ เพิ่มเติมบางส่วน
จากแผนที่นี้จะเห็นว่าเราสามารถเลือกทางเดินได้สองทางหลักที่จะไปผาหล่มสัก คือทางที่ไปด้านน้ำตกกับทางที่มาทางเส้นหน้าผา ครั้งนี้เรากับเพื่อนๆเลือกที่จะไปทางน้ำตกค่ะ
ตอนแรกเราชั่งใจกันว่าจะเดินเท้าเอาหรือปั่นจักรยานไปดี แต่ด้วยมีพี่นักท่องเที่ยวแนะนำมาว่าถ้าเราจะไปน้ำตก การใช้จักรยานอาจจะไม่สะดวก เพราะจะปั่นไปได้ถึงแค่จุดๆนึงแล้วต้องจอดทิ้งรถเอาไว้แล้วเดินต่อเข้าไป แล้วค่อยกลับออกมาเอารถใหม่ เราก็เลยตัดสินใจที่จะเดินเท้ากันค่ะ (อ้างพี่แต่จริงๆคือไม่อยากเสียตังค์ค่าจักรยาน ฮ่าๆ)
จุดแรกที่เราแวะคือส่วนน้ำตก แต่เราแวะแค่น้ำตกที่ใกล้ๆซึ่งมีน้ำตก
น้ำตกถ้ำใหญ่และน้ำตกธารสวรรค์
*น้ำตกถ้ำใหญ่
*น้ำตกธารสวรรค์
12.00 น. แล้วเราก็มาถึง สระอโนดาต เราแวะพักทานอาหารกลางวันกันที่นี้ค่ะ โดยเราจะต้องเตรียมอาหารกันมาเอง เพราะระหว่างทางเดินมาน้ำตกจะไม่มีร้านขายของหรือจุดแวะพักอะไรเลยค่ะ แนะนำให้เตรียมมา เราซื้อ ข้าวเหนียวหมูทอดกันมาคนละชุด ชุดล่ะ 65 บาท และน้ำเปล่าอีกคนละขวดค่ะ
*ระหว่างทาง
*สระอโนดาต
13.00 น. ไปต่อค่ะ ที่น้ำตกถ้ำสอเหนือ
*ระหว่างทางจากสระอโนดาต – น้ำตกถ้าสอเหนือ
*น้ำตกถ้ำสอเหนือ
*ด้านบนน้ำตกถ้าสอเหนือ
เดินมาสองวัน nike ของเราเริ่มงอแง พื้นรองเท้าเราหลุด โอยยยยยยยยยย รู้ว่าเธอแก่แล้วแต่มาหลุดอะไรกลางทาง ด้วยที่ไม่มีจุดแวะพัก เลยต้องแก้ปัญหาด้วยการ....
บอกแล้วใช่ไหม ว่ารองเท้าดีๆหน่ะสำคัญ ฮ่าๆๆๆ
*ระหว่างทางจากน้ำตกถ้าสอเหนือ – ผาแดง
*ระหว่างทางจากผาแดง – ผาหล่มสัก
17.00 น. ถึงแล้ว ! ผาหล่มสัก ผาในตำนาน ไม่ว่าใครก็ต้องมาถ่ายที่นี้ ตอนแรกกลัวว่าจะมาไม่ทันพระอาทิตย์ตก แต่สุดท้ายก็ทันค่ะ
แล้วเราก็ไม่พลาดที่จะไปนั่งถ่ายจุดที่เสี่ยวสุดๆ พูดได้เลยว่าขาตอนก้าวไปนี้สั่นพับๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ
ถ้ายังเสี่ยวไม่พอ นี้เป็นมุมที่ถ่ายจาก GoPro ลงไปข้างล่างค่ะ เน้นว่าสูงมากกกกกกกกกกกก ถ้าใครจะไปนั่งบริเวณนี้ระมัดระวังกันด้วยนะค่ะ
18.30 น. เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว จะมีพี่เจ้าหน้าที่รวบรวมนักท่องเที่ยวเพื่อเดินกลับพร้อมกัน แต่ด้วยความที่เราไม่รู้
เราไปนั่งกินข้าวกันแล้วก็ชอปปิ้งรองเท้าใหม่ กว่าจะรู้ตัวอีกที
"เห้ยพวกมึง เหลือเรากลุ่มสุดท้ายแล้วว่ะ"
ทำไงล่ะทีนี้ 9กม.กับเรา8คน ในป่าที่มืดสนิท
รีบสิค่ะรีบ!!! เรียกว่าก้าวขาเร็วแบบเเทบวิ่ง ไม่มีใครแวะถ่ายอะไรกันทั้งนั้น บอกตามตรง กลัวไปหมด
รีบค่ะ รีบบบบบบบบบบบบ !
20.00 น. เดินมาถึงครึ่งทาง ผาเหยียบเมฆยังมีคุณป้าและคุณลุงใจดีเปิดร้านขายของอยู่เราเลยขอ เข้าห้องน้ำ
และระหว่างที่เพื่อนเราไปถ่ายหนัก .... เราก็ถ่ายดาว
*ผาเหยียบเมฆ
*ผาเหยียบเมฆด้านหลังร้านค้า
21.20น. ถึงลานกางเต้นท์แล้ว เฮ !!!!! ร่วมแล้วใช้เวลาประมาน 2 ชม.กว่าๆ เอง เรียกว่าไม่เคยเดินเร็วขนาดนี้มาก่อน ฮ่าๆๆๆ วันนี้เรียกว่าเหนื่อยมาก เดินกันเกือบ20กม. ตั้งแต่เช้ายันมืด ไม่มีแรงเหลือไปทำอะไรแล้ว วันนี้ก็คงพอกันเท่านี้
กินข้าว อาบน้ำ แล้วแยกย้าย !!
16 ตุลาคม 2558
วันสุดท้ายแล้วค่ะ
ตั้งใจไว้ว่าวันนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกรอบ แต่สรุปก็ไม่มีใครตื่นไหว เพราะเมื่อวานเราเหนื่อยกันมาก
7.00 น. ตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อเอากระเป๋าไปให้ลูกหาบ ราคาก็เท่ากับตอนขึ้นมาค่ะ ก.ก.ล่ะ30บาท พี่เจ้าหน้าที่แนะนำให้มาหาลูกหาบช่วงเช้า ไม่เกิน8โมง
หลังจากหาลูกหาบแล้วก็ทานอาหารเช้าเรียบร้อย เราตัดสินใจจะลงจากภูประมาน10โมงเช้า ไม่รีบ เพราะเราจองรถทัวร์ขากลับเวลา 20.30น. ระหว่างทางเราก็แวะถ่ายรูป แวะพัก แบบสบายๆ สุดท้ายเราก็มาถึงข้างล่างเวลา 16.30 น.
ขาลงระมัดระวังกันหน่อยนะค่ะ อาจจะลื่นล้มเหมือนเราได้ เรียกได้ว่าก้นนี้ถลอก แสบมากกกกกกก
*รูปประกอบ
ใครที่ต้องการอาบน้ำก็มีห้องอาบน้ำให้ใช้นะค่ะ บริเวณที่ทำการอุทยาน
จากนั้นก็เรียกรถเเดงกลับไปรอรถทัวร์ที่ร้านเจ๊กิม ราคาก็เท่าเดิมค่ะ 300 บาทต่อเที่ยว ต่อคัน
*มองกลับไปที่ภูกระดึง จากทางอุทยาน – ร้านเจ๊กิม
สุดท้ายนี้ ฝากภูกระดึงไว้เป็นตัวเลือกที่เที่ยวสิ้นปีนี้ไว้ด้วยนะค่ะ หากใครพลาดที่อื่นที่ต้องจอง ภูกระดึงก็ถือว่าสวยและคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ อย่างเราไปครั้งแรก ก็ประทับใจมากๆและสัญญาเลยว่าจะกลับมาอีก เพราะรอบนี้ก็ยังไปไม่ครบทุกที่เลย แถมราคาก็ไม่แพง เราเสียไปประมาณ 2,000 กว่าบาท แต่ถ้าใครจะไปช่วงเทศกาลก็แนะนำให้เตรียมตัวติดต่อไว้ล่วงหน้านะค่ะ
ป.ล.เราทำรีวิวอันนี้ครั้งแรกถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ