"ดอยแบแล" แห่งป่าเขาลำเนาไพร
สวัสดีทุกท่านผู้มีเป้าหมายและอุดมการณ์แห่งการ "รักการท่องเที่ยว"
ทริปนี้เป็นทริปต่อเนื่องจาก ตอนที่ 1
------------------------------------------
มาต่อกันเลยดีกว่า "ดอยแบแล" หรือชื่อเต็มเรียกว่า "สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ดอยแบแล" จุดที่สี่ซึ่งเป็นที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ของพวกเรา ซึ่งจุดที่ตั้งสถานีนี้มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง อยู่ติดกับหมู่บ้าน ชาวกระเหรียง สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น ภูเขาสูงสลับหุบห้วย ช่วงกลางวันของเดือนตุลาคม อากาศจะยังคงร้อนอยู่ แต่ในเวลากลางคืนนั้นมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก..! (แต่ก็ไม่ถึงมากที่สุด) บนดอยแบแล จะมีที่ทำการ ของสำนักงานเกษตรที่สูง และสำนักงานโครงการเฉลิมพระเกียรติ ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
พวกเรามาถึงประมาณ 16.50 น. ที่นี้มีบ้านพักรับรองอยู่ 1 หลัง ห้องน้ำในตัว สามารถนอนรวมกันได้หลายคนหรือสามารถกางเต้นท์หน้าลานที่ทำการมีลานกว้างๆ ให้สามารถกางเต้นท์ได้ แต่วันที่พวกเราไปเป็นช่วงวันหยุดที่ทำการปิดแต่ก็ยังพอมีเจ้าหน้าที่ ที่ประจำการบ้างท่านที่ยังไม่ได้แยกย้ายกันกลับบ้านมาตอนรับผู้มาเยือนที่ไม่ได้นัดหมายไว้อย่างพวกเรา ถือว่าโชคดีมากๆ เจ้าหน้าที่คนนี้ชื่อว่า น้องเหลิมบริการพวกเราดีมากๆ แถมในวันนั้นอนุญาตให้พวกเราพักกันในที่ทำการ แถมไม่เก็บค่าบริการหรือค่าบำรุงใดๆ เลยแม้แต่บาทเดียว ให้บริการเท่าเทียมกันกับทุกคนที่เข้ามาพักที่นี้ แต่พวกเราก็ไม่ลืมที่จะช่วยกันสมทบทุนสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ มอบคืนกลับไป เจ้าหน้าที่บริการพวกเราดีมากๆ ทั้งในเรื่องของที่พักจัดเตรียมให้ ทำอาหารให้ แถมจะล้างจานให้อีก พวกเราเกรงใจกันสุดๆ ต้องค่อยบอกตลอดๆ ว่า ไม่ต้องค่ะไม่เป็นไรค่ะ เดียวพวกเราจัดการกันเองค่ะ (ประทับใจมากๆ) คงไม่มีคำไหนทราบซึ้งเท่ากับคำว่า
"ขอบคุณค่ะ"
นี้คือบรรยายโดยรอบของดอยแบแลหลังจากที่พวกเรามาถึงกัน
นี้คือสิ่งที่ชอบที่สุด (555++) ห้องน้ำแบบเปิด มันชั่งได้บรรยากาศสุด (ได้ใช้บริการอยู่ คริๆ)
จริงๆ มีอยู่อีกหนึ่งห้องอยู่ด้านในที่ทำการ
ถึงแม้พวกเราจะซื้ออาหารติดมือไปด้วยนั้น จริงๆ ที่นี้มีลานด้านหน้าที่ทำการสำหรับไว้ปิกนิกกันได้ ด้วย
ที่ว่าพวกเราเหนื่อยจากการนั่งรถกันมาทั้งวันแล้วเลยตัดสิ้นใจซื้อแบบสำเร็จมาเลย (แบบขี้เกียจแล้วอะ)
แต่แล้วเจ้าหน้าที่สุดหล่อ ก็ยังไม่วายมาหุงข้าว ทำกับข้าวให้พวกเรากินกันอยู่ดี
งานนี้เลยมีโชว์ฝีมือกันซะหน่อย 555++
อ๋อๆ ลืมบอกไปที่นี้ไม่มีไฟฟ้านะจ๊ะ แต่มีเครื่องปั้นไฟใช้อยู่ถ้ามาแบบไม่ได้แจ้งเจ้าที่ล่วงหน้าอาจไม่มีน้ำมันไว้ปั้นไฟใช้นะ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น แต่เจ้าหน้าที่นี้ บอกแล้วน่ารักสุดๆ ขับมอไซต์ลงจากเขาไปซื้อน้ำมันมาให้ โอ้วแม่เจ้า! ขับมอไซต์เนี้ยนะลงเขานี้มันเย็นแล้วด้วยนะ ขนาดพวกเรากว่าจะมาถึงที่นี้ได้ระยะทางตั้งไกล พวกเราช่วยกันพูดอย่างพร้อมเพียงว่าไม่ต้อง ไม่เป็นไร มันอันตราย ไม่เอาพวกเราอยู่ได้ แล้วพวกเราก็ขัดขวางความมีน้ำใจของเขาที่มีให้พวกเราไม่ได้จริงๆ ขอบคุณ "น้องเหลิม" อีกครั้งค่ะ
ที่นี้เครื่องปั้นไฟจะปิดช่วงประมาณ 4 ทุ่ม มีเทียนบริการให้พร้อม พวกเราก็ใช้เวลานั่งเม้าท์ นั่งกิน นั่งเล่นกัน และทำกิจกรรมทุกอย่างให้เสร็จก่อนไฟจะดับลง ดีมันทำให้พวกเราได้รู้จักการเข้านอนแต่หัวค่ำ (หัวค่ำเหร๋อ ไม่ใช่นะ 555)
ช่วงเช้าของวันที่ 24 ตุลาคม 2558
อากาศดีมากๆ เดินไปเที่ยวแปลงปลูกพืช พรรณไม้กัน จำชื่อไม่ได้ว่าเรียกกว่าอะไร โดยมีเจ้าหน้าที่พาเดินไป
(เดินไปเองคงหลงอะ)
แบบเดินลงเสร็จก็เดินขึ้นต่อ มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเรา 555++
ระหว่างเดิน... พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี
นี้คือจุดชมวิว จำชื่อไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร ซึ่งขึ้นมาที่นี้แล้วจะมองเห็นอีกมุมหนึ่งของที่ทำการ ช่วงเดือนนี้ที่นี้ยังไม่หนาวมากพอที่จะมีทะเลหมอกรวมตัวกันมาให้พวกเราได้เห็น ไม่เป็นไรแค่นี้ก็ได้อยู่ๆ 555++
ณ จุดนั้นคือ ที่ทำการ หรือจุดที่เราพักอาศัยกันนั้นเอง (มุมมองจากเขาอีกลูกหนึ่งที่เดินขึ้นมาชมวิว)
ที่นี้ยังมีพันธุ์พืช อีกหลายสายพันธ์ุให้ได้ชื่นชมกันนะจ๊ะ
ปัญหาเรื่องการเดินลงเขาไม่เคยมี ปัญหาเรื่องการขึ้นเขาก็ไม่มีเหมือนกัน 555++
หลังจากเดินลงเขามาก็พบว่าน้องเหลิมสุดหล่อ กำลังเก็บยอดฟักแม้วเพื่อทำกับข้าวเช้าให้พวกเรากินกัน น่าร๊ากกกสุดๆ อะ ไม่รู้จะพูดอะไรได้นอกจาก ขอบคุณค่ะ อีกเช่นเคย
พวกเราออกเดินทางจาก ดอยแบแล ตอน 10.30 น. โดยนัดให้ลุงเดชมารับกลับไปยังตัวเมืองอมก๋อย
พร้อมกับให้ทิปลุงไปอีก 1,000 บาท ในฐานะที่ขับรถซิ่งได้ใจวัยรุ่นอย่างพวกเราเอามากๆ 555++ จริงๆ
ทริปเราจบเพียงแค่นี้ ซึ่งจะต้องนั่งรถเมลสาธารณะกลับกันรอบบ่าย 2 โมง เพื่อไปยังตัวเมืองเชียงใหม่
ถึงก็ประมาณ 6 โมงเย็น
ปล. มันยังไม่ใช่ทุกอย่าง หรือจุดจบของทริปนี้