สังขละบุรี วิถี Slow life (ไปเที่ยวกาญฯไปเที่ยวกันTrip)

สังขละบุรี ชื่อนี้หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีและเมื่อพูดถึงอำเภอสังขละบุรีแน่นอนว่าภาพที่จะผุดขึ้นมาในหัวของเราภาพแรกคงหนีไม่พ้นสะพานมอญที่มาคู่กับแม่น้ำแห่งความสัทธาทั้งสามหลายที่เรียกกันว่า สามประสบ .. ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้แหละเหมาะสำหรับการออกไปผจนภัยใน green season ที่สุดแล้ว ว่าแล้วก็แบกเป้กับรองเท้าคู่ใจแล้วชวนแฟนออกไปเที่ยวกัน ^^

ทริปนี้เราเลือกเดินทางกันโดยเอารถยนต์ส่วนตัวไปเองล้อหมุนกันตั้งแต่ตี3เช่นเคย ใช้เวลาไม่นานก็เข้ามาในเขตจังหวัดกาญจนบุรีแต่เช้าตรู่กันเลยค่ะ แต่สำหรับเพื่อนๆท่านใดที่ไม่ได้นำรถส่วนตัวมาเองก็ต้องอาศัยตื่นเช้าๆไปตีตั๋วจองที่นนั่งให้ทันรถรอบแรกเลยนะคะเพราะทริปนี้ค่อยข้างกินเวลาในการเดินทางพอสมควรค่ะ ระยะเวลาการเดินทางจากตัวเมืองมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอสังขละบุรีใช้เวลาประมาณ4-5ชม.ดังนั้นเพื่อนๆที่กำลังจะไปต้องบริหารเวลาให้ถูกต้องนะคะ เรามาถึงสังขละกันก็เกือบๆจะเที่ยงแล้วเลยตกลงกันว่าจะเข้าที่พักเพื่อ check in เอาของเข้าไปเก็บกันก่อน รอบนี้เราเลือกพักกับทาง Haiku guest house ค่ะหลายๆคนคงจะคุ้นหูกับชื่อนี้แน่นอน Haiku guest house เกสท์เฮ้าท์ที่ถูกออกแบบและตกแต่งมาในสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้ทุกวัน แถมอยู่ห่างจากสะพานมอญเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น สามารถเดินชิลไปสะพานมอญได้เลยค่ะ บริเวณเกสท์เฮ้าท์ทำเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นเหมือนบ้านญี่ปุ่น มีชานบ้านหน้าห้อง ห้องนั่งเล่นรวมด้านหน้า พร้อมโต๊ะเตี้ยๆไว้สำหรับทานอาหารกันด้วยค่ะ บริเวณด้านในห้องนอนจะตกแต่งไปในโทนสีอุ่นให้เข้ากับบรรยากาศด้า่นนอกและความเป็นญี่ปุ่นผสมผสานกันอย่างลงตัวค่ะ รับรองว่าใครได้มาพักที่นี่ต้องติดใจในรสชาติบรรยากาศของHaikuแน่นอนค่ะ^^

ราคาที่พักอยู่ที่650/คืน(ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเทศกาลและseasonนั้นๆ)สามารถพักได้2-3ท่านค่ะเพราะห้องและที่นอนกว้างมากๆ

สิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีอะไรมากค่ะนอกจากน้ำใจและเซอร์วิสจากพี่เจ้าของบ้านที่ยิ้มและเล่นกับพวกเราตลอดหากเพื่อนๆท่านใดอยากลองไปสัมผัสกับบรรยากาศที่พักน่ารักๆสไตล์ญี่ปุ่นแบบนี้ ติดต่อจองที่พักได้ที่เบอร์นี้เลยค่ะ 087-5199150 

และหลังจากที่พวกเราเป็นบ้ากับที่พักของเราอยู่พักใหญ่เราก็ไม่พลาดที่จะออกมาสัมผัสวิถีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริม2ฝั่งแม่น้ำสามประสบและนั่งเรือชมวัดจมน้ำที่เป็น unseen thailand แน่นอน

สะพานเล็กๆด้านล่างสะพานมอญที่เพื่อนๆเห็นตามรูปด้านบนถูกสร้างขึ้นเมื่อครั้งสะพานมอญโดนพายุฝนถล่มจนทำให้สะพานมอญขาดออกจากกันเมื่อปี2556นี่เองค่ะชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างสะพานสำรองขึ้นมาเพื่อไว้ใช้ข้ามฝั่งระหว่างรอการบูรณะสะพานมอญขึ้นมาใหม่นั่นเอง ^^ ไหนๆก็พากันเดินลงมาด้านล่างนี้แล้วก็ไม่พลาดที่จะเหมาเรือลำไม่จิ๋วแต่เครื่องแจ๋ว5555ไปไหว้พระชมวัดจมน้ำที่ใครๆได้มาที่นี่ก็ไม่ควรพลาดเหมือนกัน

อัตราค่าบริการคุณลุงเจ้าของเรือบอกว่าจะคิดเหมาลำค่ะลำล่ะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ลูกเรือผู้โดยสารอย่างเราๆจะเลือกโปรแกรมทัวน์

โปรแกรมทัวน์ก็จะมีหลายราคาให้เลือกเราเลือกเป็นทัวน์3วัดเหมาลำ400บาททริปนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมด6คนหารเฉลี่ยก็อยู่ที่66บาทต่อคนเองค่ะถูกและคุ้มมากกกก ออกเดินทางกันที่วัดแรก unseen  thailand วัดวังวิเวการาม(เก่า)หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดจมน้ำ

“วัดวังก์วิเวการาม” ที่หลวงพ่ออุตตมะ เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นมาเมื่อปี 2496 โดยมีชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญ ที่อพยพเข้ามาช่วยกันก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวเรียกว่า “สามประสบ” ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตีไหลผ่าน

ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำเข้าท่วมอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย “หลวงพ่ออุตตมะ” จึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยในช่วงฤดูแล้งช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจึงจะลด ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ของวัดได้อย่างชัดเจน และนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปเที่ยมชมได้ แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอดโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ อ.สังขละบุรี ในชื่อเมืองบาดาล แต่ในวันนี้ อ.สังขละบุรี ประสบกับปัญหาภัยแล้งเป็นอย่างมาก ทางเขื่อนมีความจำเป็นที่จะต้องระบายน้ำเพื่อนำไปช่วยเหลือเกษตรกร ประกอบกับปีนี้ฝนตกลงมาช้ากว่าปกติ ทำให้นำในทะเลสาบที่ท่วมวัดวังก์วิเวการามเกินมากว่า 20 ปีลดลงจนแห้งขอด ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวเมืองบาดาล สามารถเดินเข้าเยี่ยมชมโบสถ์ได้อย่างสะดวก แต่ตอนที่เรามาเป็นช่วงเดือนสิงหาจึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปด้านในตัววัดตัวด้วยปริมาณน้ำที่ขึ้นสูงมากๆทำให้เราได้แค่นั่งเรือชมจากด้านนอกเท่านั้นค่ะ

วัดต่อมาที่คุณลุงคนขับเรือพาเรามาชมก็คือวัดศรีสุวรรณค่ะสังเกตุจากในรูปก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้วเนื่องจากเดือนสิงหาเป็นช่วงน้ำขึ้นแถมฝนยังตกหนักทุกวันอีกด้วย วัดศรีสุวรรณจะคล้ายๆกับวัดจมน้ำเลยค่ะจะมีแค่ซากสิ่งก่อสร้างวัดเก่าที่หลงเหลือให้เราได้ชมกันเป็นบางจุดเท่านั้นวัดนี้ก็ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้นะคะ^^

ส่วนวัดสุดท้ายของทริปที่เราจะไปกันก็ต้องอาศัยฝีเท้าของแต่ล่ะคนหน่อยแล้วเพราะวัดนี้ไม่ได้อยู่กลางน้ำแบบวัดอื่นๆคุณลงก็จะมาจอดเรือให้เราลงที่ฝั่งและเดินขึ้นไปด้านบนเขาอีกประมาณ500เมตรก็จะเจอกับกองก้อนหินอยู่บริเวณด้านหน้าวัดเต็มไปหมดเลยค่ะ^^ ว่ากันว่าถ้าเรียงต่อๆกันไปจนครบ9ชั้นจะสมหวังด้านเรื่องความรัก ใครอยากได้แฟนหนุ่มแฟนสาวก็ลองแวะมาเรียงหินหน้าวัดกันดูนะคะ อิ_อิ  ด้านในของวัดก็จะมีพระพุทธรูปไว้ให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่มีโอกาศแวะมาได้มาสักการะบูชากันในวัดค่อนข้างโทรมเนื่องจากยังไม่ได้มีการบูรณะแต่ก็ยังมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ระแวกนี้แวะมาคอยดูแลทำความสะอาดอยู่บ่อยๆเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆค่ะ ไหว้พระเสร็จคุณลุงก็กลับมาส่งเราที่สะพานสำรองด้านล่างแต่เป็นคนล่ะฝั่งกับตอนที่เราขึ้นเรือมาคุณลุงบอกว่าที่มาส่งฝั่งนี้เพราะว่าจะได้เดินเล่นบนสะพานมอญกันต่อเลยจะได้ไม่เสียเวลาเดินไปเดินมาอีกต่างหาก^^  บรรยากาศสะพานมอญยามเย็นก็จะดูคึกคักมากกว่าตอนช่วงบ่ายที่เรามาอาจเป็นเพราะแดดร่มลมตกด้วยเลยทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆคนเลือกที่จะออกมาถ่ายรูปออกมาสูดอากาศกันตอนช่วงเย็นๆค่ะ และถ้ามาถึงสังขละบุรีแล้วไม่ไปเดินตลาดสังขละถือว่าผิดดดดดดด^^

ตลาดนัดสังขละจะเปิดในช่วงเย็นของทุกวันไม่ว่าจะฝนตกฟ้าร้องแดดออกก็เปิดทุกวันค่ะ5555

แต่ถ้ามาตลาดสังขละแล้วไม่ลองทานหมูจุ่มพม่าที่เป็น recommend ของที่นี่ถือว่าผิดกว่าค่ะ!!!

หมูจุ่มพม่าไม้ล่ะ1บาท ที่รับรองว่าถ้าใครได้มาลองจะต้องติดใจในรสชาติอย่างแน่นอน!!

หมูจุ่มพม่าหรือที่เรียกอีกอย่างยากๆว่า แวด-ตา-โด๊ค-โท เอิ่ม.....(ถ้ามันยากมากก็ไม่ต้องออกเสียงตามนะคะ55555) รสชาติจะคล้ายๆกับพะโล้บ้านเราเลยค่ะเพียงแค่ว่าทางนี้เขานำเครื่องในของหมูมาหันเป็นชิ้นพอดีคำแล้วเสียไม้ขายให้อารมณ์เหมือนหมูปิ้งเสียบไม้บ้านเราเลยค่ะแต่ที่นี่เป็นหมูจุ่มไม่ใช่หมูปิ้งสนนราคาแค่1บาทต่อไม้กินเท่าไหร่ก็นับไม้จ่ายเท่านั้น

ทานคู่กับน้ำจิ้มที่ทางร้านเตรียมไว้ให้จะมีทั้งหมด2รสชาติค่ะสีเขียวๆนั่นก็ซีฟู๊ดดีๆนี่เองส่วนน้ำจิ้มสีส้มๆก็จะออกเปรี้ยวหวานหน่อยๆเด็กๆทานได้ค่ะ นอกจากน้ำจิ้มก็จะมีเครื่องเคียงเป็นกระเทียมกับพริกไว้ให้เราทานคู่กันกับหมูจุ่มด้วยค่ะอันนี้แล้วแต่ว่าใครชอบทานแบบไหนก็จัดกันตามสบายได้เลยค่ะแม่ค้าเขาไม่หวง^^ นอกจากจะมีหมุจุ่มพม่าแล้วก็ยังมีอีกเมนูที่อยากให้เพื่อนๆได้มาลองกัน อันนี้ชื่อเมนูอะไรไม่รู้เราเรียกไม่ถูก5555555จะคล้ายๆสปาเกตตี้บ้านเราค่ะสีสันฉูดฉาดแต่รสชาติไม่ได้เผ็ดอย่างที่คิดออกไปทางหวานๆเปรี้ยวๆซะด้วยซ้ำแต่ก็ถือว่าผ่านค่ะไม่ถึงกับแย่แต่แค่พอทานได้ 

อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พักนอนพักผ่อนเอาแรงวันนี้เหนื่อนกับการเดินทางมามากแล้วไหนจะรถไหนจะเรือมึนไปหมดนอนเอาแรงไว้ตื่นเช้าพรุ้งนี้ดีกว่า คร่อกกzzZ

........................Day 2....................................

อากาศยามเช้าที่สังขละดีมากๆเลยค่ะไม่เย็นเกินไปแล้วก็ไม่ร้อนจนเกินไปแถมเช้านี้มีน้องหมอกมาให้เราเห็นเป็นระยะๆอีกด้วย^^ กิจกรรมแรกต้อนรับเช้าวันใหม่บนสะพานมอญแห่งนี้ก็คือการใส่บาตรแบบวัฒนธรรมชาวมอญต้องข้ามฝั่งไปฝั่งมอญนะคะฝั่งไทยเราพระท่านไม่ได้ข้ามมาค่ะ ต้องอาศัยตื่นเช้าเข้าไว้ใครขี้เซาตื่นสายก็อดนะคะเพราะพระท่านจะมาบิณฑบาตรตอน7โมงเช้าถึง8โมงเท่านั้นค่ะ^^ ชุดใส่บาตรมีจำหน่ายทั่วไปตาม2ข้างทางหลายแบบหลายราคาแล้วแต่เจ้าไหนทำชุดใหญ่ชุดเล็กจำหน่ายราคาก็จะแตกต่างออกไปตามแพคเกจค่ะ สำหรับการแต่งกายใส่บาตรต้องแต่งกายสุภาพเท่านั้นส่วนมากทางร้านจะมีบริการให้ยืมชุดมอญแก่ลูกค้าไปใส่ฟรีๆแบบไม่มีค่าใช้จ่ายกันเลย การตักบาตรวิถีชาวมอญแบบชุมชนถือเป็นมนต์เสน่ห์น่าภูมิใจอีกอย่างนึงที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีแต่ผู้คนหลั่งไหลมาชื่นชมวัฒนธรรมที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของอารธรรมลุ่มแม่น้ำสามประสบ ชุดมอญที่เราได้สวมใส่รอยยิ้มของผู้คนมากมายที่เราไม่รู้จักกันมาก่อนนี่แหละวิถีชุมชนที่แท้จริง^^  การแต่งกายของชาวมอญ ผู้ชายจะใส่เสื้อคอจีนและลองยี(โสร่ง) ผู้หญิงจะใส่ผ้าซิ่นคู่กับเสื้อสีขาว(หรือตามความเหมาะสม)กับผ้าคลุ่มไหล่บางๆพอเป็นพิธีค่ะ กิจกรรมใส่บาตรตอนเช้าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีถึงเวลามื้อเช้าของพวกเราบ้างแล้ว^^

มื้อเช้าวันนี้เรามากันที่ร้านโจ๊กหมูฝั่งมอญกันค่ะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชื่อร้านอะไรเห็นป้ายเขาเขียนว่าโจ๊กหมูก็น่าชื่อร้านโจ๊กหมูเฉยๆมั้งคะ55555555

รูปร่างหน้าตาโจ๊กที่ร้านก็จะเป็นแบบนี้ค่ะเหมือนโจ๊กทั่วๆไปทั้งร้านมีโจ๊กแค่แบบนี้แบบเดียวค่ะไม่ต้องเสียเวลาคิดไม่ต้องเสียเวลาสั่งยาวๆแค่บอกว่าโจ๊กชามนึงก็จะได้โจ๊กหน้าตาน่าทานมาอยู่ตรงหน้าโต๊ะเราแล้วค่ะ ทานคู่กับปลาท่องโก๋ร้อนๆฟินอย่าบอกใคร5555555 แถมเมนูกาแฟโบราญให้อีกหนึ่งเมนู อันนี้รสชาติดีค่ะใครได้มาอย่าลืมแวะมาลองกันได้นะคะ อ่อ..ร้านเปิดเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้นห้ามมาตอนบ่ายเพราะโจ๊กหมดเมื่อไหร่ปิดร้านเมื่อนั้นค่ะ55555

และก่อนที่เราจะจบทริปนี้เรามีอีกหนึ่งสถานที่ ที่อยากจะแนะนำเพื่อนๆไว้แวะมาเที่ยวกันค่ะ

ด่านเจดีย์สามองค์ ชายแดนไทย-พม่า เป็นอีกหนึ่งที่ ที่หากใครได้มาถึงสังขละบุรีแล้วต้องแวะมา ตรงหน้าด่านนี้เพื่อนๆสามารถติดต่อซื้อทัวน์ข้ามไปชมวิถีชุมชนของเพื่อนบ้านเราได้นะคะราคาทัวน์ก็จะขึ้นอยู่กับบริษัทนั้นๆเริ่มตั้นตั้งแต่300บาทขึ้นไป สะดวกกันแบบไหนก็เลือกไปแบบนั้นค่ะเรา6คนก็มีโอกาศได้ข้ามไปมาเหมือนกันแต่ขอแยกไว้อีกรีวิวนึงเนาะเดี่ยวจะไม่มีเรื่องมาเล่าให้่เพื่อนๆฟังกัน5555

แล้วหากมาหน้าด่านเจดีย์สามองค์นี้แล้วก็อย่าลืมลองทานขนมของเพื่อนบ้านเราด้วยนะคะเขาจะมีมาขายทุกวันไม่เว้นแม้กระทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์55555

ขนมของเขาจะแปลกๆจากบ้านเราเยอะเลยค่ะแต่รสชาติยอมรับว่าอร่อยจริงไม่บอกหรอกว่าอร่อยขนาดไหนรอให้มาชิมกันเองดีกว่า 

สรุปค่าใช้จ่าย

- ค่าน้ำมัน1,500บาท

- ค่าที่พัก650บาท (2ห้อง1,300บาท)

- ค่าเรือเหมาลำ400บาท

- ค่ากิน(หมดเยอะจนจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่55555)

หาร6ก็จะตกอยู่ที่คนล่ะ534บาท(ไม่รวมอาหาร)

หยุดทริปไว้เท่านี้ก่อนขอเวลาไปปั่นเงินได้สักกองแล้วจะกลับมาพร้อมกับรีวิวใหม่นะคะ เจอกันใหม่ทริปหน้าบ๊ายบายค่าาาาาาา(โบกมือรัวๆ)

                                                              ...............#ชวนแฟนเที่ยว..................