ไปดูกัน ... มีอะไรที่นาขั้นบันได ทำไมคนถึงดั้นด้นไปกันไม่ขาดสาย
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ... หน้าฝนแบบนี้คนชอบถ่ายภาพแบบผมก็มักจะมีอาการคันไม้คันมือ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสนำกล้องออกมาตากแดดรับวิตามันดีเลย เก็บไว้ในตู้นาน ๆ กลัวเหมือนกันว่าจะได้เลนส์ soft มาใช้โดยมิได้ตั้งใจ หุหุ ... งานนี้เลยเกิดปฏิบัติการหาจุดหมายเพื่อดำรงไว้ซึ่งคุณภาพของอุปกรณ์ถ่ายภาพ (ว่าไปนั่น ... ที่จริงก็หาเรื่องเที่ยวนั่นแหละ อิอิ) …
ไอ้ผมก็เป็นชาวเกาะแถมเพิ่งมีทริปเล็ก ๆ ไปกระบี่เมื่อเดือนที่แล้ว งานนี้เลยมองหาจุดหมายที่เป็นป่าเป็นเขาบ้าง แต่ที่สำคัญต้องเดินทางสะดวกหน่อยเพราะวันหยุดวันลาแทบไม่เหลือแล้ว ขืนลามากเกินเจ้านายอาจให้ลาออกไปรู้แล้วรู้รอด ... สุดท้ายก็เลยเลือกเชียงใหม่เพราะคุ้นเคยที่สุด แถมเดินทางจากภูเก็ตค่อนข้างสะดวกเพราะมีสายการบินให้บริการเยอะแยะ แต่เนื่องจากตัดสินใจกระชั้นชิดไปหน่อย ตั๋วของบางสายการบินราคาสูงปรี๊ด ทริปนี้จึงตกลงปลงใจกับ Nok Air เพราะราคาไม่แรงและไม่ต้องพะวงเรื่องกระเป๋ากับอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ผมจะต้องแวะไปรับเพิ่มเติมที่กรุงเทพฯ ด้วย อิอิ ...
จองค่อนข้างจินวน ราคาเที่ยวละประมาณ 1300 บาทต่อคนถือว่า ok เลยครับ
ทริปถ่ายภาพครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งใด ๆ คือจะเอากล้อง DSLR ไป 2 ตัวคือ Nikon D7000 ของตัวเองกับ D610 ที่หยิบยืมมาเพื่อเปรียบเทียบว่า DX format กับ FX full frame มันให้ความรู้สึกในการถ่ายภาพและผลงานแตกต่างกันขนาดไหน (ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขยับไป Full frame ดีหรือไม่) แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คืองานนี้ได้แบกอุปกรณ์กันหลังอานชัวร์ เพราะนอกจากกล้อง 2 ตัวแล้วยังมีเลนส์อีก 5 ตัว ไปรอบนี้เข้าใจเลยว่าช่างภาพอาชีพเขาอึดขนาดไหนตอนแบกอุปกรณ์ระดับโปรไปท่องเที่ยว ... เอิ๊ก
สำหรับการเตรียมตัวนั้น ผมลอง search หาข้อมูลดู กลางฤดูฝนแบบนี้มีแต่คนพูดถึง “นาขั้นบันได” ที่อำเภอ “แม่แจ่ม” ซึ่งผมเองยังไม่เคยไป และช่วงนี้น่าจะกำลังเขียวขจีสวยงามทีเดียว ... ทริปนี้จึงถูกวางแผนว่าจะใช้เวลา 3 คืน 4 วัน โดยพักในเมืองเชียงใหม่ที่ “Dusit D2” คืนแรกกับคืนสุดท้ายเพื่อเที่ยว Night bazaar กับถนนคนเดิน ส่วนคืนที่สองพักที่ “เฮือนแรม แจ่มเมือง” ในตัวอำเภอแม่แจ่ม ... สำหรับการเดินทางใช้วิธีการขับรถเองเหมือนทุกทริปที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ใช้รถของ Thai Rent A Car ซึ่งมีเคาร์เตอร์บริการในสนามบินเชียงใหม่เลย ...
เนื่องจากเวลากระชั้นชิดและงานเต็มไม้เต็มมือทำให้ข้อมูลที่เตรียมไปสำหรับทริปนี้ค่อนข้างหยาบมาก เมื่อไปถึงจริง ๆ ก็เลยมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากมาย ... ตามไปดูกันเลยครับว่ากว่าจะได้สัมผัสนาขั้นบันได ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
วันแรกของการเดินทาง ออกจากภูเก็ตช่วงเช้า ซึ่งผมได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอินท์ที่ภูเก็ตว่าต้องต่อไฟลท์ไปเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ก็แสนใจดีช่วยอำนวยความสะดวกจัดรถไปรับตอนลงเครื่องรวมถึงไปส่งที่ gate ด้วย เพราะเวลาค่อนข้างจินจวน หากต้องผ่านกระบวนการตามปกติอาจทำให้ผู้โดยสารท่านอื่นต้องรอ ดังนั้นเพื่อน ๆ มีไฟลท์ต่อเนื่องกันแบบนี้อย่าลืมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบนะครับ เผื่อจะได้นั่งรถพิเศษแบบผมบ้าง อิอิ
อันที่จริงผมเข้าไปเลือกที่นั่ง online ได้ที่หลัง ๆ แต่พนักงานช่วยเปลี่ยนให้เป็นที่ค่อนมาทางด้านหน้าเพื่อให้สามารถลงเครื่องได้สะดวกขึ้น
เมื่อเดินทางถึงเชียงใหม่ก็ติดต่อรับรถที่ counter ของ Thai Rent A Car ซึ่งหาง่ายครับ เดินออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้ามองมาทางซ้าย เห็นเด่นชัดอยู่ใกล้กับประตูทางออกที่ 1 เลย ... จัดการเอกสารต่าง ๆ เรียบร้อย รับน้ำดื่มกับพวงกุญแจที่ระลึกเสร็จ รถก็มาถึงพอดี ... ผมถ่ายภาพสภาพรถไว้อ้างอิงเหมือนที่ทำเสมอ เผื่อเป็นหลักฐานในกรณีที่เกิดปัญหา ทั้งนี้รถของทริปนี้เป็น Mitsubishi Pajero Sport เพราะทราบมาว่าเส้นทางไปสู่นาขั้นบันไดบางจุดของแม่แจ่มนั้นลำบากจนไม่สามารถนำรถเก๋งซีดานไปได้ ... โดยรถคันที่ได้สภาพค่อนข้างใหม่ทีเดียวครับ (แอบกลัวว่าตรูจะเอารถเขาไปเจิมป่าวว้า 555)
รับรถแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พักคืนแรกที่ Dusit D2 ซึ่งอยู่ติด ๆ กับ Night Barzaar เป้าหมายแรกของผมคืนนี้เลย เรียกได้ว่าเดินออกจากโรงแรมไป 50 เมตร ก็เริ่ม shopping ได้แล้ว ถูกใจคุณภรรยา 555 ... check in เสร็จก็ถือโอกาสเก็บภาพมุมต่าง ๆ ของ Dusit D2 มาฝากครับ ... Lobby โอ่โถงมากในโทนสีขาว ตัดกันกับของประดับตกแต่งสีสันสดใส
อันนี้ห้องพักครับ ขนาดกำลังดีไม่เล็ก ไม่ใหญ่มาก .. เตียงกว้าง มีโซฟาให้นั่งเล่น
วันที่ผมไปถึงเป็นวันศุกร์มี Friday Steak Night Buffet ที่ห้องอาหาร Moxie ของโรงแรม ก็เลยขอลองหน่อย … สำหรับ meat lover ผมว่าคุ้มมากสำหรับราคา 599 บาท ... ส่วนผมอยู่ระหว่างการดูแลสุขภาพ เลยจัดเมนูเบา ๆ เสต็กปลาครับ
เติมพลังเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดิน shopping ย่อยอาหารที่ Night Bazaar อิอิ ต้องขออภัยครับที่ไม่มีภาพบรรยากาศมาฝากเพราะไม่ได้ติดกล้องออกไปเดินให้เป็นภาระการ shopping 555
เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มต้นด้วย Breakfast ที่โรงแรมกับกาแฟลาเต้ร้อน ๆ ก่อนออกเดินทาง
สำหรับเส้นทางสู่อำเภอแม่แจ่มนั้น มี 2 ทางเลือกหลัก ๆ คือใช้เส้นทางที่ผ่านดอยอินทนนท์ และ ผ่านอำเภอฮอด ... เพื่อให้ได้อรรถรสของทิวทัศน์ระหว่างทางที่หลากหลาย ผมจึงเลือกใช้เส้นทางผ่านดอยอินทนนท์สำหรับขาไป และเลือกผ่านฮอดในขากลับ (ระยะทางของเส้นที่ผ่านดอยอินทนนท์นั้นสั้นกว่า แต่ก็ใช้เวลาไม่ต่างกับเส้นที่ผ่านอำเภอฮอดเพราะฝังอินทนนท์ถนนจะลาดชันกว่า)
ภาพนี้แวะถ่ายทุ่งนาแห่งหนึ่งตรงข้ามปั้มน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ได้ลอง D610 คู่กับ Nik 70-200 f4 สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างจากเจ้า D7000 ตัวเก่งของผมคือความแม่นยำในการโฟกัสมากกว่า
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ขับแบบสบาย ๆ ราวชั่วโมงเศษก็ถึงด่านแรกทางขึ้นดอยอินทนนท์ เมื่อแจ้งว่าจะไปอำเภอแม่แจ่มก็ผ่านฉลุยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ... จากจุดนี้รถค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นทีละนิด วิวสองข้างทางก็เขียวชอุ่มร่มรื่นสมกับเป็นช่วงหน้าฝนจริง ๆ ... ผมมาอินทนนท์ทีไรมักเจอแต่ใบไม้สีน้ำตาลเพราะเป็นช่วงหน้าหนาวทุกครั้ง คราวนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นอีกหนึ่งบรยยากาศอันชุ่มชื่นของอุทยานแห่งนี้
ขับมาได้สักพักผมแวะเข้าไปถ่ายภาพที่น้ำตกวชิรธารซึ่งเป็นทางผ่าน ที่นี่เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แต่ความยากที่สุดของการถ่ายภาพเจ้าน้ำตกแห่งนี้ก็คือละอองน้ำที่มักจะเกาะหน้าเลนส์จนแทบไม่สามารถบันทึกภาพได้ แถมจะพาลทำให้ละอองน้ำเข้าตัวกล้องได้อีกด้วย ผมพยายามอยู่พักใหญ่แต่ได้ภาพที่พอใช้ได้เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น งานนี้จีงขอยอมแพ้เพราะไม่อยากเอากล้องทั้งสองตัวไปเสี่ยง อิอิ
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าทริปนี้เดินทางแบบค่อนข้างกะทันหัน ไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก ข้อมูลที่หาไว้ก็ save ไว้ใน favorite ของ browser และบางส่วนเก็บไว้ใน dropbox ซึ่งกะว่าต้องการใช้เมื่อไหร่ค่อยเปิดดู ... แต่แม่เจ้า...ลืมคิดไปเลยว่าเรากำลังมาเที่ยวเขาเที่ยวดอย ซึ่งทั้งผมและแฟนใช้ DTAC ทั้งคู่ ... ขนาดตรงตัวน้ำตกวชิรธารยังไม่มีสัญญาณเลย ใจเริ่มเสียเล็กน้อยกลัวหลงทาง แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่าคงพอสอบถามเส้นทางได้หากคับขันจริง ๆ
ผมขับเลยจากน้ำตกวชิรธารมาไม่ไกล ก็ถึงแยกทางเข้านาขั้นบันไดแม่กลาง แต่ฝนเริ่มตกปรอย ๆ จึงตัดสินใจหยุดถ่ายภาพที่ปากทางเข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วมุ่งหน้าต่อไปแม่แจ่มทันที เพราะอยากให้เวลากับนาขั้นบันไดที่โน่นมากกว่า
ทุ่งนาปากทางเข้าบ้านแม่กลาง
เลยจากทางเข้าบ้านแม่กลางไม่ไกลก็ถึงด่านที่ 2 ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จากจุดนี้หากตรงขึ้นไปก็จะเป็นยอดดอยอินทนนท์ซึ่งน่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ส่วนผมบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปแม่แจ่ม เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้เลี้ยวซ้ายตรงแยกใกล้ๆ ด่านนั่นเอง ... จากจุดนี้ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางลงเขา ผ่านป่าแน่นทึบบ้าง ป่าโปร่งบ้าง เกือบตลอดของเส้นทางระหว่างลงเขาแทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย โชคดีที่มีป้ายบอกทางไปแม่แจ่มเป็นระยะจึงไม่ต้องกลัวหลงทาง
ระหว่างทางมีวิวสวย ๆ ให้เก็บภาพเป็นระยะ
มาถึงตรงนี้ ความลับเล็ก ๆ อย่างนึงของนาขั้นบันไดอันโด่งดังที่อำเภอแม่แจ่มซึ่งผมอยากบอกคือ ชื่อนาขั้นบันได “ป่าปงเปียง” ที่หลาย ๆ คนเรียกกันติดปากนั้นไม่ถูกต้องครับ ... ผมเองคุ้นเคยกับชื่อนี้เช่นกัน แต่มาทราบภายหลังว่าชื่อที่ถูกต้องคือ “ป่าบงเปียง” ครับ .. ซึ่งชื่อนี้ก็มาจากชื่อหมู่บ้านป่าบงเปียงนั่นเอง ... สำหรับเส้นทางจากดอยอินทนนท์สู่อำเภอแม่แจ่มนั้นสามารถแยกไปนาขั้นบันได “ป่าบงเปียง” ได้เช่นกัน แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมไม่มีสัญญาณเลย จึงไม่สามารถเข้าไปดูรายละเอียดการเดินทางที่เก็บไว้ใน dropboxได้ ผมจึงไม่อยากเสี่ยงที่จะใช้เส้นทางนี้ ก็เลยเลือกที่จะเข้าไปตั้งหลักจากตัวอำเภอแม่แจ่มก่อนดีกว่า
ก่อนถึงตัวอำเภอแม่แจ่มเล็กน้อย ผมก็เห็นที่พัก “เฮือนแรม แจ่มเมือง” อยู่ทางซ้ายมือ แอบดีใจที่ไม่ต้องหาให้วุ่นวาย แต่ผมเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายอ่อน ๆ จึงเลยไปเที่ยวนาขั้นบันไดแห่งแรกของทริปนี้เลยดีกว่า ... นาขั้นบันไดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านกองกาน ซึ่งห่างออกไปจากตัวอำเภอแม่แจ่มไม่ไกลนัก ทั้งนี้พอถึงตัวเภอแม่แจ่มผมก็เลย download แผนที่คร่าว ๆ มาเก็บไว้ในเครื่องก่อนเลย เพราะไม่มั่นใจว่าเลยตัวอำเภอออกไปจะมีสัญญาณโทรศัพท์หรือไม่ (ขอขอบคุณแผนที่แม่แจ่มจากร้านลุงแดงครับ)
ผมตามลายแทงในแผนที่มาก็สามารถึงนาขั้นบันไดที่หมู่บ้านกองกานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ... ท้องนาที่นี่กำลังเขียวขจีสดชื่นมาก ๆ ...
ขับเลยเข้าไปอีกหน่อยก็เป็นหมู่บ้านกองกาน และขับไปอีกเรื่อย ๆ ก็พบอีกมุมนึงที่เห็นความเป็นนาขั้นบันไดชัดเจนในมุมด้านข้าง
หลังจากจุดนี้ผมลองขับเลยไปอีกพอสมควร มีมุมที่พอเก็บภาพได้อีกมุม แต่เลยจากจุดนี้ไปก็ไม่มีมุมเหมาะ ๆ แล้ว (เว้นเสียแต่ว่าผมหาไม่เจอ อิอิ)
เสร็จภารกิจจากปฏิบัติการตามล่านาขั้นบันไดแห่งแรกเรียบร้อย ผมก็ย้อนกลับเข้าเมืองเพื่อไปเช็คอินน์ที่บ้านพักก่อน เพราะหลังจากโอนเงินค่าจองแล้วก็ไม่ได้ติดต่อเจ้าของบ้านอีกเลยเพราะยุ่งมาก กลัวว่าถ้าเดินทางไปไกล ๆ ทางเจ้าของติดต่อไม่ได้จะยกห้องพักให้คนอื่นซะ อิอิ
จะว่าไป “เฮือนแรม แจ่มเมือง” ก็เป็นที่พักสไตล์ Bed & Breakfast แบบที่ผมเลือกใช้เสมอตอนไปเที่ยวต่างประเทศ ลักษณะเป็นการแบ่งห้องให้เช่า ของที่นี่ก็ดูเป็นสัดส่วนดี ห้องที่ผมพักจะแยกออกจากเรือนหลักของเจ้าของบ้าน โดยมีทางเดินไม้เชื่อมต่อกัน บรรยากาศเป็นบ้านที่ตกแต่งอย่างร่มรื่น ดูสะอาดสะอ้าน แต่ไม่มีทีวีให้ดูนะครับ ใครติดละครอาจจะต้องคิดหนัก หรือไม่ก็ต้องไปขอคุณพี่เจ้าของบ้านดู อิอิ
ที่พัก "เฮือนแรม แจ่มเมือง"
หลังจากผมนำสัมภาระต่าง ๆ เก็บในห้องพักแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายหลักของทริปนี้ “นาขั้นบันไดป่าบงเปียง” .. และแน่นอนว่า ไม่ลืมที่จะ capture หน้าจอรายละเอียดการเดินทางที่ทางรีสอร์ทมนต์เมืองแจ่มทำไว้ให้ตาม link นี้ (ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) ... ช่วงท้าย ๆ เป็นทางลูกรังที่ค่อนข้างวิบากเอาการ ยังดีที่ผมใช้รถ SUV ก็เลยผ่านไปได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าเป็นเก๋งซีดานล่ะก็ไม่แนะนำครับ เพราะถนนบางช่วงเป็นร่องลึก โดยเฉพาะช่วงที่ยังมีฝนนี่หลาย ๆ จุดมีน้ำขังทำให้รถติดหล่มได้ง่าย ๆ ... ถ้าจะให้แนะนำคือมอเตอร์ไซด์ครับ อาจจะนั่งไม่สบายนักแต่ผ่านได้แน่ ไม่ต้องหวาดเสียวกับการขับผ่านบางช่วงที่มีต้นไม้ล้มหรือหินถล่มมาเกะกะถนนด้วย หรืออีก option นึงที่ดีไม่แพ้กันคือเช่ารถของชาวบ้านเข้ามาครับ จะได้ไม่ต้องพะวงกับเส้นทาง ... แต่ทำไงได้ ด้วยความที่อยากขับรถเอง (ตามประสาช่างภาพจอมแวะ) แถมเคยขับเส้นทางวิบากขึ้นเขาแม่ตะมานมาแล้ว งานนี้ก็เลยที่จะลุยเอง นี่ถ้าให้ไปอีกรอบคงต้องคิดหนักเหมือนกันว่าจะยังขับไปเองเหมือนเดิมไหม หุหุ
วิวข้างทางช่วงที่ยังเป็นถนนลาดยาง
หลังจากลุยเส้นทางวิบาก ผ่านถนนแคบ ๆ ที่บางช่วงต้องลุ้นว่าจะมีรถสวนไหมได้สักครู่ใหญ่ ก็เจอกับจุดชมวิวและถ่ายภาพจุดแรกของนาขั้นบันไดป่าบงเปียงครับ สวยจนลืมความกลัวไป (ชั่วขณะ)
จากจุดนี้มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อน ด้านซ้ายเป็นทุ่งนาขั้นบันได ด้านขวาเป็นแปลงปลูกพืชไร่หลากชนิด สีสันและขนาดแปลงที่ต่างกันทำให้เกิดลวดลายที่สวยงามมาก
ปัญหาที่เจอสำหรับการถ่ายภาพนาขั้นบันไดป่าบงเปียงในช่วงเย็นคือเป็นการถ่ายภาพย้อนแสงเกือบตลอด ซึ่งทำให้ contrast ของแสงบริเวณท้องฟ้ากับผืนป่าและนาด้านล่างต่างกันอย่างมาก ทางเลือกที่ดีคือใช้ filter graduate ครึ่งเทาช่วยลดแสงบริเวณท้องฟ้าลง หรือไม่อาจต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อเก็บแสงคร่อม over และ under แล้วนำไป blend ภายหลังในขั้นตอน post process ... แน่นอนว่าแบบแรกจะคล่องตัวและสะดวกกว่าครับเพราะไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องแต่ก็ต้องหาซื้อ filter ดังกล่าวซึ่งตัวที่คุณภาพดี ๆ ก็ราคาค่าตัวแพงพอ ๆ เลนส์ kit เลยทีเดียว ... สำหรับผมไม่มีฟิลเตอร์ก็ใช้ขาตั้งกล้องบ้างเป็นบางภาพ แต่ที่แน่ ๆ คือถ่ายด้วย format RAW เพื่อให้สามารถนำไป process ได้สะดวกในภายหลัง
ยังไม่จบภารกิจครับ ผมขับเลยเข้าไปอีกหน่อย และดูเหมือนว่าเส้นทางจะยิ่งโหดร้ายกว่าเดิม ... ขับไปกลั้นหายใจไปอีกอึดใจใหญ่ ๆ เราก็มาถึงมุมสวยอีกแห่งของนาขั้นบันได จุดนี้เห็นนาข้าวผืนใหญ่อยู่ตรงหน้า มองไปไกล ๆ เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีนักท่องเที่ยวเดินกันอยู่หลายกลุ่ม มีเข้ามาสอบถามทักทายเพราะต่างคนต่างก็ไม่แน่ใจว่าถึงหรือยัง 555
สภาพเส้นทาง
ช่วงเย็นแบบนี้การถ่ายภาพจะย้อนแสงนิด ๆ ทำให้นาข้าวยิ่งดูสวยงามขึ้น เพราะแสงบางส่วนที่ผ่านใบข้าวมานั้นจะทำให้เกิดสีเขียวอ่อนอมเหลืองงดงามมาก ดังนั้นหากต้องเลือกว่าจะมาถ่ายภาพช่วงเวลาไหน ผมอยากแนะนำให้มาช่วงบ่าย-เย็นครับเพราะจะได้แสงที่สวยงามหากมองจากบนถนน ถ้าโชคดีเกิดแสงเทพเป็นลำในช่วงเย็นด้วยล่ะก็ยิ่งงดงามขึ้นไปอีก ..
แต่สำหรับเพื่อน ๆ ที่มาในช่วงเช้าก็อาจได้เจอบรรยากาศนาข้าวท่ามกลางสายหมอกก็คงงดงามไปอีกแบบครับ
แม้ว่าจุดนี้เป็นจุดที่สวยงามมาก แต่ผมยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่จุดที่เคยเห็นในภาพถ่ายบางภาพ จึงตัดสินใจขับรถต่อไปอีก ไม่ไกลนักก็เจอป้ายหมู่บ้าน “ป่าบงเปียง” ผมเลี้ยวขวาเข้าไปตามทางเข้าหมู่บ้านแล้วขับเลยต่อไป เส้นทางเป็นถนนลูกรังแคบ ๆ ที่ค่อนข้างชื้นแฉะ เลยไปอีกหน่อยก็เริ่มมองเห็นป่าโปร่งมุ่งตรงไปเทือกเขาด้านหน้าที่ไม่มีวี่แววของนาขั้นบันได ผมเริ่มเห็นว่าคงไม่มีจุดสวย ๆ อื่นอีกแล้วจึงตัดสินใจหาที่กลับรถ (ซึ่งก็เล่นเอาเหงื่อตกเพราะหายากเหลือเกิน)
มุมนี้เลยหมู่บ้านป่าบงเปียงไปเล็กน้อย
ในที่สุดก็หาที่กลับรถจนได้
จากนั้นขับรถกลับมายังจุดเดิม เพื่อบันทึกแสงสุดท้ายของวันที่กำลังงดงามได้ที่ ... รอบนี้ผมเดินลงไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ระหว่างข้าวแต่ละแปลงเพื่อเก็บภาพในมุมที่ห้อมล้อมด้วยนาข้าวบ้าง
ช่วงนี้สะพายกล้อง 2 ตัว หนักคอโคตร ๆ เลย แต่ก็ทน เพราะจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์บ่อย ๆ ตัว D7000 ติดเลนส์ 70-200 f4 ส่วน D610 ติด 14-24 f2.8
เนื่องจากสภาพแสงเริ่มน้อยจนต้องใช้ขาตั้งกล้องซึ่งมีอยู่ตัวเดียว ช่วงหลัง ๆ จึงใช้เฉพาะ D610 กับ Nik 14-24 f2.8 nano เท่านั้น
กว่าผมจะเดินทางกลับก็มืดแล้ว ขากลับจึงเป็นอะไรที่ลุ้นไปอีกแบบเพราะเส้นทางที่ยากลำบากเมื่อมืดค่ำยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิม แต่นี่เป็นข้อดีของการนำรถมาเอง เพราะถ้าเช่ารถมาผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมอยู่จนมืดค่ำแบบนี้หรือเปล่า
ผมกลับถึงที่พักด้วยสภาพค่อนข้างสะบักสะบอมทั้งคนและรถ ยังไม่ทันเข้าห้องพักพี่เจ้าของที่พักก็เข้ามาทักทาย คงเป็นเพราะเห็นผมสะพายกล้องพะรุงพะรัง ก็เลยถามว่าไปถ่ายภาพที่ไหนมา คุยไปคุยมาจึงทราบว่าพี่เขาก็ชอบถ่ายภาพเหมือนกัน แถมยังรู้จักและติดตามงานผมอยู่ด้วย งานนี้ก็เลยยาว พูดคุยกันไปเรื่อยตั้งแต่ข้อมูลน่าสนใจของแม่แจ่ม ไปจนถึงทริปต่างประเทศตามประสาคนคอเดียวกัน ... มาถึงตรงนี้ก็เลยเพิ่งได้ทราบว่ามุมถ่ายภาพที่ผมอยากได้ของนาขั้นบันไดป่าปงเปียงนั้น ต้องเดินลงไปตรงหุบด้านล่างอีกหน่อย จึงจะได้เห็นสันของนาลดหลั่นกันลงไป ซึ่งดูสวยงามกว่าการถ่ายภาพจากมุมกดซึ่งมองเห็นนาข้าวอยู่ติดกันไปหมด .. รู้แบบนี้แล้วเสียดายจริง ๆ ครับที่ไม่เจอพี่เขาเสียก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่น ...
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าโดยตั้งใจจะขึ้นไปถ่ายภาพทะเลหมอกบนดอยม่อนหมาก ซึ่งผมก็อาศัยข้อมูลที่ทำไว้โดยมนต์เมืองแจ่มเช่นเคย แต่สถานที่เริ่มต้นวิธีการเดินทางนั้นไม่ได้เริ่มจากในตัวอำเภอ ... ด้วยความที่ไม่คุ้นชินเส้นทาง ปรากฎว่าผมขับขึ้นผิดดอยไปจนถึงมนต์เมืองแจ่มจึงได้รู้ว่าหลงซะแล้ว แต่ก็ไม่ละความพยายาม ลงดอยมาหาทางขึ้นจนเจอ แม้จะสายไปเกือบชั่วโมงก็ตาม ... ทั้งนี้เส้นทางช่วงท้าย ๆ โดยเฉพาะ 2 กม.ก่อนถึงจุดหมาย เริ่มจะเละเทะเหมือนทางไปป่าบงเปียง แต่แย่กว่าตรงที่บางช่วงของเส้นทางค่อนข้างชัน และถนนชื้นแฉะจากน้ำค้างช่วงเช้าตรู่ ... แม้ผมจะเคยขับรถบนเส้นทางแย่ ๆ มาพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นทาง off road ทำให้ช่วงหนึ่งที่ต้องขึ้นเนินที่มีร่องลึก ผมเลือกเข้าผิดช่องจนทำให้รถเสียหลักตกร่องริมทางจนล้อฟรีไปต่อไม่ได้ ... แม้ว่ารถสภาพดีมาก แต่เนื่องจากเป็นรถขับเคลื่นสองล้อ เมื่อตกอยู่ในสภาพนี้จึงไม่สามารถหลุดออกมาได้ ...
สภาพรถตอนตกร่องริมทาง
ยังโชคดีที่จุดนั้นพอมีสัญญาณโทรศัพท์ ... ผมตัดสินใจรอคนผ่านไปผ่านมา สักครู่ใหญ่ ๆ มีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซต์ผ่านมา ผมจึงขอความช่วยเหลือ เขาใจดีมากพยายามโทรติดต่อญาติ แต่ติดต่อไม่ได้จึงลงไปตาม จนราวชั่วโมงนึงผ่านไปจึงมีรถไถคันเล็ก ๆ มาช่วยกู้รถผมขึ้นจากหล่มได้ ... งานนี้สอนให้รู้เลยว่า ควรศึกษาเส้นทางให้ดีกว่านี้ และห้ามประมาทเด็ดขาดแม้สภาพรถดี แต่ในบางสถานการณ์ที่เราใช้ไม่ถูกก็อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้ ... นี่ยังดีที่ตกร่องไม่ลึกนักและรถไม่เสียหายอะไร แถมยังมีคนใจดีช่วยเหลือ นึกไม่ออกว่าหากเป็นกลางค่ำกลางคืนในจุดไม่มีสัญญาณจะทำยังไง
รถที่มาช่วยเหลือ
หลังจากรถผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว ผมขับรถเลยไปหน่อย (ใจยังกล้า 555) เพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าของภูเขาที่เต็มไปด้วยแปลงผัก มองไปด้านล่างเห็นตัวอำเภอแม่แจ่มกับทุ่งนาสีเขียวขจีอยู่ไกล ๆ
ถ่ายภาพอยู่ไม่นานนักผมก็รีบกลับลงมาที่พักเพราะสายกว่าที่วางแผนไว้เยอะแล้ว แต่ก็มิวายหยุดถ่ายภาพบรรยากาศทุ่งนาระหว่างทางที่แสงยามสายกำลังทำให้ทุ่งนาแห่งนี้สวยงามเต็มที่พอดี
ผมกลับมาถึงที่พักแบบเลอะเทอะไปทั้งตัว รีบอาบน้ำ จากนั้นก็ทานอาหารเช้าของ "เฮือนแรม แจ่มเมือง" เสร็จแล้วจึงอำลาพี่เจ้าของที่พักเพื่อเดินทางกลับ โดยเลือกเส้นทางผ่านอำเภอฮอดตามที่วางแผนไว้
ระหว่างทางได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามไปอีกแบบ โดยเฉพาะแปลงผักอยู่บนยอดเขาสวยงามมาก ๆ จนผมต้องหยุดถ่ายภาพเป็นระยะ
บนเส้นทางขากลับสู่เชียงใหม่ ผมแวะเข้าไปชมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่เพิ่งได้รับการโปรโมทไม่นานนี้ “ผาช่อ” ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วาง ... ลักษณะเหมือนแคนยอนขนาดย่อม ดูสวยงามแปลกตา .. แอบตกใจเหมือนกันที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก คงเป็นเพราะแรงโปรโมทนั่นเอง นับเป็นอีกหนึ่งจุดน่าแวะหากเดินทางมาท่องเที่ยวบนเส้นทางสายนี้ครับ
เดิมทีตั้งใจว่าค่ำคืนวันสุดท้ายจะให้เวลากับการถ่ายภาพวัดในเมืองเชียงใหม่และซื้อของที่ถนนคนเดิน แต่ปรากฏว่าคุณภรรยาป่วยหนัก และอาการเหมือนจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออกจึงต้องพาเข้าโรงพยาบาลด่วน แต่เมื่อตรวจเลือดแล้วไม่พบเชื้อไข้เลือดออกจึงค่อยเบาใจและรับยาฆ่าเชื้อมาทาน โดยหมอวินิจฉัยว่าอาจเกิดจากแพ้พิษแมลงบางชนิด ... ยังไงเพื่อน ๆ ที่เดินทางเที่ยวป่าเขา ควรติดยาที่จำเป็นไปด้วยนะครับ เผื่อฉุกเฉินจะได้ช่วยบรรเทาอาการป่วยได้
ทริปสั้น ๆ นี้จบลงด้วยประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผมคงต้องจำไปอีกนานทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของการขับรถ และการเตรียมข้อมูลที่เป็น hard copy ... “นาขั้นบันได” ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ หนทางก็แสนลำบาก ป้ายบอกทางก็น้อยเต็มที แต่นี่คือความดิบและดั้งเดิมที่หาไม่ได้แล้วในเมืองใหญ่ ... ท่ามกลางความยากลำบากของการเดินทาง ผมได้เห็นแต่รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือน นี่กระมังคือ “ความสุข” ของเหล่า “นักเดินทาง” ที่ใครได้เห็นก็อยากจะมาสัมผัสด้วยตัวเอง ...
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบผลงานถ่ายภาพ สามารถติดตามได้ที่ facebook page และ instagram @9mot ของผม รวมถึงติดตามอ่านเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพทั้งในและต่างประเทศได้ที่ www.9mot.com