เก็บกระเป็าลุยสังขละ

นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งเเรกเลยก็ว่าได้  ปกติจะเขียนไดอะรี่หรือพิมพ์เรื่องราวทั่วๆไป ทีเเรกกะว่าจะไม่เขียนเเล้วแอบขี้เกียจ เเต่คิดว่าเขียนเก็บไว้อ่านเล่นก็เเล้วกันเผื่อตอนนั้นไม่มีเเรงบันดาลใจ  มาเปิดอ่านอาจทำให้ฮึดต่อได้ 

             หลังจากสอบเสร็จเเล้วปิดเทอมเเค่ 2 อาทิตย์ ก็วางแผนว่าจะไปเที่ยว คือที่จริงก็วางเเผนไว้ตั้งเเต่ก่อนสอบเเล้วด้วยซ้ำ เเต่ที่ๆ จะไปตอนเเรกไม่ใช่สังขละเเต่เป็นเขาช้างเผือก จำได้ว่าโทรไปตั้งเเต่วันที่ 17 โทรไปทุกวัน  เเหกขี้ตาตื่นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเเต่ไม่เคยจะทันเลยสักครั้ง คำตอบที่ได้คือ "เต็ม" เหมือนเดิม ไม่ไหวๆ ตอนนั้นคือเปลี่ยนแผนเเล้วเพราะดูไม่มีวี่เเววว่าจะได้ไป  

   เเละที่ๆจะไปคือสังขละบุรี เป็นอีกที่ที่อยากไปเหมือนกัน  เห็นเขาบอกว่าช่วงนี้อากาศเย็น มีหมอกด้วยก็เลยตัดสินใจไป  ตอนเเรกกะจะไปคนเดียวเเต่มีเพื่อนคนหนึ่งโทรมาพอดีบอกว่าอยากไปด้วย ถามว่าเราจะไปวันไหนสุดท้ายก็เลยได้ไปด้วยกัน เราเริ่มออกเดินทางกันวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยรถไฟสถานีธนบุรีเป็นขบวนรถนำเที่ยว ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย มี 2 รอบ คือช่วงเช้า 7.45 น. กับช่วงบ่าย 13.55 น. เราไปกันช่วงเช้า เเต่ถ้าใครจะไปเเล้วไม่เเน่ใจเรื่องเวลาลองโทรถาม 1690 ได้

                  วันไปเกือบไม่ทันรถไฟอันที่จริงก็กะเวลาไว้เเล้วนะเเต่รู้สึกว่ามันผิดเเผนเสียเวลาตรงนั่งรถผิดนี่เเหละ  เราต้องนั่งรถเมย์สาย 68 ไปลงเเยกไฟฉายเเต่ปรากฎว่าพอขึ้นกระเป็ารถบอกคันนี้ไม่ได้ไปต้องขึ้นอีกคัน คือเเบบ!! ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันสายเเล้ว  ไหนจะต้องเผื่อเวลารถติดอีก  ก็รอ รอ รอ.. รู้สึกว่านานมากกว่าจะได้ขึ้น สุดท้ายเหลือเวลาอีก 20 นาที รถยังติดอยู่ตัดสินใจลงเลยเเล้วกันต่อเเท็กซี่เอา  พอขึ้นเเท็กซี่รถก็ติดอีก....

   

คือตอนนั้นเพื่อนก็โทรมาตามเเล้ว บอกเนี่ยรถไฟมาเเล้ว ตายๆๆ ตอนนั้นคือเบบเอาไงดีวะ พี่เเท็กซี่เลยให้คำเเนะนำว่าต่อมอตไซต์ไหม  เออ!! ทำไมคิดไม่ได้ เลยบอกขอบคุณพี่เขาไป จ่ายเงินเสร็จสรรพก็ลงรถไปโบกมอตไซต์ บอกซิ่งเลยพี่!! พี่เเกก็จัดให้เลย เอาจริงๆ ก็เเอบเสียวนะ ฮ่าๆๆๆ

 ในที่สุดก็ถึงเราก็รีบวิ่งไปเอาตั๋วเเล้วขึ้นรถไฟ  เฮ้ออออ  เอาซะเหนื่อยตั้งเเต่ออกเลย

        ดูเหมือนว่าจะมีคนไปเยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นวัยรุ่นนี่เเหละ ไปกันเป็นเเก๊ง  ตอนนั้นเรากับเพื่อนก็ถ่ายรูปกันเล่น เเล้วก็ดูวิวทั่วๆ ไป 

เรามาถึงที่สถานีน้ำตกประมาณ 13.40 เเล้วก็นั่งรถไปลงหน้าน้ำตกไทรโยคน้อยตรงข้ามจะมีร้ายขายของฝากเล็กๆน้อยๆ เเล้วก็มีเซเว่นอยู่ อ้อ! ลืมบอก รถที่ไปลงหน้าน้ำตกอยู่ตรงรถไฟจอดนั่นเเหละ  จะมีคนตะโกนบอกอยู่หรือถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็ถามคนเเถวนั้นเอาก็ได้

 เสร็จเเล้วเราก็ไปฝากท้องที่เซเว่นเเล้วรอรถบัสเพื่อที่จะไปสังขละ ตอนนั้นก็มีคนรออยู่ประมาณ2 คน สักพักก็มากันอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่นานรถก็มาเสีย130 บาท เเต่บางคันมันจะไปไม่ถึงสังขละนะ มันจะไปถึงเเค่ทองผาภูมิ ถามคนเก็บตังค์ว่าไปถึงไหนถ้าถึงเเค่ทองผาภูมิก็ให้ต่อรถไปอีก โชคดีที่คันเราถึงสังขละเลยเเต่ก็ใช้เวลานานมากเหมือนกันเพราะรถจอดรับส่งผู้โดยสารด้วยจำได้ว่าถึงประมาณ 6 โมงเย็น เรียกได้ว่านั่งจนเมื่อย  เเต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสมากนะเพราะก็มองวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย มันก็เพลินดี 

พอถึงก็นั่งมอตไซต์กันไปที่พักเลย เราจองที่พี่เกวสเฮาว์เอาไว้ ขอบอกว่าถูกมาก 250 บาท/คืน เเล้วห้องน้ำสภาพห้องนอนก็โอนะ มี 2 เตียงเป็นเเบบพัดลม เเต่ว่ามีปลั๊กเดียวถ้าจะชาร์ตเเบตหรืออะไรเยอะก็เตรียมที่ชาร์ตสำรองไปหรือจะเตรียมปลั๊กไปเลยก็ได้ 

วันเเรกเราก็ไม่ได้ไปไหนไกลเพราะมันเย็นเเล้ว เราอาบน้ำเเล้วลงไปหาอะไรกินที่ที่พักนั่นเเหละ คือบรรยากาศดีมาก ชอบ อันนี้คือตอนประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง รูปไม่สวยเท่าไหร่นะ ทนๆ ดูไปหน่อย : D 

พอกินเสร็จอะไรเสร็จเราก็นั่งเล่นเเช่สักพักเเล้วก็เดินไปสำรวจรอบๆ ที่พัก เเล้วก็ไปนั่งดูดาวใกล้ๆ จุดกางเต้นท์ คือมันสวยมากเเต่เสียดายกล้องไม่มีประสิทธิภาพมากพอ 

   เรานั่งดูกันอย่างนั้นสักพัก บางครั้งเราคุยกัน เเต่บางครั้งเราเงียบ ต่างคนต่างมองเเละซึมซับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้สลัดทุกสิ่งทุกอย่าง ความทุกข์ใจหรืออะไรก็เเล้วเเต่เอาไว้ข้างหลัง เป็นอีกครั้งที่โคตรสบายใจเลย 

                ---------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 25 พฤศจิกายน 

วันนี้เราตื่นกันตั้งเเต่ประมาณตี5 นิดๆ กะว่าจะไปเช่ามอตไซต์เเล้วขับไปที่ๆ เราตั้งใจไว้ เเต่ปรากฏว่าเจ้าของยังไม่มา ทำให้เราต้องรอ ที่จริงมันก็เป็นความผิดพลาดของเราเองที่เราไม่ถามก่อน คือมอตไซต์มันช่าได้ทั้งวันเราก็คิดว่าต้องเช่าเฉพาะวันที่จะขับไปเท่านั้นเเบบเช่าก่อนไม่ได้   ทำให้เราไปสะพานมอญช้าเเละอดดูวิถีชีวิตของผู้คนที่ตักบาตรกันตอนเช้า กว่าเจ้าของจะมาก็7 โมงเเล้ว 

เเต่ก่อนที่เราจะไปสะพานมอญ เราก็ไปวอคอินที่ชื่นใจเฮาส์เป็นที่พักอีกที่หนึ่งซึ่งไม่รับจองล่วงหน้า  ที่เราต้องวอคอินเพราะว่าพี่เกวสเฮาส์มันว่างเเค่คืนเดียว โชคดีที่ที่ใหม่มีว่างหนึ่งหลังพอดีเราก็มัดจำอะไรเรียบร้อย เสร็จเเล้วก็ไปเที่ยวอย่างสบายใจ กะว่าไปสะพานมอญเสร็จจะเก็บกระเป๋ามาไว้เลย 

นี่คือตอนมาถึงสะพานมอญเเล้วเเละกำลังข้ามไปฝั่งมอญ มีพระรูปหนึงเดินมาบิณฑบาตรพอดี  อากาศตอนนั้นก็เย็นดีเเต่ไม่ได้ถึงกับหนาวมากมายอะไร เจ้าของเกวสเฮาส์บอกว่าวันนี้หมอกน้อยอากาศไม่หนาวเเต่ถ้าเป็นเมื่อวานหนาวเเละหมอกก็เยอะกว่านี้ด้วย สรุปเรามาผิดวันใช่ไหม = =! เเต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ เราว่ามันก็สวยอยู่ดี  ตอนที่มาเรายังไม่ได้กินข้าวเช้า เลยสั่งโจ๊กกินที่ร้านพี่คนนี้ พี่เขาเป็นคนมอญ พูดเก่ง น่ารักดี กินเสร็จเราขอพี่เขาถ่ายรูปด้วยเเล้วก็พากันเดินต่อ  เดินสำรวจจนเป็นที่พอใจ กะว่าจะนั่งเรือไปดูวัดใต้น้ำเเต่เปลี่ยนใจไปเช็คเอาท์ออกก่อนดีกว่า  เเล้วขนของไปไว้ที่ชื่นใจเฮาส์ จะได้เที่ยวเเบบไม่ต้องห่วงอะไร 

    เสร็จสรรพเราขับมอตไซต์ไปเจดีย์สามองค์  เนื่องจากเราไม่รู้เส้นทางก็เลยถามเจ้าหน้าที่ตอนเช็คเอาท์ว่าไปยังไง พี่เขาก็บอกมาพร้อมให้เเผนที่มาด้วย มีการบอกปกติพี่ไม่ให้ใครนะ เห็นเป็นน้องนะเนี่ย ฮ่าๆๆ  นี่เลยพูดกลับจะเชื่อดีไหม เเล้วทุกคนก็หัวเราะ ฮ่าๆๆๆ 

 เราก็ขับไป มันเเบบสนุกเหวย ตลอดเส้นทางอากาศเย็นสบาย สองข้างทางก็มีต้นไม้ เราขับไปดูผู้คนไป บางจังหวะก็ร้องเพลงไปเรื่อย รู้สึกดีจริงๆ  เเต่ว่าจุดหมายมันก็ไม่ได้ใกล้นะเเต่เราก็ชิวๆ 24 กิโลเมตรกับมอตไซต์ นี่ถ้าเป็นเเถวบ้านอากาศร้อนๆ คงบ่นเเล้ว   ถ้าจำไม่ผิดจะมีด่านตรวจทั้งหมด 4 ด่าน ขับไปเรื่อยๆ ก็ถึง 

ในที่สุด..  ถึงเเล้ว!!  เราจอดมอตไซต์ไว้เเล้วมาศักการะ ที่จริงที่เรามาที่นี่จุดหมายหลักไม่ใช่เจดีย์สามองค์เเต่เป็นพม่า  เจดีย์สามองค์ติดกับชายเเดนพม่า  หลังจากเราไหว้เสร็จเป็นที่เรียบร้อยเราก็ไปทำหนังสือเดินทางชั่วคราว จะมีเจ้าหน้าที่อยู่เราก็ยื่นบัตรอะไรก็ได้ที่มีรูปตัวเอง ปชช. หรือ บัตรนักศึกษาก็ได้ ถ้าข้ามไปเเล้วต้องกลับมาก่อน 6 โมงเย็นเพราะด่านจะปิด 

เป็ดมาจากไหนไม่รู้  เเต่เอ๊ะ มันคือเป็ดใช่ไหม..

พอเราได้หนังสือดินทางชั่วคราวเเล้วเราก็ทำการเดินไป  ที่จริงมันจะมีวินด้วยเเต่เราเลือกที่จะเดินกัน  

บางคนก็พูดไทยได้เเต่บางคนก็พูดไม่ได้  คนที่พูดได้ก็จะพูดได้นิดหน่อย เรามีเเผนที่อยู่ในโทรศัพท์ ที่จริงก็ไม่มีหรอกเเต่ตรงด่านมันมีที่เที่ยวพร้อมเเผนที่บอกเลยถ่ายรูปไว้  ทั้งหมดมีอยู 4 ที่  เเต่เราไปกันเเค่ 3 ที่ ที่เเรกจำไม่ได้ว่ามันคืออะไรก็เดินไป  เป็นเหมือนเขื่อนประมาณนี้  ไปถึงก็ไม่คิดว่าจะใช่เเต่มันก็ใช่ ฮ่าๆๆ  งงไหม อืม นั่นเเหละ  

จากนั้นเราก็เดินไปต่อที่ที่2 คือเจดีย์ทอง ไม่รู้ว่าชื่อนี้รึเปล่านะเเต่คิดว่าประมาณนี้เเหละ รู้สึกว่าเเอบหลง หาทางไม่เจอสักที เลยไปตลาดก่อนเเล้วกัน 

ของส่วนใหญ่จะเป็นของประเทศเรานี่เเหละ  เดินดูสักพักเกิดหิวน้ำเลยซื้อโอวัลตินเย็นกิน  พี่คนขายเป็นคนไทยนี่เเหละเเต่ย้ายมาอยู่สังขละ เราก็คุยกับพี่เขาสักแปปเเล้วก็ออกเดินกันต่อ บอกเลยว่าน้ำนี่หวานมากกกกกกกกกก จนเเบบเอิ่มม พี่เขาทำนมหกรึเปล่านะ 

  จากนั้นเราก็ดูเเผนที่เเล้วกะจะเดินไปเจดีย์ทองเหมือนเดิม เเต่รู้สึกว่ามันไกลมากเเล้วก็เปลี่ยวด้วย เลยตัดสินใจกันว่าวินก็ได้ ก็บอกพี่เขาไป โชคดีที่พี่รู้ไทยนิดหน่อย  ย้ำว่านิดหน่อยจริงๆ เพราะพอขึ้นรถพี่เขาไปเเล้วเราก็ถามนั่นนี่ไปพี่เขาก็ยิ้มอย่างเดียวเหมือนตอบไม่ได้  ฟังไม่รู้งี้  ดีที่ตัดสินใจนั่งมอตไซต์เพราะมันเหมือนทางขึ้นเขาเหมือนกัน ก็ไม่ได้ใกล้  ทีเเรกพี่เขาบอกคนละ 50 เเต่เราต่อพี่เขาไปคนละ 30 พี่เขาก็ให้  ใจดีจุง : D

กว่าจะได้เห็นเเบบนี้เราก็ต้องเดินขึ้นมาอีกเหมือนเดิม  มีทั้งบันไดเเละทางลาด พี่วินจอดตรงบันไดพอดีทำให้เรามีตัวเลือกเดียว หลายขั้นมากจริงๆ ทำเอาหอบเลยทีเดียวเเต่ก็ถือว่าโอเค ได้เห็นวิวในเเบบมุมกว้าง  ใจจริงอยากจะกู่ร้องตะโกนออกไปเเต่มันไม่ได้มีเเค่เราคนเดียวน่ะสิ 

สักพักเราก็จะกลับเเล้วเเต่เราทั้งสองไม่อยากเดินลงเเล้ว เลยไปขอติดรถคนที่มาเที่ยวกลับลงไปด้วย 

พอลงไปข้างล่าง ตรงทางเเยกระหว่างกลับด่านกับตลาด พวกคุณลุงเขาจะไปตลาดกัน เราก็เลยลงตรงนั้น พอบอกขอบคุณเสร็จสรรพก็เดินกันต่อ 

    ที่นั่นคือแอบแปลกใจนิดนึงว่าทำไมเขาบีบเเตรอะไรกันขนาดนั้น  คือบีบเเตรบ่อยมาก เเละเยอะมาก  ไม่มีช่วงไหนที่จะไม่ได้ยินเสียงเเตรรถ จนบางทีสงสัยว่าเอ๊ะเราทำอะไรผิดรึเปล่า เเต่จริงๆเเล้วไม่ใช่  เพราะตอนที่ซื้อน้ำคุยกับคนขาย คนขายบอกว่าเป็นเหมือนกันช่วงเเรก จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก

 

เเละในที่สุดเราก็ขับมอตไซต์กลับกัน  เเต่ในระหว่างทางเราก็เเวะน้ำตกซองกาเลีย ซึ่งอันนี้อยู่ในเขตของไทยเเล้ว น้ำเย็นมากกก  มีนักท่องเที่ยวมาเล่นพอสมควรเเต่ก็ไม่ได้เยอะมาก กำลังดี 

 

เมื่ออยู่ซึมซับอากาศ  เอาเท้าเเช่น้ำเป็นที่เรียบร้อยเราก็กลับกัน  ก่อนจะไปสะพานมอญเพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ตกเราก็หาอะไรกินเพราะยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย 

เรานั่งกินขนมจีนหยวกกล้วยเขาบอกว่าถ้ามาต้องลองกิน ก็อร่อยนะ  มันเเบบรสชาติเเปลกๆ เเต่อร่อย สำหรับเราเราชอบนะ จากนั้นก็ไปสะพานมอญอีกรอบ คราวนี้ก็นั่งเรือไปวัดใต้บาดาล ลำหนึ่ง 5-6 คน 300 บาท เเต่เรามีกันเเค่2 คน พี่เขาก็ลดให้เหลือ 200 บาท  อิ๊อิ๊  ^^ เเต่ก็เกือบจะไม่ได้ไปเเล้วเเหละ  ตอนนั้นก็มีคนไปดูเหมือนกัน เราถ่ายรูปเล่นกันไปบางช่วงก็ผลัดกันถ่ายพยามเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด  เเต่ยังไงก็ตามเราว่ารูปภาพมันเป็นตัวบันทุกเรื่องราวผ่านความทรงจำก็จริงเเต่คงไม่ดีเท่าความทรงจำในจิตใจของเราเองหรอก  ถ้าเรามองผ่านรูปภาพ  เที่ยวผ่านรูปภาพเเต่ไม่ออกไปสัมผัสเองเราว่ามันก็เเค่นั้น  ออกไปเถอะ  ออกไปสร้างความทรงจำด้วยตัวเอง 

 พอเรากลับเราก็ไปตลาดหาของมากินที่ห้อง เเล้วก็ถือโอกาสไปเดินเล่นด้วย

เจอเเล้ว!! ของกินที่ตามหาที่พม่าเเต่ดันไม่ทันเพราะเขากลับไปเเล้วในที่สุดเราก็ได้กิน  มันเป็นเหมือนหมู เนื้อ ตับ เเล้วก็มีอย่างอื่นด้วย เป็นชิ้นๆ เสียบไม้  ไม้ละบาท เขาบอกให้ได้อรรถรสต้องยืนกินมันนั้นเเหละ  เเต่ร้านนี้เขามีเก้าอี้ให้นั่ง อร่อยอีกเหมือนกัน  ชอบบบบบ 

พอได้ของกินเราก็กลับที่พักไปชื่นใจเฮาส์ของเรากันดีกว่า  เเล้วกินข้าวเสร็จ อาบน้ำอะไรเรียบร้อยก็จะออกไปนั่งเล่นที่ร้านเจ้าของที่พักนี่เเหละ  เป็นที่จัดให้เเขกไว้นั่งเล่น  มีทีวี หนังสือ  หรือจะสั่งเครื่องดื่มมากิน เเต่โซนเครื่องดื่มปิดเเล้วเพราะตอนนั้นมัน 3 ทุ่มเเล้ว 

คุยเล่นกับพี่เขาสักพัก เสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะๆ รู้สึกจะคุยกันถูกคอ จนเวลาล่วงเลยมา5ทุ่มเราก็กลับที่พัก ไปเอากล้องที่ชาร์ตไว้เเล้วมานั่งดูดาวกัน   

กว่าจะได้รูปนี้นี่เล่นเอานานเหมือนกัน เเต่พอได้มาเเล้วก็ไม่ใช่ว่าจะดีเเต่ก็เอาเถอะขี้เกียจถ่ายเเล้ว  มานอนดูดาวดีกว่า  อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้มากๆ เเต่กล้องมันไม่สามารถจริงๆ

สวยมาก..

ถ้าอยู่บ้านคิดว่าคงไม่ได้เห็นหมู่ดาวขนาดนี้เเน่ๆ  รู้สึกชอบมากๆ อยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยเเต่เพราะงบที่มีจำกัดทำให้ต้องกลับเเล้ว  เเต่คิดว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่มาเเน่นอน 

วันรุ่งขึ้นเราตื่นกันประมาณตี5 กว่า อาบน้ำเก็บสัมภาระ เตรียมเอามอตไซต์ไปคืนพีเกวสเฮาส์ 

หลังจากที่คืนเรียบร้อยเเล้ว  รถบัสที่จะเข้าเมืองกาญจ์ออก 8 โมง เราเลยโทรหาพี่วินให้มารับตอน 7.30 ดีที่พี่เขาให้เบอร์ไว้ตอนขามาที่มาส่ง ก็ยังมีเวลาเหลือเราเลยไปถ่ายรูปเก็บไว้  คือวันที่จะกลับหมอกลงเยอะมาก  มันดีมากจนอิดออดไม่อยากกลับเเล้วจริงๆ 

เเละเเล้วทริปนี้ก็จบ ถึงเเม้ว่าจะไม่อยากให้จบ

ถ้าใครเข้ามาอ่านถึงเเม้ว่าจะหลงเข้ามาก็ขอบคุณนะคะ อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ขอโทษด้วย 

 อยากจะทำอะไร ทำเถอะ ตราบใดที่มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ออกไปเติมสีสันหาความสุขให้กับชีวิตบ้าง  

 ถ้าใครมีเเพลนจะไปไหนเเล้วชวนได้นะ ถ้าไม่ติดอะไรเราก็จะไป  อุปสรรคสำคัญที่สุดของเราคือเงินนอกนั้นเกินร้อย ฮ่าๆๆๆ  ชีวิตให้สิ่งพิเศษในการใช้ชีวิตมาเเล้ว ใช้มันซะ

ลุยเลยพวก!!    : D