ป่ า ภู วั ว ✩✭✩ ดาวล้วน ๆ . . ไม่มีวัวผสม ✩✭✩

 

 

◄ ป่าภูวัว ►

 

นักเดินทางหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อป่าแห่งนี้กันมากนัก

ใช่ครับสารภาพตามตรงว่าตัวผมเองก็เพิ่งจะได้ยินชื่อนี้จากพี่ยุ้ย 

พี่ชายของผมซึ่งแกเป็นหัวหน้าทริปของเราในครั้งนี้(และอีกหลายๆทริป)

เพราะทีแรกผมเคยบอกกับแกว่าอยากไปเที่ยวบึงกาฬจังเลยพี่

และแลนด์มาร์คของบึงกาฬที่ผมอยากไป ผมก็รู้จักแต่หินสามวาฬแค่นั้นเอง



จริงๆ ทริปนี้เราคุยกันมาค่อนข้างนานแล้ว คิดเอาไว้ว่าจะเป็นทริปชิลๆ 

อยากไปถ่ายรูปที่หินสามวาฬเฉยๆ เล่นน้ำตกถ้ำพระนิดๆหน่อยๆ

คงไม่ได้ต้องเดินป่าอะไรมากมาย 

แต่อาจจะมีไปกางเต็นท์นอนกันบ้าง 
ตามประสาคนชอบนอนเต็นท์
.

พอใกล้วันที่จะเดินทาง เราก็มาจัดเตรียมทริปกันล่วงหน้า 
เริ่มคุยลงดีเทลกันกับพี่ยุ้ย 

และก็ได้เห็นแพลนว่าจะมีไปนอนกลางป่าภูวัวด้วย

แต่พี่ยุ้ยแกบอกว่าเดินสบายไม่ต้องห่วงยิ่งทำให้ผมได้ใจ 

ไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่มากนัก แต่เคยเห็นรีวิวผ่านตาอยู่นิดหน่อย


 

การจะเดินป่าไปค้างแรมที่ป่าภูวัว จะต้องติดต่อกับทางหน่วยอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูวัว

เพื่อทำหนังสือขออนุญาตเสียก่อน เพราะที่นี่ไม่ได้เปิดให้เที่ยวแบบทั่วๆไป

ขั้นตอนการขออนุญาตและเบอร์ติดต่อ

Click Here

เบอร์ติดต่อ

หัวหน้า ทวีป คำแพงเมือง (หัวหน้าหน่วยอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูวัว)

โทร 085-761-6096

โทร 089-862-3389

หัวหน้า ปราโมทย์ ศรีแก่น (หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์สื่อ)

โทร 097-017-1577

โทร 097-305-7589


 

เนื่องจากจะต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญเส้นทางให้นำทางเข้าไป


อาจจะเป็นเพราะป่าที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์และยังมีฝูงช้างป่าโขลงใหญ่อยู่

โดยการเดินทางในทริปนี้ผมและเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 10 คน 
เหมารถตู้ 1 คัน 

และออกเดินทางจากกรุงเทพคืนวันพฤหัส (คืนก่อนวันหยุดยาว)


การเดินทางไปยัง จ.บึงกาฬนั้นค่อนข้างยาวนาน เพราะอยู่ไกลมากๆ

รวมๆ แล้วใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 12 ชม. เลยทีเดียว
.


 

เรามาถึงยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัวประมาณเที่ยงพอดี 

จัดแจงเตรียมสัมภาระโดยของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าพวกเราจะต้องแบกกันไปเองทั้งหมด

ส่วนเต็นท์และอุปกรณ์ทำอาหาร ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดหาลูกหาบให้เรา
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า

วันนี้ลูกหาบไม่มีใครว่างเลยเพราะติดงานกรีดยางกัน
ทำให้สัมภาระส่วนใหญ่

ทางเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันแบกขึ้นไปทั้งหมด

ปกติเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยได้แบกของเพราะมีลูกหาบ แต่รอบนี้ซวยจริงๆ 5555+


 

เอาล่ะ เมื่อจัดแจงสัมภาระเสร็จ พวกเราก็พร้อมลุยกันละ !!! แต่ก่อนจะออกเดิน

ต้องมารับฟังคำแนะนำและจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่คนละ 20 บาทกันซะก่อน


ซึ่งต้องบอกก่อนว่าแพลนเดิมของพวกเราคือไปนอนกางเต็นท์ที่ลานอเมริกา

และขากลับเดินลงทางน้ำตกชะแนน 

แต่วันนี้เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่าช่วงนี้โขลงช้างจะอยู่แถวทางไปน้ำตกชะแนน

ทำให้ไม่สามารถผ่านเส้นนั้นได้ต้องเดินกลับทางเดิมแล้วนั่งรถไปน้ำตกชะแนนตอนขากลับ

พวกเราก็แอบเซงนิดๆ


 

แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ... ยังไงก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพราะนั่งรถมาโคตรไกล 555


ได้เวลาเเล้วก็ออกเดินทางกันได้เล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

หากชอบท่องเที่ยวและชอบถ่ายภาพฝากติดตามผลงานได้อื่นๆได้ที่

✚ ✚ ✚ https://www.facebook.com/yaktieowtamma ✚ ✚ ✚ 

facebook page : อยากเที่ยวตามมา


 



ระยะทางจากจุดเริ่มเดินไปยังลานอเมริกาจุดที่เราจะกางเต็นท์นอนกัน ประมาณ 4 กิโลเมตร
ซึ่งระยะทางแค่นี้สำหรับคนที่ชอบเดินป่าอยู่แล้ว เดินสบายๆมากๆ ซึ่งทางช่วง 1 กิโลเมตรแรกนั้น
จะค่อนข้างชันและตัดกำลังผมไปพอสมควรเนื่องจากปล่อยเนื้อปล่อยตัวและไม่ได้ออกกำลังกายก่อนมา
ขนาดเจ้าหน้าที่เองยังหอบแฮ่กๆ และพักเป็นระยะๆ เพราะพี่แกแบกของแทนลูกหาบนั่นเอง 555
 

 

สภาพของพี่เจ้าหน้าที่ 555 

 

ส่วนพวกเราก็หมดแรงไม่แพ้กัน 

 

พ้นช่วงชันไปทีนี้ก็เดินชิลละเพราะส่วนใหญ่จะเป็นทางราบกันไปยาวๆ

แต่ที่ต้องระวังก็คือพื้นบางจุดจะค่อนข้างลื่นเพราะเป็นหินทรายและมีตะไคร่น้ำ

ถ้ามาช่วงหน้าฝนอาจจะลื่นกว่านี้มาก เพราะช่วงที่เราไปน้ำค่อนข้างน้อยแล้ว

แต่อุปสรรคสำคัญก็คือแดดที่ค่อนข้างรุนแรงมากๆ เพราะพื้นที่ค่อนข้างโล่งมาก

ระหว่างทางก็มีเห็ดสวยๆให้แวะถ่ายรูปกันพอสมควร


พื้นที่ของป่าภูวัวส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่หินทรายมีแอ่งน้ำสลับกับพื้นที่ป่าอยู่ตลอดทาง
จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินมากๆ เพราะเผลอแปปเดียวอาจจะก้นกระแทกพื้นได้
 

รองเท้าก็มีส่วนสำคัญในการเดินมากๆ ควรเลือกรองเท้าที่เปียกน้ำและแห้งไว

เพราะยังไงก็เปียกแน่นอน ฮ่าๆ แต่สำหรับคู่นี้พี่แกอินดี้จริงๆ

 

ลักษณะป่าของที่นี่จะมีดอกไม้ตามริมทางแปลกๆ สวยๆมากมาย

ซึ่งผมเดินถ่ายภาพไปแบบเพลิดเพลินมากๆ จนเวลาล่าช้ากว่ากำหนด 


 

บางจุดก็จะมีเนินหินให้ปวดขากันเป็นระยะๆ 

เราพักกินน้ำและนั่งตากลมกันเป็นระยะๆ พอหายเหนื่อยก็เดินฝ่าแดดร้อนๆต่อไป

 

แดดก็ร้อนมากมายเพราะเวลาตอนนี้ประมาณบ่าย 3-4 แล้ว เปรี้ยงมากๆ

เดินมาเกินครึ่งทางได้ละ ก็มาเจอลำธารเล็กๆ ซึ่งจุดนี้เราพักกันนานมาก

เพราะน้ำที่ไหลผ่านค่อนข้างเย็นและสดชื่น น้ำลำธารสะอาดและดื่มได้นะครับ

พอมีแรงก็ไปกันต่ออีกนิดเดียวจะถึงจุดตั้งแคมป์ของเราแล้ว

 


ผ่านเนินสุดท้ายมาก็ใกล้จะถึงจุดตั้งแคมป์ของเราแล้ว
พอใกล้แหล่งน้ำ ก็จะเจอกับร่องรอยของเจ้าถิ่นมากมาย
แต่ดูจากสภาพแล้วรอยเก่าแล้วน่าจะสัก 1-2 อาทิตย์
 

เดินต่อมาอีกนิด จะเจอลานหินที่มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา

พร้อมกับดอกไม้ต้นจิ๋วๆมากมาย สวยงามสุดๆ

 

ถัดจากลานนี้มาจะเจอกับลำธารเล็กๆ ซึ่งจุดนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์

เพราะเราจะต้องมากรอกน้ำที่นี่กินรวมทั้งอาบน้ำที่นี่ด้วย 

 

เนินด้านหน้านั่นก็คือจุดตั้งแคมป์ของเรา

" ลานอเมริกา "

ซึ่งการตั้งชื่อก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร พื้นที่นี้ทหารอเมริกาเคยมาตั้งแคมป์กันที่นี่

และสาเหตุที่เราต้องมาตั้งแคมป์กันจุดนี้เพราะเป็นเนินโล่งและปลอดภัย

เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าช้างจะไม่ค่อยขึ้นไปตรงลานนี้ 

 

มาถึงลานอเมริกาประมาณ 5 โมงเย็น พวกเราไม่รอช้า

ผู้ชายช่วยกันกางเต็นท์ ส่วนผู้หญิงไปช่วยเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร

ช่วยกันหุงหาอาหาร เป็นความประทับใจของการมาแคมป์ปิ้งจริงๆ

 

อาหารก็เน้นอาหารกินง่ายๆและพกพาสะดวก 

 

ทำอาหารเสร็จผมก็เลยไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกมาได้ใบนึงถ้วน 


กินอิ่มปุ๊บ เราก็นั่งคุยเล่นกันสักพัก ก็ทะยอยไปอาบน้ำ
เดินทางจากแคมป์ไปยังลำธารที่ผ่านมาเมื่อเย็นก็ไม่ไกลมาก
ไปกลับ 200 เมตรโดยประมาณ 

ควมรู้สึกเหมือนได้แช่ออนเซ็นตามธรรมชาติจริงๆ 

อาบน้ำเสร็จ สิ่งที่เราลุ้นกันมาตลอดทางก็คือฟ้าจะเปิดไหมคืนนี้

เพราะเราแพลนกันไว้ว่ามาช่วงคืนเดือนมืด มีโอกาสได้ถ่ายทางช้างเผือก

และฟ้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ในช่วงนี้ช้างจะขึ้นไวเป็นพิเศษประมาณ 1 ทุ่ม

ทำให้เราได้ภาพทางช้างเผือกและภาพดาวมามากมาย เรียกได้ว่ากดไม่ยั้ง

ถ้าใครยังจำกันได้ ทริปนี้ผมพาเจ้าตัวเขียวเพื่อนซี้ผมมาด้วย

เราถ่ายดาวกันจนฟ้าเริ่มปิดก็เลยเก็บของและเข้านอนกันในคืนนั้น

.

.
เช้าวันใหม่ เราตื่นขึ้นมาจัดแจงทำอาหารเช้ากินแบบง่ายๆ ขนมปัง กาแฟ โจ๊ก 
กินกันจนอิ่มก็ช่วยกันเก็บเต็นท์เพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะพาไปแวะน้ำตกถ้ำน้อยกันต่อ

ก่อนออกเดินทาง ขอเก็บภาพหมู่กันสักหน่อย

เตรียมน้ำดื่มกันก่อนออกเดินทาง

จากนั้นก็ถ่ายรูปกันรัวๆ เพราะแสงเช้ากำลังซอฟๆ

 

ระหว่างทางพวกเราเดินไปชิลๆ ถ่ายรูปไปเพราะดอกไม้เยอะจริงๆ 

เจ้านี่เป็นดอกไม้กินแมลง มีเยอะมากๆ 

 

เราเดินต่อไปเรื่อยๆโดยย้อนกลับทางเดิม โดยมุ่งหน้าไปน้ำตกถ้ำน้อย 

 

เดินมาไม่นานก็มาเจอกับลำธารเดิมที่เราพักกันเมื่อวาน ก็เลยแชะกันซะหน่อย 

 

เดินต่อมาอีกนิดก็จะเป็นทางเดินไปยังน้ำตกถ้ำน้อย 

ซึ่งเจ้าหน้าที่บางส่วนจะนั่งเฝ้าสัมภาระให้เราที่นี่ เพื่อให้เราไปเล่นน้ำตก 

 

 

 

ระหว่างทางไปน้ำตกผมค่อนข้างชอบโลเคชั่นแถวนี้มาก

เพราะเป็นลานหินกว้างๆ มีน้ำไหลผ่านและเย็นสดชื่นมากๆ

แถมยังมีหลุมน้อยหลุมใหญ่ที่เราสามารถลงไปนอนแช่ในหลุมได้

 

 

เดินมาไม่ไกลนักก็จะเจอกับน้ำตกถ้ำน้อย ซึ่งยังพอมีน้ำหลงเหลือให้ผมถ่ายรูปอยู่บ้าง 

 

ส่วนด้านใต้น้ำตกจะเป็นถ้ำเล็กๆ สามารถมุดเข้าไปเล่นน้ำตกด้านในได้ 

เล่นน้ำกันประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเราก็เดินทางกลับสู่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว

 

พอถึงหน่วยเราใช้เวลาไม่นานนักในการเดินลงมาด้านล่าง พอมาถึงพวกเรายังไม่อาบน้ำ
เพราะจะต้องนั่งรถต่อไปยังน้ำตกชะแนน ซึ่งเราพลาดที่จะเดินไปลงที่นั่น
โดยการเดินทางใช้เวลาไม่นานเพื่อมาที่นี่

ซึ่งเราจะต้องเดินลัดป่าเข้าไปอีกประมาณ 800 เมตรเพื่อจะถึงน้ำตก

 

ถึงแล้วน้ำตกชะแนน ถ้าน้ำเยอะๆน่าจะสวยกว่านี้นะ


 

พวกเราไม่รอช้า รีบลงไปเล่นน้ำโดยพลัน เพราะไม่มีใครอาบน้ำตอนเช้าเลย ฮ่าาาา 


 

ขอโชว์ลีลาเซิร์ฟบอร์ด(มโน)หน่อยละกัน 

เราเล่นน้ำตกชะแนนกันนานมาก จนเจ้าหน้าที่มาเร่งให้รีบออกจากพื้นที่

เพราะจุดนี้ช้างใกล้จะได้เวลาลงมาหากินแล้ว เพื่อความปลอดภัย


 

เล่นน้ำตกเสร็จเรานั่งรถต่อเพื่อไปนอนยังจุดบริการนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นหินสามวาฬ

ในตอนเช้าและก็ไม่ผิดหวังเลยได้รูปสวยๆมากฝากเพื่อนๆด้วย

 

ปิดท้ายกันด้วยภาพพี่ยุ้ยหัวหน้าทริปคนเก่งของเรา 

 

บทสรุปการเดินป่าภูวัว

► เป็นอีกหนึ่งป่าที่ห้ามพลาดเพราะดอกไม้เยอะมากๆ มีตลอดทาง
► น้ำตกที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ถ้าช่วงหน้าน้ำจะสวยมากๆ
► เดินง่าย ไม่ชัน สนุกและมีอะไรแปลกใหม่ดี
► ควรใส่รองเท้าที่กันลื่นเพราะพื้นลื่นมากๆ เค้าว่ากันว่า ถ้าไม่ลื่นที่นี่แสดงว่ามาไม่ถึง

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ

► ค่าธรรมเนียมเข้าเขตฯ 20 บาท / คน
► ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 500 บาท / วัน 
► ค่าลูกหาบ 500 บาท / วัน


 

หวังว่าจะชอบกันนะครับ ทริปหน้าเราจะไปที่ไหนรอติดตามได้เลยครับ ☻