ต า ม า ผ ม จ ะ พ า ไ ป ภู ชี้ เ พ้ อ

ก่อนอื่นก็สวัสดีทุกๆท่านนะครับ... ผมชื่อ M นะครับ หรือหลายๆท่านอาจจะเห็นในนาม Nawin คนสร้างภาพ

      ขอสวัสดีเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านรีวิวของผมด้วยนะครับ เกริ่นคร่าวๆ หรือดูจากรูป หลายๆท่านคงจะไม่เคยได้ยินชื่อ"ภูชี้เพ้อ"กันล่ะครับ หรือบางท่านอาจจะบอกว่า เขียนผิดหรือเปล่า นี่คือภูชี้ฟ้าหรือเปล่า แต่เปล่าเลยครับ มันชื่อ"ภูชี้เพ้อ"จริงๆ สถานที่แห่งนี้จริงๆผมก็ไม่ได้รู้จักมันเลยด้วยซ้ำไปครับ แต่มันเกิดความบังเอิญตอนที่ผมไปเที่ยวทางเหนือช่วงวันหยุดยาวๆก่อนขึ้นปีใหม่ครับ ซึ่งในทริปนั้นผมมีเวลาในการล่องเหนือเป็นเวลา 10วันเต็มๆ แต่ 1 ใน 10วันที่ไปเที่ยวเตร๊ดเตร่ เร่ร่อน ขับรถไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ซึ่งในคืนนั้นผมไปนอนที่ม่อนแจ่มครับ ได้มีโอกาสไปเจอพี่นัท และพี่ปุ๊ก พี่สาวและพี่ชายสองคนนี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้จักสภานที่ๆเรียกว่า"ภูชี้เพ้อ"นี่แหละครับ รู้จักพี่สองคนนี้ที่ร้านข้าวแถวๆม่อนๆแจ่ม เกิดจากการนั่งพูดคุยกันถูกอกถูกคอ.. พี่เขาสองคนเลยชวนไปที่แห่งนี้แหละครับ...  งั้นเราเริ่มไปกันเลยดีกว่า....

 

ใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางไปยังทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดจะอยู่ก่อนถึงทุ่งดอกบัวตอง 5 ก.ม. ครับ ทางสังเกตุไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ผมอาศัยถามคนในละแวกที่ผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดเลย ซึ่งพี่สองคนเค้าขับนำเรามาก่อนตั้งแต่เช้าแล้วครับ เพราะพี่ปุ๊กและพี่นัท แกเอาของติดท้ายกระบะมาบริจาคเด็กตามเขาตามดอยด้วย ซึ่งทางที่พวกพี่สองคนนั้นนำเรามาต้องไม่ใช่ทางเดียวกับเราแน่นอน เพราะต้องขับรถไปตามหมู่บ้านที่กันดานเพื่อที่จะนำของที่ติดมาด้วยมาบริจาคเด็กๆ เราจึงนัดพี่เค้าที่ใกล้ๆทางเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดเลยครับ..

 

 

ระหว่างทางที่เราขับมาเรื่อยๆ จะผ่านบริเวร บ้านปางอุ๋งใหม่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ครับ สองข้างทางจะเป็นวิวทิวทัศสวยงาม เป็นไร่สตอร์เบอร์รี่ของชาวบ้าน ถ้าไม่รีบกันเท่าไหร่ผมแนะนำแวะซื้อสตอร์เบอร์รี่พันธุ์80ของที่นี่ ติดไม้ติดมือไปกินกันด้วยนะครับ อร่อยจริง สุดติ่งกระดิ่งแมว.. ผมคอนเฟิร์ม...

 

 

พวกเราทุกคนมานัดเจอกันที่นี่ครับ ยอดดอยบัวตองรีสอร์ท ซึ่งรีสอร์ทแห่งนี้จะอยู่ใกล้ๆทางขึ้นไปบนภูชี้เพ้อครับ

 

 

กระท่อมเล็กๆ น่ารักๆ นอนได้หลังละ 2ท่าน ไม่แพงครับ ตกคืนละ 300-400บาทเท่านั้เอง...

 

 

แนวกระท่อมเรียงตัวเป็นแถวดูสวยงามดีครับ ช่วงหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะมาเที่ยวแค่ทุ่งดอกบัวตองกันครับ

 

 

และแล้วเราก็เจอพี่ปุ๊กครับ.. (ผู้หญิงใส่หมวก) ซึ่งพี่เค้าล่วงหน้าเรามาก่อนจาก อ.แม่แจ่มตั้งแต่เช้า... ติดของพวกเสื้อผ้า ตุ๊กตา ของเล่นเด็กๆ มาที่ท้ายกระบะด้วย เพื่อเอามาบริจาคตามหมู่บ้านยากจนระหว่างทางที่เราขับมาที่นี่เรื่อยๆครับ สวยแล้วยังใจบุญอีก อิอิ...

 

 

นี่คือพี่ซันครับ พ่อครัวประจำทริปของเรา 5555+ ที่รีสอร์ทแห่งนี้ มีครัวเล็กๆแบบชาวบ้านๆ ให้เข้าไปทดสอบฝีมือของตัวเองด้วยนะ เค้าไม่หวง ถ้าเราไม่อยากกินฝีมือของแม่ครัวที่นี่ 

 

 

ที่นั่งรับประทานอาหารของยอดดอยบัวตองรีสอร์ท สมกับเป็นที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านกันจริงๆ มานั่งกินข้าวกันฟินๆที่นี่ก็ได้นะครับ มานั่งมองยอดภูชี้เพ้อกันไปพรางๆ

 

 

ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เริ่มจัดแจงเตรียมสัมภาระกันขึ้นไปแล้วครับ จะขึ้นไปด้านบนภูชี้เพ้อ จะต้องใช้รถขับเคลื่อน 4ล้อนะครับ เพราะถนนหนทางระหว่างขึ้นไปเป็นร่อง เป็นหลุมค่อนข้างลึกพอควร แถมบางช่วงจะเป็นดินแฉะๆลื่นๆ พอให้รถปัด นั่งกรี๊ด!!! กันเป็นระยะๆครับ..

 

 

เราเริ่มขึ้นไปกันแล้วครับ.. ระหว่างทางจะเป็นป่ารกๆ ทึบๆนิดนึง ทางข้อนข้างจะพอดีกับตัวรถ ถ้าขับจากปากทางเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด จะมีทางแยกซ้ายแรก ให้เลี้ยวขึ้นมาเลยนะครับ เพราะถ้าเราตรงไปจะเป็นทางเข้าไปในไร่ของชาวบ้านกลับรถค่อนข้างยาก เพราะพวกผมมี 1คันที่ขับขึ้นไปก่อนในตอนแรกเพื่อที่จะให้ทันแสงก่อนพระอาทิตย์ตกตอนเย็น หลง!เข้าไปด้านใน สรุปผมขึ้นไปทีหลัง ถึงก่อน 5555+

 

 

เราเลาะป่าขึ้นมาเรื่อยๆครับ สองข้างทางถ้ายิ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆจะเริ่มสวยขึ้นไปเรื่อยๆเช่นกัน ระยะทางจากด้านล่างจนขึ้นไปถึงยอดภูประมาณ 4กิโลกว่าๆครับ ไม่ไกลมาก แต่ค่อนข้างโหดนิสนุง... 

 

 

จอดพัก จอดดูทางสำรวจร่องกันเป็นระยะๆครับ กลัวจะพลาดกัน... ถ้าพลาดไปนี่งานเข้าเลยนะ 555+ 

 

 

จอดมองไม่นาน กลัวจะมืดก็ใส่เกียร์เหยียบส่งลุยมันขึ้นไปเลย..ยย 

 

 

พอเราขึ้นมาสูงขึ้นสองข้างทางจะเริ่มเป็น ซ้ายเหว! ขวาเหว! เชื่อว่าเป็นใครก็จะต้องจอดรถ แล้วลงมาถ่ายรูปกันครับ ข้างบนนี้มันถนนลอยฟ้าชัดๆ

 

 

ได้แต่นั่งถ่ายรูปในรถครับ กลัวจะมืด ไม่กล้าจอดนาน เพราะไม่รู้ว่าอิกไกลไหมเผื่อจะถึง กลัวจะต้องจอดรถแล้วเดินต่อ 5555+ เพราะเรามาแบบไม่มีข้อมูลเลยจริง

 

 

นี่ขนาดข้างทาง ยังไม่ถึงข้างบนนะเนี่ย บางทีก็อยากจะจอดกางเต็นท์นอนมันซะตรงนี้เลยแหละ วิวสวยมว๊าก..

 

 

ทิวเขาสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตา นั่งมองยังไงก็ไม่เบื่อ...

 

 

แล้วเราก็มาถึงบริเวรลานจอดรถของด้านบนครับ ผมจะบอกว่าข้างบนจอดรถได้ไม่ถึง 10คันนะ ใครจะมาควรสอบถามเจ้าหน้าที่กันก่อนซักนอดนึง กันพลาดนะเพื่อนๆ

 

 

นอกจากที่จอดรถน้อยแล้ว และที่น้อยไม่แพ้กันเลยคือลานกางเต็นท์ครับ เท่าที่สังเกตุจากสายตา พื้นที่มันกางได้ไม่ถึง 10เต็นท์เลยด้วยซ้ำไป บอกแล้วนะใครจะขึ้นมาโทรจองก่อนเด้อ... เค้าจะได้จัดแจงหาที่พักด้านบนกันไว้ให้ เพราะเนื่องจากที่นี่ไม่ได้ขึ้นเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เป็นแค่หน่วยจัดการ รักษาต้นน้ำเท่านั้น ความสะดวกด้านบนจึงไม่มีมากเท่าที่ควรครับ ส่วนค่าสถานที่ของที่นี่แล้วแต่เราจะบริจาคให้เจ้าหน้าที่นะครับ เจ้าหน้าที่จะมีกระดาษใบขาวๆมาให้กรอกๆ และเราก็เขียนจำนวนที่เราจะให้ค่าบำรุงสถานที่ลงไปในนั้นแหละครับ...

 

 

ขึ้นมาถึงได้ไม่นาน บนนี้ท้องฟ้ามืดค่อนข้างเร็วครับ ผมก็รีบๆ ลนๆ ถ่ายรูป ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องตั้ง ก็ได้มาเท่าที่เห็นนี่แหละ.. เอาน่า พอได้เนาะ ถือว่าผ่านละกัน อิอิ

 

 

ท้องฟ้าสีหวานแหววมากๆ ชวนเพ้อสมชื่อจริงๆ นี่ขนาดยังไม่ได้เดินขึ้นข้างบนยอดนะ

 

 

ชั่งโมงนี้ ในหูจะได้ยินแต่เสียงชัดเตอร์รัวๆ ทั้งกล้อง ทั้งมือถือ เรียกว่าใครมีอุปกรณ์อะไรที่มันสามารถถ่ายภาพได้ ก็ยกมันออกมา แชะ แชะ แชะ! เก็บภาพบรรยากาศสวยๆยามเย็นกัน...

 

 

ทิวเขาเริ่มจะเลือนหายไปกับแสงสุดท้ายของวันครับ มองยังไงก็ส๊วย สวย.. คิดเหมือนผมม๊ะ

 

 

ด้านล่างของบริเวรที่จอดรถ เราก็จะเริ่มมองไม่เห็นแล้วครับ ข้างบนตอนที่ผมขึ้นไปมีไฟแบบปั่นนะครับ เจ้าหน้าที่ปั่ยไฟให้ใช้เพื่อชาร์ตอุปกรณ์กันถึง 4ทุ่ม หลังจากเวลา 4ทุ่ม พวกเราก็จะอยู่ในความมืดมิดจริงๆ

 

 

มาดูกันว่ามันมืดแค่ไหน... ถึงกับมายืนนับดาวกันที่ระเบียงบ้านกันเลย คือวันนั้นผมขึ้นไป ไม่มีลานกางเต็นท์นะครับ เนื่องจากคนขึ้นไปเต็มพื้นที่ ผมจึงได้บ้านพักหลังนี้แหละจากพี่ๆเจ้าหน้ที่ ให้นอนพักกัน เนื่องจากบ้านหลังนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่.. 

 

 

ผมบอกจากใจเลยนะ ผมชอบบ้านหลังนี้มาก ตอนขึ้นมาก็เย็นแล้วมองลงไปข้างล่างมันก็จะไม่เห็นอะไรเลย กลางคืนพวกเราก็ได้แต่นั่งเล่าเรื่อง แชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวกันแหละครับ คนนั้นเล่านี่ คนนี้เล่านั่น ผลัดกันเล่าไป เล่ามา ก็เพลินดี นั่งคุย นั่งดื่มกันไปก็พักใหญ่ๆ พอเที่ยงคืนกว่าๆ พวกเราก็เริ่มเข้ายอยกันครับ แต่บรรยากาศตอนกลางคืนผมไม่ค่อยได้ถ่ายเก็บไว้ซักเท่าไหร่ครับ...

 

 

ตอนนี้ก็เริ่มตี4กว่าๆ เราก็ตื่นละครับ เริ่มล้างหน้า แปรงฟัน เตรียมตัวเพื่อที่จะเดินไปกันยังยอดของภูชี้เพ้อครับ...

 

 

พวกเราเดินกันมาจากที่พกเมื่อคืนเรื่อยๆ ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ครับ ประมาณ 700-800 เมตร เดินขึ้นกันไปเรื่อยๆ อ่ออย่าลืมที่ขาดไม่ได้เลย "ไฟฉาย"อันนี้ขาดไม่ได้เลยจริงๆ เพราะทางค่อนข้างมืด มีติดตัวไว้ทุกคนยิ่งดีครับ ช่วยกันส่อง ช่วยกันดูทาง ยิ่งช่วงเช้าๆน้ำค้างจะลงเยอะมาก ดินทางเดินนี่จะลื่นสุดๆ ลืมไปบอกว่าช่วงที่ผมไปเที่ยวกันอุณหภูมิประมาณ 8องศาเซลเซียสครับ เรียกว่าหนาวกำลังดีๆ แต่ก็ไม่มีใครอาบน้ำนะ 555555+

 

 

และนี่ก็คือสัญลักษณ์ของภูชี้เพ้ออีกอย่างนึงเลย คือระฆังในนี้.. เรียกว่าใครขึ้นมาแล้วไม่ถ่ายรูป ระฆัง ใบนี้ หรือขึ้นมาตีระฆังใบนี้ ถือว่ามาไม่ถึงภูชี้เพ้อนะตะเอง...  คริ คริ..

 

 

เอ้าๆ เอ้าๆ ขึ้นมาแล้วก็ลั่นระฆังเป็นสัณญานให้แก่เพื่อนๆนักเดินทางที่เดินขึ้นมาร่วมกันสักหน่อยว่าจะเช้าแล้ว คนที่เดินตามมาเผื่อจะได้ยินบ้าง จะได้จ้ำๆๆๆๆ  55555+

 

 

นี่เข้าคิวถ่ายรูปกับระฆังกันเป็นแถ๊ว..วว

 

 

เริ่มจะสว่างขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ ยิ่งสว่าง ยิ่งสวย ยืนกรี๊สสกันแพ๊บ..บบ  ฟิน!

 

 

ชั่วโมงนี้ใครมีกล้องก็มาตั้งกล้องรอกันได้เลยครับ ช่วงที่ผมขึ้นไปนี่ฟ้าสวยมากครับเพื่อนๆ ท้องฟ้าผสมกันเป็นสามสี แต่เสียดายทะเลหมอกไม่มีอ้ะ มีหมอกด้านล่างให้เห็นเป็นหย่อมๆ แต่ยังไงก็ให้คะแนนเต็มร้อยอยู่ดีครับ

สวยมาก  ^ ^

 

 

พระอาทิตย์เริ่มโผล่มาให้พวกเราเห็นตัวเป็นๆกันแล้ว ฟ้าด้านบนใสมากๆ ถ่ายรูปยังไงก็สวย ผมถ่ายมั่วๆ ยังสวยเลย อิอิ

 

 

เล็งไป เล็งมาอยู่พักใหญ่ๆ กลัวพลากช่วงเวลาสำคัญ 55555+

 

 

นี่ไงป้ายภูชี้เพ้อ ไม่ใช่ภูชี้ฟานะตะเอง มีแต่คนหาว่าเรามั่วชื่อภู... มันมีจริงๆเห็นมั้ยเอาภาพมายืนยัน...

 

 

 

อุ๊ยๆ.. ๆๆ ... แอบเห็นร่องหมอกอยู่ด้านล่าง เอาเทเลส่องแพร๊บ..บบ

 

 

 

ตอนนี้ผู้คนเริ่มขวักไขว่กันละครับ ใครๆก็ต่างที่อยากจะได้ภาพสวยๆเนาะ ผมนี่นั่งมองนักท่องเที่ยวเดินกันไปมาจนเวียนหัว

 

 

แอร๊ยย..ยย ถ่ายลงไปตรงไหนก็ ส๊วย สวยเนาะ

 

 

อีกมุมนึงของลานที่ยืนถ่ายรูปครับ ผมเดินเลาะๆริมหน้าผามาด้านๆข้าง หลบผู้คนเพื่อที่จะถ่ายรูป หิหิ

 

 

ตรงลานไม้คนยังเยอะอยู่ พวกเราก็แวะมาตรงป้ายครับ ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนมา เพราะมันย้อนแสงค่อนข้างถ่ายยาก 555555555+

 

 

ฟ้าสวย เมฆสวย ผมเรียกพี่ปุ๊กนางแบบของเรา ที่ทำให้ใครหลายๆคนเห็นว่า"ภูชี้เพ้อ"มันสวยน่าเพ้อแค่ไหน อ๊ะๆดูหน้าไว้นะ พี่คนนี้แหละที่ยืนตรงลานไม้ที่ภาพอยู่ในหลายๆบล็อก หรือเปิดไป อากู๋ กูเกิ๊ล หน้าแรก เจอเบย อิอิ

 

 

นี่ๆๆๆ มีนายแบบมาด้วย... พี่อีกคนคือพี่นัทครับ แฟนพี่ปุ๊กแก คริ คริ

 

 

ดูป้ายกันชัดๆ ว่ามันชื่อภูชี้เพ้อจริมๆนะ....                    เพ้อกันเลยล่ะสิ 55555+

 

 

พี่นัทเดินมาถ่ายรูปบริเวรทางเดินเลียบผาครับ เพื่อรอลานไม้ว่าง เดี๋ยวพวกเราจะไปครองกันตรงนั๊นแหล๊ะ หุุหุ

 

 

อันนี้เป็นอีกป้ายครับ จะอยู่ด้านซ้ายมือ ป้ายนี้น่าจะเป็นป้ายแรกของที่นี่นะ แต่เดิมที ที่นี่เค้าไม่ได้ชื่อภูชี้เพ้อนะครับ... เมื่อก่อนจะเรียกกันว่ายอด"ดอยหัวล้าน" ไม่เชื่อลองไปถามชาวบ้านระหว่างทางที่มาสิ ว่ารู้จักภูชี้เพ้อไหม บางคนยังไม่รู้จักเลย แต่ถ้าถามถึงยอดดอยหัวล้านสิ นี่พยักหน้าถันเป็นแถ๊ว..วว

 

 

 

อันนี้น่าจัเป็นครอบครัวหรรษาพากันมาเที่ยว...

 

 

ระหว่างรอ... ก้ยืนแอบถ่ายรูปคนอื่นกันไปก่อน เอ้า ชี้ๆๆ ชี้ๆๆ เข้า ไม่ชี้เดี๋ยวไม่เพ้อนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

 

 

เย้ๆ ลานว่างแว๊ว..วว นั่งมันตรงขอบเลยล๊ะกัน......          ยิ้มๆๆ ยิ้มๆๆ  แช๊ะๆ  แช๊ะๆ...

 

 

อิกรูป อิกรูปล๊ะกัน โน๊ะๆ

 

 

มาแบบเป็นคู่บ้าง นั่งได้ๆ ถ้าไม่กลัวมันหักกันนะ 55555+
ถ้าหักนี่เหวรออยู่.....

 

 

เอาขอบลานบ้าง หวิวๆ เสียวๆดี ระทึกใจ ตื่นเต้นๆ 5555

 

 

บรรยากาศฟินสุดๆขอบอกเพื่อนๆ บอกแล้วว่ายิ่งสูง ยิ่งสวย แถมยิ่งเสียวด้วย ลานเป็นของเราแล้ว ถ่ายรัวๆๆๆ 

 

 

 

แดดเริ่มแร๊งขึ้นเรื่อยๆล๊ะ แต่พอมีเมฆบังให้เป็นบางส่วยครับ ถ้าไม่อยากได้แสงจ้าๆส้มๆ ก็รอจังหวะเมฆบังดวงอาทิตย์ ก็จะได้แนวท้องฟ้าสดใสๆ ดูสวยไปอีกแบบ....

 

 

ตอนสายๆหน่อย นักท่องเที่ยวก็จะเริ่มลงกันหมดล๊ะครับ ดูสิ โล่งแค่ไหน ถ่ายรูปสบายเลยทีนี้ 55555+

 

 

เข้าไปยืนหน่อย ก็สวยไปอีกแบบ ภาพนี้แหละที่เพื่อนๆน่าจะเห็นในหลายๆที่นะ ขาดนางแบบไปนี่ถึงกะดับเลยแหละ.... 

 

 

ช่วงเวลา ณ นาทีนั้น มันสวยจับใจ สวยจนผมลืมทุกอย่างไปเลยครับ ถ่ายรูปจนลืม มองไปยังไง ตรงไหนมันก็สวย ทั้งลานระเบียง แนวทิวเขาที่มันสลับซับซ้อน แสงสวยๆ แม้กระทั่งกลุ่มหมอกบางๆ ทุกอย่างมันลงตัวมากๆ

 

 

กางปีก กางปีก พร๊อมบิน... แสงสีทองสวยๆ กับป้านสถานที่ครับ

 

 

 

 

 

แอบถ่ายพี่นัท... แหะๆ ก่อนลงก็เก็บรายระเอียดกันไปเรื่อยๆครับ

 

 

 

มองลอดช่องกิ่งไม้ออกไป จะเห็นทางเดินลอยฟ้า สวยอย่าบอกใครเลยหล๊ะครับ

 

 

เตรียมลง เตรียมลง... 

 

พี่นัทก็แวะถ่ายรูปตามข้างทางเรื่อยๆระหว่างที่พวกเราเดินลงกันครับ

 


สวยแม๊ะ..  บอกแล้ว ที่มันทางเดินไปสรรค์ ชัดๆ 

 

นี่คือการเซลฟี่ที่สูงที่สุดในประเทศนะตัวเทอร์..... 555555+

 

ถ่ายแล้วก็อัพเดทกันสดๆ ให้เพื่อนๆในโลกโซเชี่ยวได้เห็นกันแบบเรียลไทม์กันเลย.... มองจากทางเดินระหว่างลง ถ้ามองมาทางด้านขวามือ จะเห็นเวิ้งว่างๆตรงนั้น คือดอยแม่อูคอ หรือทุ่งดอกบัวตองที่สวยที่สุดของจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วยนะครับ แต่น่าเสียดาย ตอนผมขึ้นไปมันโรยร่วงไปจนหมดล๊ะ เลยเห็นแค่เป็นแอ่งเขียวๆ ว่างๆ ตรงนั้น...

 

เดินลงมาเรื่อยๆก็จะเห็นหลังคาบ้านที่เราพักกันนะครับ มองๆดูเหมือนโรงเรียนตามยอดดอยเหมือนกันนะเนี่ย.....

 

 

เดินลงมาใกล้ถึงล๊ะ มันจะเป็นขั้นบันไดดินแบบนี้ แต่ช่วงเช้าๆมันจะแฉะน้ำค้าง ค่อนข้างลื่นครับ ระมัดระวังกันหน่อยเนาะ....

 

พอสายๆ ท้องฟ้าค่อนข้างใส เป็นสีฟ้าสดๆ ตัดกับแนวต้นไม่สีเขียวๆ แต่ร้อนนะขอบอก.... พกร่มกันไปจะช่วยได้ตอนเดินลงนะ อิอิ..

 

นี่แหละคือระเบียงบ้านที่เรานอน... วิวนี่แบบหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว  มันคือบ้านในฝันของผมเลยแหละ..

 ชอบ  ชอบ...

 

แบตยังไม่หมดก็ถ่ายกันเขาไป เก็บมันทุกช็อต ทุกความประทับใจที่ได้มาเยือน..  เดี๋ยวจะพาเข้าไปดูห้องน้ำที่วิวดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้....

 

ส้วมกับวิวร้อยล้าน......

 

และนี่ก็เป็นวิวทิวทัศของห้องน้ำในบ้านหลังนี้ ที่ใครๆที่ได้มาเข้าล๊ะมองออกไปยังหน้าต่าง เชื่อว่าสายตาของทุกคนที่ได้เข้ามาพักที่นี่ ยังจดจำทุกรายละเอียดของที่แห่งนี้ได้ดีเหมือนกันไม่แพ้กับผม  ผมก็เลยเลือกที่จะเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆทุกคนให้ได้ชมกันครับ ว่าสิ่งที่ผมได้ขึ้นไปสัมผัสมา มันสวยงามจริงๆ ไม่แพ้สถานที่แห่งใดในโลกนี้เลย ถึงบางทีมันจะเป็นแค่ห้องน้ำก็ตามโน๊ะ.. แต่ถ้าใครได้นั่งแล้วล๊ะก็ เชื่อสิ ยาว...ววว......วววว

 

ขอเจ้าของรีวิวนั่งเหม่อหน่อย มองไปรอบๆ มันทำให้ผมลืมเรื่องทุกสิ่งไปเลยจริงๆนะ

 

 

และแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องจากกันแล้วครับผม ไม่อยากให้ถึงช่วงเวลานี้เลยอ้ะ ส่วนพี่สาวและพี่ชาย ทั้งสองคนก็ขับรถลงไป จากนั้นก็น่าจะแวะไปแจกของเด็กๆเรื่อยๆ ตามหมู่บ้านที่กันดารกัยต่อครับ ส่วนผมก็ลงไปก็แวะเข้าเมือง ขับรถเข้า จ.เชียงใหม่กันต่อครับ จริงๆอยากจะเขียนรีวิวให้ยาวกว่านี้นะครับ แต่ผมก็พยายามจะพิมพ์เท่าที่ผมจำได้ เอาเป็นว่าประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าประทับใจผมสุดๆเลยละกัยครับ...

 

 ทุกอย่างมันบังเอิญกันสุดๆ ผมไม่รู้จักพี่ปุ๊กและพี่นัทมาก่อน และภูชี้เพ้อ ผมก็ไม่รุ้จักมาก่อนเช่นกัน ผมมานั่งๆคิดนะ ถ้าวันนั้น ไม่ได้ไปนั่งกินข้าวร้านนั้น ไม่ได้ไปช่วงเวลานั้น ผมก็คงไม่มีรูปนี้ ไม่มีช่วงเวลานี้ เป็นภาพที่พวกเราถ่ายกันครบทุกคนครับ..     +++ ตั้งกล้องไว้ แล้วใช่รีโมทเอา 5555 +++ พยายามกันสุดๆ

ส่วนการเดินทางมาที่ภูชี้เพ้อ 

ใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางไปยังทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดจะอยู่ก่อนถึงทุ่งดอกบัวตอง 5 ก.ม. มีป้ายบอกอยู่ตรง ปากทางเข้าครับ ส่วนการเดินทางจากทางเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดไปยังจุดเริ่มเดินเท้าไปยังจุดชมวิวภูชี้เพ้อรถที่สามารถเข้าไปได้ คือ รถกระบะ เท่านั้นนะครับ รถเก๋ง รถตู้ไม่สามารถขึ้นได้เนื่องจากเส้นทางบางช่วงไม่ค่อยดีนักเป็นดินลูกรังค่อนข้างชัน หลังจากถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด ต้องเดินเท้าขึ้นไปในเส้นทางที่ค่อนช้างชันอีกประมาณ  700-800 เมตร  ใช้เวลาเดินประมาณ 30- 45 นาที  ควรเริ่มเดินเท้าขึ้นไปประมาณตี 5 ครึ่งครับ เพื่อให้ทัน พระอาทิตย์ขึ้น ควรนำไฟฉายติดตัวไปด้วยนะครับเพื่อนๆ

 

และสุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณทุกคนที่ติดตามอ่านครับ  (ขอบคุณครับ)

..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................