ชื่อนั้น “ปิตุ๊โกร” หัวใจสีขาวแห่งผืนป่าอุ้มผาง
กลางป่าดิบเขียวครึ้มเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ธารน้ำสองสายไหลลงจากดอยมะม่วงสามหมื่นมาบรรจบรวมกันเป็นหนึ่งเดียวบริเวณหน้าผาสูงชันจนมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในน้ำตกสวยและสูงที่สุดของประเทศ ชื่อของน้ำตกนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว "ปิตุ๊โกร"
"น้ำตกนี้ไม่ใช่เพิ่งค้นพบหรอก พวกกะเหรี่ยงชาวป่ารู้จักกันมาอยู่แล้ว แต่ในทางท่องเที่ยวเพิ่งมาเจอก็เลยพากันจัดทริปจนดังขึ้นเหมือนเดี๋ยวนี้ กะเหรี่ยงเรียกน้ำตกนี้ว่าปิตุ๊โกร ส่วนเปรโต๊ะลอซูเป็นชื่อมาตั้งกันเอาเองทีหลัง ชาวบ้านไม่รู้จักหรอก" เสียงใครคนหนึ่งในอุ้มผางเล่าให้ฟัง
และผมได้รับคำยืนยันแจ่มแจ้งจากการพูดคุยกับชาวกะเหรี่ยงท้องถิ่น
"น้ำตกเปรโต๊ะลอซูเคยไปไหม" ...สีหน้าคู่สนทนางงงวยไม่มีคำตอบ พอเปลี่ยนเป็น "ปิตุ๊โกรล่ะเคยไปหรือเปล่า" จึงมีคำตอบพร้อมเสียงตอบรับ "อ้อ... เคยแล้ว อยู่ทางโน้น"
อย่างที่เล่าครับว่าปิตุ๊โกรเพิ่งมีชื่อขึ้นด้านท่องเที่ยวไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา ผมเห็นภาพถ่ายทางอินเทอร์เน็ตแล้วความอยากข้างในมันร่ำร้องบอกว่าอยากไปเหลือเกิน แต่ก็พลาดมาปีแล้วปีเล่า กระทั่งเข้าหน้าฝนปีนี้แหละ เมื่อเพื่องผองที่เคยเที่ยวลุยๆ ด้วยกันมาชักชวนว่าสนใจไปปิตุ๊โกรไหม ผมจึงตอบว่า “ไป” ทันที โดยไม่ต้องดูข้อแม้อื่นเลย
ขอพูดถึงการเที่ยวน้ำตกปิตุ๊โกรสักนิด ที่นี่การท่องเที่ยวยังไม่มีการจัดระเบียบชัดเจน ถามว่าเดินเองโดยไม่มีไกด์ได้ไหม... ตอบว่าได้ถ้าคุณรู้ทาง แต่ถ้าไม่รู้เส้นทางล่ะ... แนะนำให้ติดต่อผ่านบริษัททัวร์ รีสอร์ทนำเที่ยวต่างๆ ในอุ้มผางนั่นแหละ เขามีบริการครบวงจรค่อนข้างสะดวก วิธีนี้ชัวร์ที่สุด และจุดไฮไลท์รูปหัวใจที่นี่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนเท่านั้นนะ มิถุนายนจนถึงตุลาคม
---------------------------------
1
ทริปของเราเดินทาง 17 ชีวิต มุ่งหน้าสู่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หลังจากนั้นทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนที่ของรีสอร์ทซึ่งคนประสานงานติดต่อไว้... ง่ายๆ แค่นี้แหละ
ที่คนเยอะเพราะกำหนดวันเดินทางเป็นช่วงหยุดอาสาฬหาบูชา มิถุนายนที่ผ่านมา ตั้งต้นจากหมอชิตกลุ่มใหญ่ไปเจอกับกลุ่มย่อยที่ บขส.แม่สอด ซึ่งมีรถกระบะสองคันของรีสอร์ทมารับอยู่แล้ว (ส่วนวิธีการเดินทางด้วยรถโดยสารผมจะทิ้งไว้ให้ท้ายรีวิวครับ)
โฉมหน้าก๊วนนี้ครับมีทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ มีครู มีนักศึกษา มีนักศึกษาวิชาครู มีทหาร มีพยาบาล มีเภสัชกรมีบาร์เทนเดอร์ มีหนุ่มสาวชาวแบงค์ และอื่นๆ อีกหลากหลาย และรับประกันว่ามีอย่างหนึ่งเหมือนกันคือลุยทุกคน
จาก บขส.แม่สอด รถกระบะพาเราผ่านอำเภอพบพระ เข้าอำเภออุ้งผาง เส้นทางคดเคี้ยวมากกว่า 1,200 โค้งนั่นแหละ ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง มีคนอ้วกทะลักพอสมควร แต่ไม่ขอประจานนะว่าใครบ้าง (ฮา...)
รถพาพวกเรามุ่งหน้าจากตัวอำเภออุ้งผาง สู่บ้านกุยเลอตอ ขนาดคันของเราขับแบบ วินซ์ ดีเซล ต้องคาราวะยังใช้เวลาตั้งชั่วโมงครึ่ง
จุดรวมพลและเริ่มต้นเดินสู่น้ำตกอยู่ริมถนนแบบนี้แหละ ก็จัดแจงข้าวของสัมภาระให้เรียบร้อย เรามีไกด์สองคน ไม่มีลูกหาบ (แต่อ้อนไกด์ให้ช่วยแบกของนิดหน่อยละนะ ฮา...)
วันหยุดยาวคนมาตามหาหัวใจสีขาวกันเยอะมาก เราเริ่มเดินเกือบบ่ายสองโมงคิดว่าคงเป็นกรุ๊ปช้าที่สุด ทว่ากลับมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายสิบและทะยอยตามหลังมาเรื่อยๆ
เส้นทางการเดินสู่แคมป์พักแรมไม่ไกลมาก ผมว่าแค่ราว 4-5 กิโลเมตร (ประมาณเองครับ) แถมไม่ได้ชันอะไร เพียงแต่ผ่านภูมิประเทศหลากหลาย และต้องลุยโคลนลุยน้ำแบบไม่มีทางเลี่ยง
หลังจากย่ำโคลนตั้งแต่เริ่มเดิน เราจะผ่านสู่เขตไร่ข้าวโพดของชาวกะเหรี่ยง บางส่วนเป็นทุ่งนาที่ปีนี้ยังไม่ได้ลงมือปลูก ข้อสำคัญคือเส้นทางที่นี่ยังอยู่ในเขตท้องไร่ท้องนาจึงมีทางแยกไปนั่นไปนี่หลายทาง แต่กลับไม่มีป้ายบอกทางไปน้ำตกเลยสักนิดเดียวจึงง่ายต่อการหลง ซึ่งนั่นเป็นประสบการณ์ตรงของผมเลยล่ะ
ด้วยเป็นนักท่องเที่ยวเยอะ ไกด์ของแต่ละกลุ่มจึงพยายามรีบเดินเพื่อไปจองพื้นที่ค้างแรมที่แคมป์ ปล่อยให้ลูกทัวร์เดินกันเอง งงกันเอง
ผมเดินเป็นคนแรกๆ ของกรุ๊ปตัวเอง เดินมาสักพักหนึ่งเจอชาวบ้านถามว่าจะไปไหนกัน “ไปน้ำตกครับ ปิตุ๊โกร” ผมว่า “ไม่ใช่แล้ว ไม่ได้ไปทางนี้” ชาวบ้านตอบ อ้าวแล้วยังไงล่ะ ตัวผมยังกลับลำทัน แต่ปัญหาคือมีสี่ห้าคนที่เดินไปก่อนแล้วสิ เดือนร้อนต้องวางเป้แล้วใส่ตีนหมาวิ่งตามคนข้างหน้า กว่าจะแจ้งข่าวว่ามาผิดทางได้ครบก็เล่นเอาลิ้นห้อยเลยทีเดียว
แต่ไม่ใช่แค่ผมหรอกนะที่หลง มาทราบทีหลังว่ากรุ๊ปอื่นๆ และเพื่อนในทีมอีกหลายคนก็หลงระเนระนาดเหมือนกัน ดังนั้นระวังกันหน่อยครับ
พอกลับมาสู่เส้นทางถูกต้องก็เดินลุยต่อ ข้ามน้ำบ้าง โคลนบ้างตามระเบียบ ข้อดีมากของที่นี่คือไม่มีทากดูดเลือดมารบกวนใจ ชื้นแฉะแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวล
เราเดินเข้าเขตป่าจนมาถึงแคมป์พักแรมชั้นล่างสี่โมงเย็นนิดๆ หักลบกลบเวลาหลงทางไปแล้วสรุปว่าเดินจากจุดเริ่มต้นมาถึงตรงนี้แค่สองชั่วโมงสิบห้านาทีประมาณนั้น โชคดีด้วยแหละที่ฝนไม่ตกมาเป็นอุปสรรค
คนที่แคมป์เยอะมากครับ ได้ยินว่าน่าจะเกือบสองร้อยเลยทีเดียว มีทั้งเต็นท์ เปล นอนปลาทู (นอนเรียงๆ กันใช้แค่ฟลายชีตขึงกันฝนกันน้ำค้าง) นอกจากแคมป์ตรงนี้ยังมีด้านบนใกล้น้ำตก และบนดอยมะม่วงสามหมื่น แต่จุดนี้สะดวกสุดเพราะอยู่ตรงลำธาร มีน้ำสำหรับดื่มและทำอาหารแบบไม่อั้น ส่วนห้องน้ำไม่ต้องถามหานะครับ ไม่มีอยู่แล้ว
2
วันนี้นาฬิกา (คน) ปลุกพวกเราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แถมแต่ละคนเพิ่งหลับกันได้ไม่เท่าไหร่เพราะอากาศอบอ้าวมาก แถมพวกนอนปลาทูโดนแมลงอะไรสักอย่างที่ตบไม่ได้ตีไม่โดนรุมกัดคันคะเยอตุ่มขึ้นตามๆ กัน เป็นอีกข้อต้องระวังครับ
ตื่นมาทำอาหารเช้ากินพร้อมกับเก็บสัมภาระสุมไว้ ประมาณแปดโมงเช้าไกด์จึงพาเราเดินขึ้นไปยังไฮไลท์ของทริปคือน้ำตกปิตุ๊โกรชั้นหัวใจ และดอยมะม่วงสามหมื่น การขึ้นไปใช้ได้สองทาง เราเลือกขึ้น-ลงคนละทาง จุดหมายแรกอยู่บนดอยมะม่วงสามหมื่น พอต้องขึ้นดอยแล้วเส้นทางชักจะชันเอาเรื่องเหมือนกัน
ถ่ายรูปชมวิวจนอิ่มหนำแล้วก็ลงกลับทางเดิม ขาลงเสียเวลานานทีเดียวเพราะมีคนสวนขึ้นมาเรื่อยๆ ลงจนถึงแคมป์ก็ต้องเดินลงต่อไปน้ำตก ถึงตอนนี้หัวใจผมตุ๊มต่อมเต้นระรัวแล้วล่ะ ภาพที่อยากเห็นกับตาใกล้ความจริงเข้ามาทุกที
นี่คือสายธารสุดท้ายด้านล่างน้ำตกครับ เรามาถึงตอนเที่ยงวันพอดี จากจุดนี้อีกไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรคือที่หมาย
อ้อ... ปริมาณน้ำที่เห็นในภาพแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เพราะปีนี้ฝั่งตะวันตกของบ้านเราฝนตกค่อนข้างน้อย ขนาดเรามาอุ้มผางตั้งหลายวันยังไม่เจอฝนสักแปะ หากใครมาเที่ยวตอนน้ำเต็มร้อยจะอลังการกว่านี้อีกหลายเท่าครับ
อิ่มเอมกับปิตุ๊โกรให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราลงมากินข้าวเที่ยงตรงธารน้ำด้านล่าง เล่นน้ำกันอีกสักพัก มีกรุ๊ปมาตั้งแคมป์ผูกเปลกางเต็นท์กันแถวนี้ด้วยครับ อย่างที่บอกคือที่นี่ยังไม่มีระเบียบจัดการชัดเจนอะไร
เสร็จสรรพเราค่อยๆ พากันเดินเลาะน้ำตกกลับไปที่แคมป์ รู้สึกว่าทางนี้ไกลกว่าขาขึ้นมาเสียอีก (คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้) เดิน เดิน เดิน ประมาณห้าสิบนาทีจึงมาโผล่ฝั่งตรงข้ามกับแคมป์ที่นอน
มาถึงตอนแดดออกพอดี โอ้โฮ... น้ำใสสุดๆ ใสกว่าน้ำก๊อกที่บ้าน ใสยิ่งกว่าน้ำจืดจากที่ใดที่เคยเห็น คำว่าสายน้ำจากป่าเขาจริงๆ มันเป็นแบบนี้สินะ
พวกเราเก็บของเสร็จเริ่มเดินออกจากแคมป์ก่อนบ่ายสามโมงเล็กน้อย ขากลับต่างคนต่างมุ่งหน้าจ้ำเอาๆ ใช้เวลาชั่วโมงเศษก็มาถึงริมถนนจุดเริ่มต้นเส้นทาง รถกระบะสองคันมารอรับเรากลับไปที่รีสอร์ทอยู่แล้ว
ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกกับแอ็คชั่นสุดท้ายของการพิชิตปิตุ๊โกรสักหน่อย
อุ้มผางเป็นอีกหนึ่งอำเภอที่ถือว่ามหัศจรรย์มากๆ ที่สำคัญมันเป็นทางผ่านไปไหนไม่ได้ ใครจะมาเที่ยวจึงต้องปักหมุดโดยเฉพาะเท่านั้น ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองและจะต้องมีครั้งที่สามอีกแน่นอน
แต่ครั้งที่สามจะเป็นที่นี่ที่เดิม... หัวใจสีขาวแห่งผืนป่าอุ้มผางอีกครั้งหรือไม่ ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยตอบคำถามแล้วกันครับ
-----------------------------------
การเดินทางสู่ “ปิตุ๊โกร” ด้วยรถโดยสาร
- นั่งรถมาลง บขส.แม่สอด
- จากแม่สอด นั่งสองแถว แม่สอด-อุ้งผาง ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง
- จากอุ้มผาง นั่งสองแถว อุ้มผาง-บ้านเปิ่งเคลิ่ง ผ่านบ้านกุยเลอตอ แต่เวลารถออกไม่แน่นอนและมีน้อยมากประมาณสองชั่วโมงต่อคัน ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงครึ่ง
- การเดินทางด้วยรถโดยสารแบบแบ็คแพ็คจะทำให้เราไม่มีไกด์นำทาง (ถ้าอยากได้ไกด์ต้องเสียเวลาเข้าไปหาในหมู่บ้าน) และอย่างที่บอกคือที่นี่ง่ายต่อการหลง ถ้าไปกันหลายคนยังพออุ่นใจ ถ้าจะไปกันสองสามคนโดยที่ยังไม่มีใครเคยมาก่อน... อันตรายครับ ยกเว้นมาวันเสาร์ซึ่งเดี๋ยวนี้มีกรุ๊ปมาเที่ยวแทบทุกสัปดาห์
- และอย่าลืมครับ ปิตุ๊โกรมีน้ำเฉพาะฤดูฝน มาช่วงอื่นไม่มีให้ชมนะเอ้อ
-----------------------------------
ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ
www.facebook.com/alifeatraveller
-----------------------------------