Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
ดอยหลวงเชียงดาว ใครๆก็เรียกที่นี่ว่าสวรรค์ ยอดดอยหลวงเชียงดาว 2225 m.
    • Posts-1
    Natthikan •  February 15 , 2018

    วางแผนไปดอยหลวงเชียงดาว

    ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกมาที่นี่ คำตอบคือ เพื่อนค่ะ เพื่อนชวนมา แต่สุดท้ายเพื่อนที่ชวนเรามาก็ไม่ได้มา
    ทริปนี้ลงเอยที่ 4 สาวค่ะ เลยได้Hashtag ว่า #ทริปสี่สาวคนโฉดเห้ยโสด
    ทริปนี้คือว่าเป็นทริปที่สบายกว่าภูกระดึงเยอะมากเลยค่ะ ทางเดินสบายมากค่ะ วิวหลักล้านตลอดเส้นทางค่ะ 

     

    ทำยังไงถึงจะได้ไปเที่ยวที่ดอยหลวงเชียงดาว ??

    ก็โทรไปจองธรรมดาๆนี่แหละค่ะ
    ถ้าอยากไปวันเสาร์ - อาทิตย์ ต้องโทรไปจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือนค่ะ 
    นอกนั้นก็จองอย่างน้อย 1 เดือนก็พอค่ะ

    วิธีการจอง มีอยู่ 2 แบบค่ะ

    1.ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวโดยตรง
    สามารถโทรฯสอบถามได้ที่เบอร์ 053-456-623 หรือ 081-111-6203 ซึ่งเป็นเบอร์ของเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ชื่อ คุณนงเยาว์ ค่ะ
    การจองผ่านเจ้าหน้าที่ คุณต้องเตรียมสัมภาระส่วนตัวและส่วนรวมไปเองนะคะ ทั้งเต็นท์ ส่วนเรื่องของลูกหาบและรถ 4WD สามารถติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ 

    2.ติดต่อกับทัวร์ชาวบ้าน 
    มีให้เลือกเยอะมากค่ะ เช่น Chaing Dao Camping (ติดต่อได้ในเพจ facebook) , ลุงแกละแปดริ้ว 081-993-8397 ,Ashi Guesthouse ChiangDao ซึ่งเปิดเป็น Guest house เขาก็มีบริการทัวร์ขึ้นดอยหลวงเชียงดาวเหมือนกันค่ะ (ติดต่อได้ที่เพจ facebook), หรืออื่นๆ อาจจะสอบถามได้ที่ เบอร์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวก็ได้ค่ะ

    การจองผ่านทัวร์ คุณแค่เตรียมสัมภาระส่วนตัว และเงินขึ้นไปก็พอ นอกนั้นทีมงานทัวร์จัดให้หมดทุกอย่างค่ะ เต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน แสงสว่าง อาหาร 4 มื้อแบบไม่อั้น กาแฟ โอวัลติน น้ำดื่ม น้ำใช้ และการนำทาง หากต้องการลูกหาบแบกของส่วนตัวให้ด้วยก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะคะ 

    ทีมของเราเลือกที่จะซื้อทัวร์นะคะ เพราะจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับการจัดหาอาหาร และอื่นๆ เรียกได้ว่าทริปนี้อยู่กินอย่างสบายสุดๆ แถมสนุกด้วย(แน่นอนค่ะ ไปเที่ยวไม่สนุกได้ยังไง อย่างน้อยๆก็เป็นการมาเปิดสมอง เปิดปอดค่ะ)

    ทัวร์ที่เราเลือกเป็นทัวร์ของลุงแกละแปดริ้วนะคะ (ไม่ทราบที่มาที่ไปเหมือนกันว่าทำไมต้องแปดริ้ว ใครจะไปซื้อทัวร์ลุงแกละ ฝากถามแกให้หน่อยนะคะ) ลุงเป็นคนที่อยู่ในชุมชนแถวนั้นมานานค่ะ ถามเรื่องประวัติของที่นี่ แกตอบได้อย่างฉะฉานเลยค่ะ แล้วก็คุณลุงจัดแจงให้ทุกอย่างค่ะ แค่เราส่งรายชื่อสมาชิกในทีมไปค่ะ แล้วจะขึ้นวันไหน กี่วัน ก็จะเหลือแค่รอวันเตรียมตัวขึ้นแค่นั้นค่ะ 

    อะไรที่ทำให้ต้องเลือกลุงแกละ (ลุงแกละ นะคะ ไม่ใช่ลุงแกะ) 
    1.ได้เบอร์แกมาเป็นเจ้าแรก
    2.คิดว่าราคาคงแตกต่างกันไม่มากค่ะ  ขี้เกียจโทรหลายๆเจ้าค่ะ ฮ่าๆ
    3.คุยถูกคอค่ะ คุณลุงใจดีค่ะ คือเราร่ำไรเรื่องโน่นนี่นั้นกับคุณลุงบ่อยมากค่ะ คุณลุงก็ยินดีให้คำแนะนำค่ะ

    ค่าใช้จ่ายของทัวร์ลุงแกละ ก็ขึ้นกับจำนวนสมาชิกนะคะ ไปน้อยก็เหมือนว่าตัวหารจะน้อย ก็จะต้องจ่ายน้อย เป็นเรื่องธรรมดาๆ  ^^  (เรื่องนี้ต้องต่อรองกับลุงแกละนะคะ)

    ส่วนของเส้นทางการเดิน เราไว้ใจลุงค่ะ ลุงจะพาไปทางไหนก็ไปกะลุงค่ะ 55555  จริงๆก็หาข้อมูลคราวๆ ว่าต้องเดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัด และลงทางปางวัว ค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ลุงไปไหนไปกะลุงค่ะ 555

    เมื่อเราสรุปว่าจะใช้ชีวิตบนเขายังไงเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

    • Posts-2
    Natthikan •  March 02 , 2018

    การเดินทางไปเชียงใหม่ เที่ยวนิมมาน กินอย่างอิ่มหน่ำสำราญ

    ด้วยความที่จองช้าค่ะ (ขนาดจองล่วงหน้า 1 เดือนกว่าๆ ยังไม่ได้ขึ้นวันเสาร์ ลง วันอาทิตย์เลยค่ะ) เราเลยได้ขึ้นวัอาทิตย์ที่ 28 ม.ค.61 และลงวันจันทร์ที่ 29 ม.ค. 61 ค่ะ จำเป็นต้องลางาน 1 วันค่ะ และลาโดยไม่ลังเลเลยค่ะ แต่ไหนๆจะไปเที่ยวแล้ว ออกจากบ้านมันตั้งแต่วันศุกร์เลยละกันค่ะ 

    การเดินทาง กทม.-เชียงใหม่ 
    จุดเริ่มต้นการเดินทางก็ต้องเป็นหมอชิตสิคะ จะที่ไหนล่ะ ไปแบบงบน้อยค่ะ 
    เราเลือกใช้บริการของนครชัยร์แอร์ค่ะ เราเลือกแบบเป็น Gold Class ค่ะ ราคาอยู่ในระดับปานกลางนะคะ ที่นั่งเป็นเบาะนุ่มๆค่ะ เก้าอี้ปรับระดับได้ มีเพลงมีหนังให้ฟัง มีของขนม นม กับผ้าเย็นแจกค่ะ เนื่องจากรอบรถที่เราจองมันเป็นรอบ 23.00 ซึีงมันเลยเวลากินอาหารเย็นมาแล้ว เลยได้เป็นเบอร์เกอร์ไก่มาแทนค่ะ 

    ไม่แน่ใจว่ารอบอื่นเป็นมั้ย รอบที่เราไป Delay ไปประมาณ 10 นาทีได้ ฮ่าๆ ถ่ายรูปรอวนไปค่ะ

     

    พวกเราออกเดินทาง 23.10 ถึงจุดจอดรถของนครชัยแอร์ประมาณ 8.00 ค่ะ 
    จากนั้นเราก๋็จัดทัวร์ในนิมานก่อนเลยค่ะ เป็นการฆ่าเวลาค่ะ จริงๆแล้ว เราไม่ได้แพลนเรื่องนี้เอาไว้ค่ะ กะว่าพอถึงเชียงใหม่แล้วก็จะเดินทางไปเชียงดาวเลยค่ะ ฮ๋าๆ เพื่อนๆเลยแนะนำว่าหาที่อาบน้ำ กับกินข้าวก่อน เลยเกิดเป็นทริปทัวร์นิมมานขึ้นค่ะ 

    เนื่องจากพวกเรา backpack ไป เลยต้องใช้บริการรถสาธารณะค่ะ แต่เป็นสาธาณะแบบ Exclusive ในราคาย่อมเยาค่ะ นั่นก็คือ Uber และ Gab Taxi ต้องขอบคุณ Technology ทีทำให้เราใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายค่ะ 

    ก่อนที่จะไปเชียงดาวขอรีวิวร้านอาหารในนิมมานนิดนึงนะคะ โดยส่วนตัวไม่เคยมาเที่ยวเชียงใหม่เลยค่ะ ในขณะที่เพื่อนๆในทริปเคยมากันหมดแล้ว ดังนั้นในส่วนของทริปในเมืองนั้น ต้องยกให้เพื่อนเป็นแกนนำเลยค่ะ 

    ที่นี่ดูเหมือนกรุงเทพฯ เลยค่ะ มีรถติด อากาศร้อน แล้วก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนว Street ค่ะ แต่ดูสะอาดตามากกว่ากรุงเทพฯ นะคะ คราวหน้าถ้าได้มาอีกอยากมาดูว่ากลางคืนจะขวักไขว่กว่านี้มั้ย 

    กว่าพวกเราจะอาบน้ำกันเสร็จก็เกือบ 11 โมงแล้วค่ะ เราเลยไปจัดคาเฟอีนกันก่อนมื้อหลักเลยค่ะ  
    ร้านแรกค่ะ RISTR8TO จัดมาเลยค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะว่าชื่อเมนูว่าอะไร รู้สึกว่าจะเป็น Mocca อะไรซักอย่าง ต้องขอโทษเจ้าของร้านด้วยนะคะ 

    แต่จำได้ว่ารสชาติเข้มได้ใจมากเลยค่ะ จากที่หิวโหยกาแฟ กลายเป็นตื่นเลยค่ะ ฮ่าๆ 

    ร้านที่ 2 ค่ะ เป็นของหนักแล้วค่ะ ไปถึงนิมมาน เพื่อนแนะนำว่าต้องกินข้าวซอยค่ะ หน้านี่ต้องมุ่งไปร้านข้าวซอยนิมานเลยค่ะ  เมนูข้าวซอยมีให้เลือกเยอะเลยค่ะ ทั้งไก่ ทะเล ใส้อั่ว หมูทอด เรากลัวไม่ได้ลิ้มรสให้ครบทุกรสชาติเราเลยเลือกแบบรวมมิตรเลยค่ะ อร่อยยยยยยยยยยย 

    ร้านที่ 3 กินของคาวมาแล้วเราก็ต้องตบด้วยของหวานค่ะ จัดไปค่ะ ร้าน Iberry อันโด่งดังของพี่โน๊ตอุดม คือมองปุ๊ปก็รู้ปั๊ปเลยว่าต้องเป็นร้านของพี่โน๊ตแน่ๆ ของประดับตกแต่งในร้านนี่ Style พี่โน๊ตเลย เหมือนเรานั่งอยู่ใน Gallery art hall ของพี่แกเลยค่ะ เนื่องจากจัดคาเฟอีนไปแล้วร้านแรก ร้านนี้ก็เบาๆกับเมนูโกโก้ร้อนค่ะฟินมากค่ะ 

    เพื่อนเราชอบถ่ายรูปค่ะ และพวกนางอัพ IG Facebook ไวมากค่ะ ส่วนเราต้องรอมาอัพที่บ้านฮ่าๆ ยังไม่มี investment สำหรับอุปกรณ์New technology ค่ะ 

    เมื่อท้องอิ่ม พลังเราก็มาแล้วค่ะ พร้อมเดินทางไปเชียงดาวแล้วค่ะ ^^

    • Posts-3
    Natthikan •  March 03 , 2018

    เดินทางไปเชียงดาว

    จากเชียงใหม่ไปเชียงดาว เราต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งช้างเผือกค่ะ เดินทางไปขนส่งช้างเผือกยังไง ก็ง่ายๆค่ะ Uber เลยค่ะง่ายสะดวกราคาประหยัดค่ะ 

    พอถึงขนส่งช้างเผือกเราก็ต้องไปซื้อตั๋วนะคะ บอกเขาว่าจะไปเชียงดาวค่ะ เขาจะแนะนำให้เราไปลงโลตัสเชียงดาวค่ะ เราก็คุยกับเขาขอให้บอกด้วยถ้าถึงโลตัสแล้ว ราคาค่าโดยสาร 40 บาทค่ะ หน้าตาตั๋วก็เหมือนๆกับตั๋วรถเมล์ในกทม.อ่ะค่ะ แต่ได้มาหลายใบเลยค่ะ ได้แล้วก็เก็บไว้กับตัวนะคะ เพราะบางคันจะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจนะค่ะ 

    รถที่เราต้องขึ้นคือรถเชียงใหม่-ท่าตอนนะคะ เป็นรถแบบ Open air ให้อารมณ์คลาสสิกสุดๆค่ะ เริ่มเป็น Backpackขึ้นมาแล้วค่ะ รถจะออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมงค่ะ คนเต็มรถไวก็จะออกก่อนครบครึ่งชั่วโมง ถ้าคนไม่เต็มรถก็จะออกทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ .

    ชาวบ้านแถวเขาก็ใช้บริการกันเยอะนะคะ ส่วนใหญ่ก็ชาวบ้านนั่นแหละค่ะ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีเท่าไรจะว่าไปก็ทั้งคันดูเหมือนจะมีแต่แก๊งเราที่ดูเป็นนักท่องเที่ยวนะคะ และด้วยความที่ชาวบ้านใช้บริการเยอะ เขาก็จะหอบของกันเยอะเลยค่ะ มีเป็นลังใหญ่ๆก็มีค่ะ พวกของที่เป็นชิ้นใหญ่ๆ ที่เราไม่สามารถเอาขึ้นรถไปด้วยได้ เขาก็ให้เอาไปไว้ในช่องเก็บของด้านข้างรถนะคะ รวมทั้งกระเป๋าของเราด้วย มันใหญ่มากจริงๆ^^  ที่สำคัญอย่าลิมเอาบัตรประชาชนพกติดตัวไปด้วยนะคะ บางคันจะมีเจ้าหน้าที่ทหารขึ้นมาตรวจบัตรประชาชนนะคะ 

    ระยะเวลาจากช้างเผือกไปเชียงดาวก็ราวๆ 1.5-2 ชั่วโมงค่ะ เขาก็ขับไปเรื่อยๆค่ะ ระหว่าทางเราก็แอบพักสายตานิดนึงค่ะ 555 รถเขาก็ขับไปแบบไม่รีบร้อนค่ะ พวกเราเลยให้ชื่อรถว่า รถหวานเย็น ฮ่าๆๆ คือไปแบบเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบอะค่ะ  

    จริงๆก็ไปโดยไม่มีรายละเอียดข้อมูลมากอ่ะนะคะ ส่วนใหญ่ถามจากลุงแกละเอาค่ะ 5555 ไม่รู้ว่าต้องขึ้นรถอะไร ไม่รู้ว่าจะต้องมาขนส่งช้างเผือกยังไง รอบรถมีเวลาไหนบ้าง ไม่รู้ว่าหน้าตาโลตัสเชียงดาวจะเป็นยังไง เน้นไปตายเอาดาบหน้าเอาค่ะ ฮ่าๆ ก็สนุกไปอีกแบบนะคะ

    พอเห็นเป็นป่าเขา พวกเราก็ใจจดใจจ่อมากค่ะ อยากรู้ว่าโลตัสเชียงดาวหน้าตาเป็นไง ใหญ่โตมากมั้ย มาสร้างได้ไงในหุบเขาแบบนี้ ตื่นเต้นมากค่ะ เราถึงกับเปิด GPS ไว้เลยค่ะ พอ GPS แจ้งว่าอีก 20นาทีจะถึง เราก็โทรให้ลุงแกละออกมารับค่ะ จริงๆวันนั้นแกติดธุระนะคะ แต่แกก็ให้ทีมงานของแกมารับแทนค่ะ เห็นมั้ยคะลุงใจดีจริงๆ

    สรุปโลตัสที่เราเฝ้ารอจะได้เห็นก็เป็นโลตัส Express เล็กๆ ธรรมดาๆ ค่ะ ฮ่าๆๆๆ จะตื่นเต้นทำไมเนี่ยยยย ตื่นเต้นจนลืมถ่ายรูปมาเลยค่ะ 55555 พอเราลงจากรถปุ๊ป ก็มีรถกระบะ 4WD ที่ลุงแกละให้มารับเราเข้ามาจอดเท่ียบเราเลยค่ะ 

     

     

    พอมาถึงเชียงดาวรู้สึกได้เลยนะคะว่าอากาศดีมากๆ เงียบสงบ แล้วก็มีภูเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลัง เป็นวิวที่สวยมากๆค่ะ โดยเฉพาะช่วงที่เราไปพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วค่ะ เลยได้ภาพที่เป็นแสงอาทิตย์ลดออกมาจากเทือกเขาค่ะ 

    คืนนั้นเราไม่ได้นอนที่บ้านลุงแกละนะคะ ไม่แน่ใจว่าลุงแกละแกจะมีที่ให้นอนมั้ย 55555  เราเลือกนอนที่บ้าน Ashi ค่ะ เป็น Grues house ค่ะ เป็นกันเองมากๆค่ะ คือเราเลือกนอนเป็นห้องพักเลยค่ะ ราคาถูกค่ะ เมื่อเทียบกับรีสอร์ทในระแวกนั้น แล้วก็ใกล้กับวัดถ้ำเชียงดาวด้วยค่ะ เดินไปแค่ไม่ถึง 100 เมตร ก็ถึงวัดแล้วค่ะ แต่ว่าเราไปช้าเกินไป วัดปิดค่ะ ไม่อนุญาตให้เข้าไปในถ้ำแล้วค่ะ แต่ด้านนอกมีบ่อน้ำมหัศจรรย์นะคะ น้ำในบ่อจะเป็นสีฟ้าตลอดทั้งปีเลยค่ะ สวยงามมากๆ คิดว่าถ้าได้ไปอีกก็คงจะไปเข้าถ้ำค่ะ

    ขอย้อนกลับมาที่บ้าน Ashi นิสนึงนะคะ เราติดต่อจองบ้าน Ashi ผ่านทาง Facebook ค่ะ แล้วก็จัดแจงโอนเงินแล้วก็จองเลยค่ะ  Ashi Guesthouse ChiangDao

    ส่วนของเรื่องอาหารมื้อเย็น เราเลือกเป็นเมนูชาบูชุดใหญ่กับปลาเผา ที่จัดโดยบ้าน Ashi ค่ะ  มื้อเช้าเป็นข้าวต้มกับกาแฟ นะคะ อิ่มอร่อย นอนหลับสบายยยยย ท่ามกลางวิวสวยหลังหลายล้านคุ้มค่ามากค่ะ

    แนะนำว่ามื้อเช้ากินให้อิ่มนะคะเวลาขึ้นเขาจะได้ไม่หน้ามืด เป็นลม หรือจะอ้วกนะคะ ^^ กินให้อิ่ม ห้ามกินน้อยๆ ให้กินให้อิ่มนะคะ เน้นค่ะ กินให้อิ่ม

    วิวดอยเชียงดาว จากบ้านอาชิค่ะ มองจากระเบียงหน้าบ้านออกมาก็เห็นวิวแบบนี้เลย ฟินสุดๆค่ะ และได้กินข้าวต้มร้อนๆ แล้วก็ดูวิวนี้ไปด้วย ตบท้ายด้วยกาแฟอุ่นๆ โอ้วโห้ววววว อย่ามัวแต่คิดภาพตามนะคะ รีบโทรไปจองบ้านพักเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
    บ้าานอาชิค่ะ 

    • Posts-4
    Natthikan •  March 03 , 2018

    ถึงเวลาพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว

    โม้มาตั้งนานนะคะ เข้าเรื่องได้ซักที คุณพี่โฟล์วีลที่มารับเราเมื่อวาน เข้ามารับเราที่บ้านอาชิ 8.30 ตามที่นัดกันไว้ 

    ขอเล่าเรื่องช่วงเวลาก่อน 8.30 ก่อนก็แล้วกันค่ะ อย่างที่รู้กันว่าบนเขาที่เราจะไปนอนกันนั้น ไม่มีห้องน้ำที่ถูกต้องตามหลักอนามัย พวกเราเลยตกลงกันว่าต้องเอาอนาคอนด้าออกไปเพื่อให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้ไปปวดด้านบน ฮ๋าๆ หลังจากกินข้าวกันเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายเลยค่ะ ห้องน้ำของใครของมัน ใครไม่ปวดก็ต้องไปนั่งเพื่อบิ้วให้มันออกมา ฮ่าๆๆ ใครเสร็จก่อน ก็ออกไปรอก่อน ฮ่าๆๆๆๆ แล้วก็ไลน์ในกรุ๊ป รายงานสถานการณ์ของแต่ละคนว่ามันออกมารึยัง ฮ่าๆๆๆๆ และไม่ได้มีความเกรงเพื่อนคนอื่นที่อยู่ในกรุ๊ปเลย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอมาคิดย้อนหลัง มันทำให้เรานั่งยิ้มคนเดียวจนแม่หาว่าเราบ้า  ฮ่าๆๆๆ เราเชื่อว่าทุกคนกับเพื่อนๆต้องเคยทำเหมือนกันแน่ๆ 

    8.30 เรานั่งรถไปที่ร้านลุงแกละ เป็นการเจอลุงแกละครั้งแรก และในรูปทุกใบที่ถ่ายมาทั้งทริปไม่มีรูปลุงแกละเลย ลุงไม่สูงเท่าไร เป็นคนมีเนื้อมีหนัง มีหนวดเคราเยอะค่ะ แต่ไม่ค่อยมีผม ฮ่าๆๆ 

     ลุงแกละชี้แจงโน่นนี่ แจกข้าวกลางวันที่ต้องไปกินระหว่างทาง แล้วก็แนะนำทีมงานให้รู้จัก ถามว่าจำได้หรือ จริงๆก็จำได้นะคะ มีลุงดำเป็นคนนำทาง ลุงแก้วเป็นพ่อครัว แล้วก็มีคุณพี่ลูกหาบที่เราจ้างมาเพิ่ม 1 คน คนนี้แหละ เราจำชื่อไม่ได้ เพราะตลอดทางเราตั้งชื่อให้เค้าใหม่ค่ะ เพราะว่าหน้าตาพี่แกเหมือนกับหัวหน้าที่เป็นคนญี่ปุ่นที่บริษัทที่ชื่อ คาซึยะ ฮ่าๆ เลยเรียกแกว่าที่คาซึยะ ค่ะ ฮ่าๆ 

    ลุงแกละแกไม่ได้ขึ้นไปกับเราด้วย แกทำหน้าตาแบบจริงจังแล้วก็พูดว่า กลางทางอ่ะ ห้ามฉี่นะ  เราก็คิดในใจเลยเห้ยยย อะไรว่ะ แล้วถ้าปวดขึ้นมาจะทำยังไงอ่ะ เรากับเพื่อนนี่แบบว่าทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วแกก็พูดขึ้นมาว่า กลางทางอ่ะ คนเขาเดินกันเยอะ ถ้าปวดให้ไปข้างทาง ฮ่าๆๆๆ พวกเราก็อ๋ออออ แล้วก็หัวเราะกัน แหม่ มาเจอลุงแกละครั้งแรก ลุงก็ยิงไป 1 นัดด้วยมุขพื้นๆ ที่เราตามไม่ทัน ถือว่าเป็นการเริ่มเดินขึ้นเขาที่ดี

    นอกจากเรา 4 คนแล้วยังมี สมาชิกอีก 3 คน ที่จะนั่งรถและเริ่มเดินไปกับเรา เมื่อสมาชิกพร้อมก็ขึ้นรถได้เลยค่ะ พวกเรา 4 คนขอนั่งหลังเพื่อขอสัมผัสบรรยากาศให้เต็มที่ แล้วก็ให้ลุงแก้วกับลุงดำเข้าไปนั่งด้านในสบายๆ 

    เราใส่เสื้อยืดบางๆ กางเกงเลกกิ้ง เพื่อให้เหมาะแก่กางเดินป่า แต่หารู้ไม่ว่าระหว่างทางที่ต้องนั่งรถไปที่จุดเริ่มเดินแม่งโคตรหนาวเลย ต้องผ่านหมอก และลม โอ่วโหว นั่งตัวเป็นกุ้งต้มสุกเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ 

    พวกเรานั่งรถไปที่จุดเริ่มเดินเด่นหญ้าขัดค่ะ เส้นทางมี2 แบบค่ะ แรกๆ จะเป็นถนนราดยาง หลังๆเป็นถนนที่ไม่ได้ราดยาง ไม่เหมือนลูกรังเหมือนบ้านนอกแถบอีสานนะคะ เอาเป็นว่าอธิบายไม่ถูก ไว้ไปลองสัมผัสเองนะคะ แต่ต้องบอกเลยว่าถือว่าเป็นการวอร์มเอวไปในตัว

    พอไปถึงจุดเริ่มเดิน มีต้นนางพญาเสื้อโคร่งเรียงรายอยู่ตรงทางเข้าพอดี สวยงามมากค่ะ ไม่รอช้าค่ะ พวกเรารีบไปถ่ายรูปกันเลยค่ะ และถ่ายกันนานจนลุงแกต้องเรียกให้ไปได้แล้วเด่วไปถึงด้านบนช้าาา ฮ่าๆ 

     

    เริ่มเดินกันได้แล้วนะ ระหว่างทางขอแนะนำให้นำกล้องของคุณออกมาStand by ไว้เลยนะคะ คือมันสวยมากๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน สวยมากจริงๆ ทางก็เดินง่ายมากค่ะ ไม่ชันมาก แต่ก็มีจุดที่เรียกว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ถือว่าชิวๆนะคะ ระหว่างทางอย่าลืมหันมามองด้านหลังด้วยนะคะ เพราะว่าฉากด้านหลังสวยมากกกกก โดยเฉพาะ ตรงเขาสามที่น้อง เขาพีระมิด สวยสุดๆ วิวดี แสงได้ ภาพก็สวยค่ะ

    เดินชมวิวมาเรื่อยๆ เราก็มาเจอกับสามแยกอ่างสลุง เป็นสามแยกที่แยกออกไปสามทาง (จะย้ำทำไม ฮ่าๆ) คือเด่นหญ้าขัดที่เราเดินมา ตรงไปเป็นอ่างสลุง ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นปางวัวซึ่งเป็นทางลง ใครจะลงไปทางปางวัวแล้วก็ขึ้นมาใหม่ก็ได้นะ ฮ๋าๆ มาถึงจุดนี้ เราก็กินข้าวกันเลยค่ะ อาหารที่ลุงแกละเตรียมไว้ให้ เป็นข้าวเหนียว ไส้อั่ว หมูทอด แล้วก็น้ำพริกปลาร้า มันอร่อยค่ะ อร่อยมากๆค่ะ งง ทำไมน้ำพริกธรรมดาๆ ถึงได้อร่อยขนาดนี้ ฮ๋าๆๆ 

    เดินมาอีกนิดก็เจอกับนี่ค่ะ เขาสามพี่น้อง ถ้าเรามองจากยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้วจะอ๋อ ตรงนี้นี่เอง 

    ด้านหลังนี่ก็ยอดเขาพีระมิดค่ะ ตอนนี้ยืนพักเหนือยอยู่ใต้ต้นสนค่ะ แล้วก็ยืนนานเลยค่ะ ที่นานไม่ใช่อะไร ยืนถ่ายรูปค่ะ ถ่ายวนไปค่ะ จนกว่าจะครบ 4 คน แล้วไม่ใช่แค่คนละรูปนะ ฮ่าๆๆๆ จนพี่ลูกหาบบอกย้ำหลายรอบว่าใกล้จะถึงที่พักแล้วนะ 

    เราไปถึงที่พักกันประมาณบ่ายสองครึ่งค่ะ ก็แบบเดินชิวๆ ไม่รีบ ก็จะช้าประมาณนี้แหละค่ะ ทริปนี้เน้นถ่ายรูปค่ะ

    จริงๆแล้วเรามีความตั้งใจจะรีวิวห้องน้ำด้วย ฮ่าๆๆ แต่จากสภาพแล้วถ้าไปเก็บรูปด้านในด้วยจะหลอนเอา เพราะด้านในมีอนาคอนด้า ใหญ่มากด้วย นางส่งกลิ่นด้วย เลยเอาเป็นว่าถ่ายแค่ด้านนอกละกันเนาะ 

    อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไปด้วยถ้าจะไปเข้าห้องน้ำ
    1.ทิชชูเปียก 
    2.ไฟฉาย(ถ้าไปเข้าตอนกลางวันก็ไม่ต้องเอาไปนะคะ เพราะด้านบนมันเปิดโล่ง)

    วิธีการก็ง่ายๆ ถอดกางเกง ทำธุระไม่ว่าจะหนักหรือเบาก็จัดมันตรงนี่แหละค่ะ แล้วก็เช็ด แล้วก็ทิ้งลงหลุมนั่นแหละค่ะ แล้วก็ใส่กางเกง แล้วก็ออกมา

    คำแนะนำเพิ่มเติมคือ
    1. ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็ให้เพื่อนดูต้นทางให้ แต่ถ้าไม่มีแล้วได้ยินเสียงเหมือนคนมา ก็ตะโกนบอกเขาว่าเราอยู่ในนี้นะ ไม่งั้นเวลาไปเจอกันที่อื่นจะนึกถึงโมเม้นนี้เป็นโม้เม้นแรกเลยนะ ฮ่าๆๆๆ 
    2. ถ้าไปตอนกลางคืนก็เอาไฟฉายไปด้วย หลังจากที่เล็งเรียบร้อยแล้ว ก่อนถอดกางเกงก็ปิดไปฉายซะ เพราะว่าคนด้านนอกเขาจะมองเห็นเรา อิอิ เด๋วได้หลอนกันทั้งคณะ ฮ่าๆๆๆ


    หลังจากที่เราทำภาระกิจส่วนตัวเรียบร้อยบวกกับพักให้หายเหนื่อย 16.00 เราก็เริ่มเดินทางต่อไปพิชิตดอยหลวงเชียงดาวกัน เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกกันค่ะ 

    เส้นทางชันค่ะ มีหินก้อนใหญ่ๆ ให้เราต้องปีนป่ายกันด้วย สนุกมากกกก แต่ก็เหนื่อยมากด้วย เพราะด้านบนสูงร่วม 2 พันกว่าเมตรแล้ว อากาศก็จะน้อย บวกกับเราเป็นคนเหนื่อยง่ายด้วย 

    พอขึ้นไปแล้วนะ มันรู้สึกว่า เห้ยเรามายืนในจุดที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศหรอเนี่ย มันสวยงามมากค่ะ ถ้าคุณยังเดินทางได้อยู่ แนะนำให้ไปค่ะ กับสถานที่บางที่ เราไม่สามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยเท่าที่ตามองเห็น ที่นี่ก็เหมือนกันค่ะ

    พวกเรานั่งรอจนอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แล้วเราก็เดินลงกันค่ะ ก็ท้องมันร้อง เราก็ต้องไปเติมอาหารให้กับท้องค่ะ ก่อนไปก็ขอถ่ายรูปคู่กับป้ายซักหน่อย เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามาถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้ว

    ลงมาถึงจุดกางเต้นท์ ลุงแก้วกับลุงดำทำกับข้าวชุดใหญ่ไว้รอแล้วค่ะ แถมกินได้ไม่อั้น เติมได้ตลอด กินจนกว่าจะอิ่มอ่ะค่ะ พวกเราก็เติมแบบไม่ได้อายใครเลยค่ะ ฮ่าๆๆ อิ่มจริงอะไรจริง รู้สึกว่าคิดถูกนะคะ ที่ใช้บริการลุงแกละ

    เมื่อท้องอิ่มแล้ว ภาระกิจสุดท้ายของวันนี้ก็คือไปถ่ายดาวค่ะ เสียดายที่วันนี้ดวงจันทร์ส่องแสงร้อนแรงมาก นางก็เลยได้เป็นจุดเด่นของภาพขึ้นมาทันทีเลย การถ่ายแบบรูปด้านล่างต้องยืนให้นิ่งที่สุด แต่เรานี่แบบเซไปมาตลอดเลย ฮ่าๆ
    ภาพก็เลยเบลอๆ อย่างที่เห็น

    • Posts-5
    Natthikan •  March 11 , 2018

    ปีนขึ้นสวรรค์ ปีนขึ้นดอยกิ่วลม

    พวกเราตื่นกันตอนตี 4 เพื่อที่จะเตรียมตัวไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยกิ่วลมกัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว เป็นการขึ้นดอยที่แฝงด้วยความเศร้า เพราะพรุ่งนี้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องไปทำงาน T^T แต่ภาพความทรงจำที่เราได้รับกลับไป มันทำให้เราได้คิดทบทวนว่าตัวเราต้องการอะไร เราทำอะไรอยู่ แล้วเราควรจะทำอะไรต่อไป ฮ่าๆ และเราตกลงกับตัวเองว่า เราจะไม่หยุดที่จะทำงานไปด้วยและใช้ชีวิตไปด้วย เพราะในเมื่อเรามีแรงทำงาน เราก็ต้องมีแรงเที่ยว และในทางกลับกัน ถ้าเรามีแรงเที่ยว เราก็ต้องมีแรงทำงานเช่นกัน 

    ทางขึ้นไปที่ดอยกิ้วลมบอกได้เลยว่าโคตรชัน ก็คือเป็นทางที่เดินง่าย และเป็นทางเดินที่ชัดเจน แต่มันแบบดิ่งขึ้นไปเลย เหนื่อยโคตรๆ หายใจจมูกแทบแตก (หมายถึงเลือดกำเดาไหลอ่ะค่ะ) แล้วตอนขึ้นไปคือแบบมืดมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไฟฉายเราก็โคตรสว่าง(ประชด) แต่โชคดีที่มีพี่นำทางเขาคอยดูแลอยู่ด้านหลัง พวกเราขึ้นไปถึงเป็นกลุ่มแรกเลย ดีใจมากๆๆๆๆๆ พอขึ้นไปเราก็หาจุดถ่ายรูปกัน

    ช่วงเวลานั้นดวงจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือแต่ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด คือแบบแหงนมองท้องฟ้าแล้วน้ำตาจะไหล ดีใจมาก ในกรุงเทพไม่มีแบบนี้นะคะ นอกจากที่ท้องฟ้าจำลองฮ่าๆๆๆ 

    รูปที่เราถ่ายให้เพื่อน ส่องไฟให้เพื่อน  เราตั้ง Shutter speed ไว้ที่ 30 s ต้องยอมรับเลยว่า นางยืนได้นิ่งมากๆ   และนี่คือรูปที่เพื่อนถ่ายให้เรา ส่องไฟให้เรา ได้ต้นไม้มาทั้งต้นเลย ฮ่าๆ บวกกับเรายืนได้ไม่นิ่งด้วย ตรงนั้นหนาวก็หนาว ลมตีขึ้นมากโดนตั้งตัวเต็มๆเลย แล้วพอสว่างมารู้อีกทีว่าอีกก้าวเดียวก็ตกหน้าผาตายแล้วนะ ฮ่าๆๆๆๆ

    รูปด้านบนเป็นรูปที่ถ่ายไปทางยอดดอยหลวงนะคะ ส่วนรูปด้านล่างนี้เป็นรูปที่ได้ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งตะวันกำลังจะออกมาค่ะ  

    กล้องเราไม่เจ๋งเท่าไรยังถ่ายออกมาได้สวยขนาดนี้ กล้องระดับเทพจะขนาดไหน และถ้าดูด้วยตาป่าวสวยยิ่งเข้าไปใหญ่เลยค่ะ 

    ถ้าจะให้จินตนาการถึงสวรรค์ มันก็คงเป็นแบบนี้ มันคือแบบสวยงามมาก สวยจนเรากังวลว่า ทริปต่อไปจะสวยได้เท่าที่นี่มั้ย ยังมีที่อื่นที่สวยเหมือนที่นี่อีกมั้ย กังวลมากค่ะ ฮ่าๆๆๆ

    ระหว่างที่เราถ่ายรูป นั่งรออาทิตย์ขึ้น ก็มีบริการดีๆ จากทีมงานลุงแกละ มาเสริฟ โอวัลติน กับกาแฟ ร้อนๆ ถึงที่เลยค่ะ โอ้โห้ววว มันช่างฟินอะไรขนาดนี้ อากาศหนาวๆ กับกาแฟร้อนๆ มันช่างดีจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเซอไพส์แบบนี้ ขอบคุณบริการดีๆ จากลุงแก้ว ลุงดำ พี่คาซึยะ แล้วก็ลุงแกละนะคะ

     

    ต้องขอบอกเรื่องอากาศสักนิดนะคะ เพราะว่าตอนที่เราเตรียมกระเป๋าไปเนี่ย อากาศที่กรุงเทพฯร้อนมาก ขนาดเป็นเดือนมกราคม มันก็ร้อนสุดๆค่ะ เราก็เอาชุดกันหนาวไปเผื่อแล้ว ปรากฏว่ามันหนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โคตรหนาว ยิ่งต้องมานั่งรออาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาแบบนี้แล้ว หนาวปากสั่น น้ำมูกไหล เลือดกำเดาไหล เรารู้เลยว่าเราเป็นภูมิแพ้อากาศหนาว แล้วก็เพิ่งมารู้ตอนที่ได้มาทริปนี้นี่แหละค่ะ เห็นมั้ยคะ เมื่อเราได้ออกเดินทาง เราก็จะได้รู้จักตัวเอง

    ยิ่งตอนกลางคืน แทบไม่ได้นอนเลย เพราะน้ำมูกไหลตลอดเวลา แล้วก็หนาวมาก ใส่ถุงเท้าแล้วก็เอาไม่อยู่ แล้วก็ถุงนอนของลุงแกละไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเท่าไรเลย แต่ก็ดีกว่าไม่มี ฮ๋าๆๆๆ เห็นเราบ่นอย่างนี้แล้ว อย่าเพิ่งถอดใจไม่ไปนะคะ แต่อยากให้เป็นข้อคิดไว้ แล้วก็เตรียมตัว เตรียมของไปให้พร้อมค่ะ

    เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พี่คาซึยะ แกก็พาเราเดินต่อไปอีกนิด คิดในใจเลย ว่าก่อนอาทิตย์ขึ้นเราน่าจะมาถ่ายรูปกันตรงนี้เนาะ ฮ่าๆ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ามีโอกาสได้มาอีกก็จะมุ่งหน้ามาตรงนี้เลยค่ะ 

    มองไปทางไหนก็เป็นภูเขา สุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ ทำให้เราได้พักสายตา ได้พักปอด ตับ ไต ไส้ พุง ฮ่าๆ มันรู้สึกดี การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติมันดีจริงๆ เราก็คิดว่าเพื่อนๆที่ได้ไปก็คนคิดเหมือนกัน 

    นอกจากนั้นแล้วก็ยังได้เจอดงกล้วยไม้ป่าด้วย แต่มันไม่มีดอกแล้ว 

    ประมาณ8.00 พวกเราเดินกลับที่พักอย่า'ทุระทุเร ไม่รู้ว่าตอนขึ้นมา เดินขึ้นมาได้ยังไง มืดก็มืด ฮ๋าๆๆ หลังจากถึงที่พักก็กินข้าว จัดแจงเก็บของ แล้วก็เดินลงกันค่ะ 

    เส้นทางการลงก็ไปจากจุดพักอ่างสลุงไปสามแยก แล้วก็ลงทางปางวัว ซึ่งได้รับฉายาว่าชันมากๆ แรกๆเราก็เดินง่ายๆสบายๆ แต่พอเหลืออีก 1 km.สุดท้าย เป็นทางที่แบบชันดิ่งลงอย่างเดียวเลยค่ะ แล้วก็ลื่นมากด้วย แต่พวกเราวิ่งลงกันค่ะ ฮ่าๆ ก็มันติดเบรคไม่อยู่แล้ว พอลงไปถึงก็จอดคุณพี่โฟล์วีลเขามารอรับแล้ว แต่ว่าสมาชิกอีก 3 คนยังมาไม่ถึง เราก็กินข้าวรอค่ะ เป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ลุงแกละแกจัดไว้ให้ เป็นข้าวผัดใส่กล้อง อร่อยมากๆ ก่อนจากกัน เราก็ขอถ่ายรูปกับทีมงานลุงแกละกันหน่อย ต้องขอขอบคุณทีทำอาหารอร่อยๆให้กิน ดูแลตลอดทาง แล้วก็พูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นมิตร ไม่โกรธเลยค่ะ แม้ว่าเราจะมัวถ่ายรูป แล้วก็โอ้เอ้ตลอดเวลา ฮ๋าๆๆ 

    พวกเราไปอาบน้ำกันที่ที่ทำการอุทยานค่ะ แล้วลุงแกละแกก็ขับรถมารับเราไปส่งที่ขนส่ง เพื่อที่จะได้ขึ้นรถหวานเย็นกลับเชียงใหม่ 

    ทริปนี้ทำให้รู้ว่า เราควรจะเตรียมเสื้อกันหนาวที่มันกันหนาวได้ดีกว่านี้ไปด้วย เราควรจะเชื่อใจถุงนอนเราแล้วพามันไปด้วย แล้วก็เรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อยให้มันเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องไปซีเรียสกับมันมาก ไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก ถ้าเจอปัญหาก็ค่อยๆแก้ไขไปค่ะ ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ 

    จบทริปนี้ื ต้องขอขอบคุณลุงแกละและทีมงานที่น่ารักทุกคน ขอบคุณเพื่อนที่ไม่ทิ้งกัน ขอบคุณธรรมชาติที่ยังคงสวยงามเสมอ แล้วไว้เจอกันทริปหน้าค่ะ 

    • Posts-6
    Natthikan •  March 28, 2018
    • Posts-7
    Natthikan •  June 02, 2018