Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
วิศวกรช่างฝัน และ สถาปนิกช่างอู้ กับการตะลุย “ดอยม่อนจอง” ดอยม่อนจอง (Doi Mon Chong) จ.เชียงใหม่
    • Posts-1
    Archineer •  January 30 , 2016

    อารัมภบท

    ผมเชื่อว่า การเดินป่าสามารถเปลี่ยนคนได้

    เปลี่ยนอะไรบ้างน่ะเหรอ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ว่า จะได้คำตอบ ผมคงต้องถามป่า

    แต่ผมคิดว่า คำตอบดีๆน่าจะไม่ได้มากับความเร่งรีบ (ในการไปกลับ) หรือความสะดวกสบายที่ถูกจัดไว้ในผืนป่า

    ในการเดินป่าครั้งนี้ ผมจึงเลือกป่าที่สมบุกสมบันและมีสิ่งอำนวยความสะดวกในเส้นทางน้อยหน่อย

    และเพื่อให้ป่ามีเวลามอบคำตอบที่ดีและครบถ้วนให้ผม ผมเลยเลือกที่จะค้างแรมในป่าด้วย 1 คืน

    แต่การเดินทางไปถามเองคนเดียวแล้วตอบเองเออเองคนเดียวคงไม่สนุกหรือรื่นรมย์เท่าไรนัก

    “วิศวกรช่างฝัน (ไปโน่นไปนี่)” อย่างผม จึงชักชวนเพื่อนซี้นามว่า “สถาปนิกช่างอู้ (ตลอดศก)” ออกจากพื้นที่เดิมๆที่มีแต่อิฐกับปูน ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่กับใบหญ้ากัน

    ป่าที่ให้เกียรติยั่วยวนพวกเราอยู่ไม่ใกล้มากแต่ก็ไม่ไกลนักจากเมืองกรุง หากดูจากหน่วยวัดของเวลาบนฟากฟ้า

    ป่าแห่งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก ป่าแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า ป่าอมก๋อย

    ใช่แล้วครับ พวกเราเดินทางไปหาคำตอบกันที่ “ดอยม่อนจอง”

    • Posts-2
    Archineer •  January 30 , 2016

    ทำไมต้อง “ดอยม่อนจอง”

    แน่นอนว่า ผมไม่ได้เลือก ดอยม่อนจอง เพียงเพื่อไปหาคำตอบของป่าเพียงอย่างเดียว แต่เพราะผมอยากไปดูและไปสัมผัสกับวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมธรรมชาติอย่างสันเขาที่ทอดยาวราวกับเป็นแผ่นหลังของไดโนเสาร์ขนาดยักษ์ด้วย

    ตอนที่ทราบสถานที่ๆจะไป เจ้า “สถาปนิกช่างอู้” ผู้ร่วมเดินทางของผมเกิดความสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นดอยม่อนจองด้วย

    อาจเป็นเพราะความช่างอู้ของมันที่ทำให้มันรู้สึกว่า นี่คือการเดินทางที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก

    (ผมเชื่อว่า คงโหดมากมายกว่าความรู้สึกที่อยู่บนความ “ช่างฝัน” ของผมเป็นแน่แท้)

    ผมเลยบอกมันไปว่า ความโหดนี่แหละที่อาจทำให้เราได้คำตอบสำคัญอะไรบางอย่าง (เกลี้ยกล่อมมันสุดๆ)

    ที่สำคัญ ด้วยความที่พวกเราก็มีอายุอานามเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายมากๆแล้ว

     ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วจะไปกันตอนไหนล่ะ

    ...ดีใจที่มันเห็นด้วยกับผม

     

    กำหนดการเดินป่าของพวกเราคือวันที่ 19-20 พ.ย. 2558 (ค้าง 1 คืน)

    • Posts-3
    Archineer •  January 30 , 2016

    จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

    การเริ่มต้นที่ไม่ดี ก็อาจแค่ทำให้เข้าถึงเป้าหมายได้ช้าลง

    แต่การตื่นไม่ทัน (รถตู้ไปอมก๋อย) อาจทำให้เราเริ่มต้นไม่ได้เลย

    วิศวกรและสถาปนิกผู้รักการนอนตีหนึ่งตีสองอย่างพวกเราจึงจำเป็นต้องตื่นตีสามครึ่ง เพื่อให้ไปทันขึ้นรถตู้เชียงใหม่-อมก๋อยในตอนตีห้า (ถ้าไม่ทัน ทริปก็ล่ม ...ไอ้เพื่อนช่างอู้ของผมมันยิ่งเชียร์อยู่ มันเลยตื่นช้า)

     

    รถตู้พาเรามาส่งที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวดอยม่อนจองประมาณ 09.30 น.

    ผมที่นั่งเมารถมาตลอดทาง จึงได้โอกาสนั่งพัก และรับฟังการสมน้ำหน้าจากไอ้เพื่อนตัวแสบ

     

    เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บอกเราว่า เราคือนักท่องเที่ยวชุดแรกของวัน ...ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก

    เราติดต่อพี่ลูกหาบ และรถโฟร์วีลที่จะพาเราขึ้นไปยังจุดเดินเท้าขึ้นดอย ณ ศูนย์แห่งนี้

     

    พี่ลูกหาบของเรา คือ พี่ “จะสอ” ชาวเขาเผ่ามูเซอ และคนท้องถิ่นผู้มีอัธยาศัยดีมากๆ (พี่จะสอไม่ได้เป็นแค่ลูกหาบ แต่ยังเป็นผู้นำทาง เป็นพี่ชาย และเป็นเพื่อนเราด้วย เราเดิน คุย กิน และถ่ายรูปด้วยกันไปตลอดทาง ...เราโชคดีจริงๆ)

    • Posts-4
    Archineer •  January 30 , 2016

    จุดเริ่มต้นของความโหด (รถโฟร์วีล)

    เมื่อเราพร้อม รถโฟร์วีลก็พร้อม เราออกเดินทางในเวลาประมาณ 10.00 น.

    หากไร้รถโฟร์วีล การเดินทางคงลำบากขึ้นหลายเท่า

    เพราะแม้จะนั่งบนรถแค่ 1 ชั่วโมง พลังงานในร่างกายพวกเราก็โดนลดทอนไปไม่น้อย

    มันคือพลังงานที่ใช้ไปกับการ ยึด ยัน และเกร็ง

    “ยึด” เกาะรถโฟร์วีลให้มั่น เพื่อไม่ให้กระเด็นตกจากรถ

    “ยัน” ฝ่าเท้ากันและกันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กระดอนมาชนกันได้ (เรานั่งหันหน้าชนกัน)

    “เกร็ง” กล้ามเนื้อบั้นท้าย เพื่อต้านความระบมจากการกระแทกกับพื้นกระบะรถ

    เส้นทาง 1 ชั่วโมงนี้ มันสาหัสสากรรจ์มาก

    หลุมบ่อที่คอยเขย่ารถ กิ่งไม้ที่คอยตบหน้า มีครบถ้วนตลอดเส้นทาง

    ใครอยากเผชิญความชันระดับ 50-60 องศา รับรองยิ่งไม่ผิดหวัง

    1 ชั่วโมงนี้ สำหรับพวกเราแล้ว มันคือความสะใจของชีวิตจริงๆ

    พวกเราหัวเราะกันไปตลอดเส้นทาง ...555

    (ใครที่อยากไป ขอเตือนว่า จินตนาการของท่านนั้นมักสวยงามกว่าความเป็นจริงเสมอ 555)

    • Posts-5
    Archineer •  January 30 , 2016

    มุ่งสู่แนวสันเขา

    ณ จุดเริ่มเดินเท้า มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่

    เราทั้งสองต่างกราบไหว้ขอพรให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นและปลอดภัย

    หลังผ่านความทรหดบนรถโฟร์วีลมาแล้ว คงไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วล่ะ

    เราสวัสดีลาพี่คนขับโฟร์วีล แล้วเริ่มเดินเท้าสู่ยอดดอย โดยมีพี่จะสอนำทาง

    อากาศเย็นสบายสดชื่น ไม่มีแสงแดด ไม่มียุง ช่างเหมาะกับการเดินป่ามาก

     

    เราเดินผ่านป่าสนในช่วงแรก ต้นสนแต่ละต้นต่างทอดสูงพอๆกัน ดูแล้วคงอายุไล่เลี่ยกัน

    สนแต่ละต้นเว้นช่องไฟระหว่างกันอย่างเป็นระเบียบ ราวกับถูกใครจับวางไว้ไม่ให้อยู่ชิดกันมากไป

    เมื่อบวกกับกิ่งก้านที่แผ่ขยายบนที่สูงของมัน ทำให้บริเวณนี้สร้างความปลอดโปร่งให้กับอารมณ์ของผม

    ถัดจากป่าสน เราก็เดินเข้าสู่พื้นที่ป่ารก ซึ่งมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์เติบโตกันอย่างเบียดเสียด

    แม้ป่ารกนี้จะตั้งอยู่ในบริเวณที่สูงกว่าป่าสน แต่แสงอาทิตย์กลับหาทางลงแตะพื้นดินได้น้อยกว่า

    ถึงจะมีบรรยากาศร่มรื่นย์กว่า แต่ความปลอดโปร่งที่ลดลงก็ทำให้ผมอึดอัดและอยากหลุดจากจุดนี้ไวๆ

     

    เราเร่งฝีเท้าผ่านทางราบและทางชัน เพราะรู้ว่า ปลายทางนั้นยังอยู่ห่างไกล

    หลายครั้ง เรามองเห็นสิ่งที่ถูกใจ แต่ตัดใจไม่บันทึกภาพ เพื่อรักษากำลังและเวลา

    (และหลายครั้ง เรายอมเสียกำลังและเวลา เพราะบางอย่าง เราก็อดใจไม่ได้จริงๆ)

    เมื่อร่างกายเราเริ่มสะสมความล้าของกล้ามเนื้อจากการเดินขึ้นเดินลงเนินน้อยใหญ่ของป่า

    เราก็ได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ “จะสอ” ผู้ซึ่งหาบสิ่งของร่วมสิบกว่ากิโลของพวกเรา

     

    พี่จะสอไม่เคยบ่น ไม่เคยขอเวลาพักจากเรา มีแต่จะช่วยแบกของให้เราเพิ่ม ช่วยพยุงเราในเส้นทางที่ลำบาก

    พี่จะสอช่วยถ่ายรูปให้เราด้วย แถมยังมอบรอยยิ้มและความเป็นกันเองให้เราตลอดเส้นทางอีก

     

    พี่ครับ...พี่สุดยอดจริงๆ

    พอเราเข้าใกล้บริเวณสันเขา พืชพรรณไม้เริ่มมีเบาบางลง ผมรู้สึกดีขึ้น

    อากาศยังคงเย็นสบาย เราเดินผ่านต้นเฟิร์นและทุ่งเฟิร์นที่พบบ่อยขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเราย่างเหยียบสันเขา

     

    สันเขาของดอยม่อนจองมีลักษณะคล้ายๆกับยอดกิ่วแม่ปาน (ดอยอินทนนท์) และคงอีกหลายดอยของไทย

    ฝั่งที่ปะทะกับลมเย็นและลมหนาวจะมีต้นไม้น้อยจนถึงไม่มีเลย ต่างจากอีกฝั่งที่ต้นไม้หนาแน่นกว่ามากๆ

    แต่ก็ต้องขอบคุณลมเย็นและลมหนาวที่พัดผ่านสันดอยเช่นกัน เพราะมันทำให้เราได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์แบบไร้อะไรกั้น

    เรามองเห็นผืนแผ่นดินที่มีเนินเขาน้อยใหญ่ขึ้นสลับกันยาวไกลสุดลูกหูลูกตาทอดสู่ทิศตะวันตกของประเทศ

    คนช่างฝันอย่างผมอดคิดไม่ได้ว่า ในอดีตอันไกลโพ้น ผืนแผ่นดินแห่งนี้จะเคยเป็นท้องมหาสมุทรมาก่อนรึเปล่า

     

    เราพากันสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันอย่างเต็มที่ แล้วขอพี่จะสอหยุดพัก

    (จริงๆแล้ว เราทำเพื่อให้พี่ได้หยุดพัก เพราะเรามีพี่ เราเลยไม่เหนื่อยมากครับ)

     

    • Posts-6
    Archineer •  January 30 , 2016

    เลาะสันเขาสู่จุดกางเต๊นท์

    ถ้าเราไปกางเต๊นท์เสร็จไว เราก็จะมีเวลาพักและมีเวลาเดินไปหัวสิงห์ก่อนค่ำได้

    คนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดคือ พี่จะสอ เพราะพี่แกหาบของเดินนำหน้าพวกเราไปแล้ว

    ส่วนพวกเรา แม้จะอยากไปให้ถึงจุดกางเต๊นท์ไวๆ แต่ก็อดชักช้าไม่ได้ เพราะอยากซึมซับบรรยากาศ

    ผมเดินตามพี่จะสอไป ชมความสวยงามของภูผาใหญ่แห่งนี้ไป พร้อมกับถ่ายรูปไป

    ส่วนไอ้เพื่อนของผมน่ะเหรอ มันเซลฟี่ไปตลอดทาง เลยเดินตามมาอย่างเชื่องช้า (ช่างอู้สมชื่อจริงๆ)

    การถ่ายรูปหลังจากเดินป่ามาเป็นเวลานานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เราคิด

    ลักษณะภูมิประเทศคืออุปสรรคลำดับแรก  บางจุดเป็นเนินสูงชัน อยากถ่ายก็ต้องยั้งใจ

    หากสนใจแต่จะขยับหามุมสวยๆ แล้วเกิดเหยียบพลาดขึ้นมา ก็อาจถึงขั้นร่วงตกเหวได้

     

    ความล้าคืออุปสรรคต่อมา ยอดดอยนั้นมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก

    แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เราจึงคิดว่า แค่ได้ลั่นชัตเตอร์ก็ดีมากเท่าไรแล้ว

    เราเลยเน้นถ่ายภาพให้เยอะกันเข้าไว้ก่อน เผื่อว่าอาจมีรูปดีๆโผล่ขึ้นมาให้เราเลือกชมและแบ่งปันภายหลังได้บ้าง

    ตาที่มัวจากความล้าคงทำให้ผมมองสิ่งที่ไม่ชัดเป็นชัดไปด้วย ภาพของผมถึงมีแบบที่ไม่ชัดมากกว่าที่ชัด

     

    ยิ่งได้เจออุปสรรคจากการเดินป่านานๆแบบนี้แล้ว ผมยิ่งเห็นความสำคัญของเท้ามากขึ้น

     

    การเดินป่านานๆต้องการเท้าที่สุขภาพดีทั้งสองข้างของเรา รองเท้าเดินป่าที่ดีจึงจำเป็น

    รองเท้าที่ดีไม่ใช่รองเท้าที่ช่วยทำให้เราไม่สะดุดล้ม หรือช่วยให้เราทรงตัวได้ดี ไม่ลื่นง่าย

    ประโยชน์ของมันมีมากมาย เช่น ช่วยป้องกันเท้าเราจากการกระแทกสิ่งกีดขวางระหว่างทาง

    มันยังช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้ามาในเท้าหรือขาเราได้ง่ายๆ เช่น มด (เจอบ่อย) กับทาก

    รองเท้าที่ดียังทำให้เท้าและเข่าของเราไม่รับแรงเฉือนหรือแรงกดจากสภาพเส้นทางมากเกินไป

    หากเป็นรองเท้าแบบหุ้มข้อ มันยังช่วยป้องกันไม่ให้ข้อเท้าเราพลิกจากเส้นทางที่ขรุขระได้ด้วย

    จริงๆผมก็รู้คุณสมบัติของมันแบบงูๆปลาๆเท่านั้น จนกระทั่งผมได้มาตะลุยป่าที่นี่ ผมถึงเข้าใจ

    เพราะผมทั้งลื่นไถล (ในจุดที่ชันมากๆ) ทั้งเตะนู่นเตะนี่ ทั้งสะดุด ซึ่งรองเท้าก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา

    (ใครจะมาดอยม่อนจองช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบเรา ฝนอาจยังไม่หยุด ดินอาจยังเปียกชื้น ระวังลื่นด้วยนะครับ)

    แต่จริงๆก็ไม่ใช่แค่รองเท้านะครับที่สำคัญ เราจำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อส่วนขาที่แข็งแรงด้วย

    จะได้ช่วยยึดและพยุงเท้าและเข่าได้ดีขึ้น การออกกำลังกายเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมจึงสำคัญ

     

    ด้วยเหตุนี้ ไอ้เพื่อนตัวดีของผม ที่ไม่เชื่อผมเรื่องรองเท้า และยังไม่เตรียมร่างกายมาอีก เลยเจ็บเข่าเข้า

    (ผมไม่พลาดโอกาสที่จะสมน้ำหน้ามันคืนอยู่แล้ว 555)

     

    ระหว่างทางเดินสู่จุดกางเต๊นท์ เราได้ผ่านลานกว้างซึ่งเรียกว่า สนามกอล์ฟช้าง

    พี่จะสอเล่าว่า เมื่อก่อน ลานแห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งช้างเดินผ่านไปมาเพื่อหาอาหาร

    เราต้องเดินลงจากเนินเข้าไปในป่าอีกครั้งเพื่อลงสู่จุดกางเต๊นท์ บางจุดชันพอสมควร

    ผมฝันถึงจุดกางเต๊นท์ข้างลำธารเล็กๆ ส่วนสถาปนิกช่างอู้บ่นตลอดทางเพราะเจ็บเข่า

    เราเดินเท้าถึงจุดกางเต๊นท์ในเวลาประมาณ 13.30 เราเดินทางกันมาแล้วประมาณ 5 กิโลเมตร

    เรากางเต๊นท์ข้างตาน้ำเล็กๆ ไม่ใช่ลำธารอย่างที่ผมฝัน แต่ความสงบร่มรื่นย์ของมันคือสิ่งชโลมใจ

    • Posts-7
    Archineer •  January 30 , 2016

    หัวสิงห์

    เมื่อยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตก พวกเราเลยพักผ่อนกัน

    ด้วยความเหนื่อย ผมเลยงีบในเต๊นท์ ...เวลาผ่านไป จากงีบกลายเป็นหลับยาว

    ผมตื่นมา 4 โมงเย็น ตื่นมาฟังเพื่อนผมมันบ่นว่าผมคือตัวการที่ทำให้จะไปถึง “หัวสิงห์” ล่าช้า

     

    เรารีบแบกเป้ขึ้นหลัง แล้วมุ่งตรงสู่สนามกอล์ฟช้าง

    พอผ่านเนินชันก่อนถึงสนามกอล์ฟ เราพึ่งได้รู้ว่า การแบกเป้ขึ้นเนินชันๆมันเป็นเยี่ยงนี้

    เราก้าวเท้าได้ช้าลงเรื่อยๆ และหอบขึ้นเรื่อยๆ ไอ้เพื่อนจอมอู้ของผมได้ที “เดินขึ้นไปก่อนไป”

     

    ความสวยงามของทิวทัศน์บริเวณสนามกอล์ฟช้างสะกดพวกเราให้อยู่กับที่

    ยิ่งสายตาของเราได้เดินทอดน่องจากสันเขาไปสู่สุดขอบฟ้าไกล เราก็ยิ่งผ่อนคลาย

    ณ สันเขาจุดนี้ เราถ่ายรูปกันอย่างไม่บันยะบันยัง และรู้สึกว่า มาแค่นี้ก็คุ้มมากแล้ว

    แต่มาทั้งที เราจะยอมไม่ไป “หัวสิงห์” ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของดอยม่อนจองได้อย่างไร

    เราจึงหยุดช่วงเวลาสวยงามบนสนามกอล์ฟช้างไว้ที่ 30 นาที แล้วย่ำเท้ากันต่อ

    ช่วงเวลา 3 กม. จากสนามกอล์ฟช้างสู่หัวสิงห์นั้น คือเส้นทางที่สวยงามที่สุดของดอย

    เราถึงหัวสิงห์กันตอนเวลาประมาณ 18.30 พร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดิน

    • Posts-8
    Archineer •  January 30 , 2016

    ความมืดมิดใต้แสงดาว และอัศวินรัตติกาล

    เรายืนชื่นชมบรรยากาศที่ “หัวสิงห์” จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป

    อ่าว...มืดสิครับ มืดมาก

    นี่หมายความว่า เราต้องเดินฝ่าดงความมืดเป็นระยะทาง 3 กม. เพื่อกลับเต๊นท์

     

    ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดของความมืดอยู่บริเวณคอหัวสิงห์

    ณ จุดที่เราเดินลงนั้น เหวลึกอยู่ข้างๆขาเราไม่ถึงคืบเท่านั้น

    วิศวกรและสถาปนิกผู้ใจไม่ถึงอย่างเราต้องย่อตัวแล้ว “นั่งเดิน” ลงไป

    โดยมีพี่จะสอ ผู้ไม่เคยเกรงกลัวหุบเหวใดๆ เดินชิวๆตามลงมา

     

    พอลงจากคอของหัวสิงห์แล้ว เราได้ให้พี่จะสอช่วยนำทางพวกเรา เพราะเราไม่มั่นใจ

    ผมเตรียมไฟฉายขนาดเล็กมาด้วย ส่วนเพื่อนผมใช้ไฟฉายจากมือถือของมัน เรายังคงเตรียมพร้อม

    แต่พี่จะสอ พระเอกตัวจริงของพวกเรา บอกแค่เพียง ขอแสงเล็กน้อยจากดวงดาวบนฟ้าเท่านั้น

     

    พี่จะสอเดินนำเราลิ่วไปไกล ทั้งๆที่ไม่มีไฟฉายหรือตะเกียง ที่ให้แสงสว่าง

    (แม้จะเดินนำเราไป แต่พี่จะสอจะหันมาดูเราตลอด โดยเฉพาะบริเวณที่อันตราย)

    ท่ามกลางความมืดมิดจากฟ้าที่ปิดและแสงดาวเพียงเล็กน้อยนั้น พี่จะสอมองเห็นทางได้ยังไง เราต่างสงสัย

    พวกเราต่างก็ค่อยๆเดินมาด้วยกัน ผมต้องรอเพื่อนช่างอู้ของผม เพราะมันเจ็บเข่า

     

    เรากลับถึงเต๊นท์กันประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ...หิวมากกกก

    เราล้างมือด้วยน้ำขวดก่อนจะนำอาหารที่พวกเราเตรียมไว้ออกมาวางหน้ากองไฟ

    ขนมปังง่ายๆที่เราเตรียมกันมาเพื่อให้การเดินทางของเราง่ายและเบาที่สุดไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป

    ข้าวเหนียวกับไก่ย่างที่เราซื้อที่จุดพักรถตู้ ณ ตัวเมืองอมก๋อยต่างหากที่ทิ่มตาและยั่วน้ำลายเรา

    ในเวลาเหนื่อยโฮกเช่นนี้ ขนมปังฟาสต์ฟู้ดที่ไร้ซึ่งรสชาติ ไม่ควรเป็นรางวัลแก่การเดินทางหนักของเรา

    เราลงมือกินข้าวเหนียวไก่ย่างร่วมกับพี่จะสออย่างเอร็ดอร่อย

    ท่ามกลางอากาศหนาวยามค่ำคืน กับกองไฟเล็กๆและแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องว่างของแมกไม้

    คงไม่มีอะไรอร่อยและได้บรรยากาศกว่านี้อีกแล้ว ...ช่างสุขแท้

     

    พวกเราเข้านอนในเต๊นท์ โดยมีถุงนอนอันอบอุ่นกันความหนาวให้อีกชั้นหนึ่ง

    ส่วนพี่จะสอ นอนข้างกองไฟ และใช้กระสอบพลาสติกผูกกับกิ่งไม้ที่ปักอยู่กับดินมากันลมหนาว ...สุดยอดดด!

    ใจผมอยากสัมผัสชีวิตเต็มที่แบบพี่จะสอบ้าง แต่สุดท้ายก็ขอบาย “อย่าสร้างภาระให้คนอื่นเลย”

     

    ผมฟังเสียงลมและน้ำค้างที่หยดลงบนเต๊นท์ตลอดคืน ก่อนที่จะหลับไป ...

    (หลับไปพร้อมกับความสุขเล็กๆที่ว่า เราคือนักท่องเที่ยวเพียงกลุ่มเดียวของวัน)

    • Posts-9
    Archineer •  January 30 , 2016

    ดอยแห่งสายหมอก

    เช้าวันใหม่ของการเดินทาง

    เสียงกะเทาะของกิ่งไม้ในกองไฟที่พี่จะสอก่อไว้เพื่อต้านความหนาว คือสิ่งแรกที่ผมได้ยิน

    ความหนาวเย็นในตอนเช้าของดอยทำให้ผมอยากนอนต่ออีกสักชั่วโมง

    แต่ความน่าสนใจภายนอกเต๊นท์คือสิ่งที่ทำให้ผมอยากลุกออกไปมากกว่า

    ทะเลหมอก คือ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะได้ยลบนดอยม่อนจองแห่งนี้ ผมจึงรีบมุดออกจากเต๊นท์

    ผมออกจากเต๊นท์มาปะทะไอเย็นของหมอกยามเช้า มีหมอกหนาแน่นไปหมด ...สวยมากกกก

    ผมรู้สึกว่า ธรรมชาติได้โอบอุ้มพวกเราอยู่ หมอกที่หนาแน่นนั้นดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าดูน่ากลัว

    บรรยากาศแบบนี้ยิ่งทำให้ผมอยากออกไปชมทะเลหมอกที่สันเขาตรงสนามกอล์ฟช้างเร็วๆ

    เรากินอาหารเช้าอยู่ในดงหมอก พี่จะสอผู้ต้องหาบของหนักลงดอยเติมพลังด้วยไก่ย่างที่เหลืออยู่

    ส่วนเรากินอาหารง่ายๆเท่านั้น เพราะยังรู้สึกอิ่มท้องจากมื้อค่ำที่ผ่านมา ...อิ่มใจเพราะบรรยากาศด้วย

    เพื่อนผมมันกินขนมปังเซเว่น ส่วนผม ขอแค่ช็อคโกแลตเอ็มแอนด์เอ็มไม่กี่เม็ดก็เพียงพอแล้ว

    พอทานข้าวเสร็จ เราก็ช่วยกันเก็บของแล้วออกเดินทาง พวกเราถึงสนามกอล์ฟช้างกันตอนประมาณ 8.00 น.

    ความฝันของผมที่จะได้เห็นทะเลหมอกซึ่งฝังตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาได้จบลงแล้ว

    เพราะหมอกที่ขึ้นอยู่เหนือพื้นดินบนดอยนั้นยังคงหนาแน่นและไม่มีท่าจะจางลงง่ายๆ

    แต่มันก็ไม่ได้ลดความสุขใจในสิ่งที่ผมได้เห็นเลย เพราะบรรยากาศที่หมอกโอบอุ้มเราแบบนี้มันเกิดขึ้นง่ายๆซะที่ไหน

    ผมยินดีมากๆกับสิ่งที่ผมได้พบนี้ ...เราไม่ได้เห็นทะเลหมอก เพราะเราอยู่ในทะเลหมอกเสียเอง ...ช่างสดชื่นกว่าที่ใด

    โดยปกติ เดินลงเขาจะเร็วกว่าเดินขึ้นเขา แต่ก็ใช่ว่าจะต่างกันมากนัก

    เพราะเดินลงเขาก็ใช่ว่าจะอันตรายน้อยกว่าเดินขึ้นเขา ถ้าพลาดก็ตกเขาได้

    ยิ่งเพื่อนช่างอู้ของผมมันเจ็บเข่าด้วยแล้ว เราเลยไม่รีบร้อนในการเดินมากนัก

    สำหรับผม สิ่งเดียวที่การเดินลงเขาดูดีกว่าการเดินขึ้นเขาคือ เหนื่อยน้อยกว่าเท่านั้นเอง

    ส่วนเพื่อนผม ขาลงนี้ เข่าของมันคงรับน้ำหนักมากกว่าเดิม โดยเฉพาะบริเวณทางชัน

    มันถึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตลอดทาง ดูจากสีหน้าแล้ว มันน่าจะเจ็บไม่น้อย

    ผมเดินนำหน้ามันและหันไปดูมันเป็นระยะ ถ้ามันตกลงมา ผมจะได้รับมันได้

     

    เวลาล่วงเลยไป 9-10 โมงเช้า สายหมอกก็ยังปกคลุมเราราวกับเพื่อนที่มาส่งเรากลับ

    สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่า เราเดินมาใกล้ถึงจุดสิ้นสุดการเดินเท้าแล้วก็คือ เสียงของลิงป่า

    (จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการเดินเท้าเป็นจุดเดียวกัน ซึ่งก็คือจุดที่รถโฟร์วีลจอดส่งเรา)

    เมื่อได้ยินเสียงของพวกมัน พี่จะสอก็เอาปากประชิดอุ้งมือที่แนบชิดกันสองข้างแล้วผิวปากเรียกพวกมัน

    หลังจากพี่จะสอส่งสัญญาณเป็นเสียงที่ลิงป่าใช้เรียกกันออกไป เสียงของลิงป่าก็เงียบหายไปทันที

    รอแล้วรอเล่า เราก็ไม่เห็นมัน บางทีพวกมันคงสงสัยในเสียงที่ไม่คุ้นเคยนี้ ก็เลยไม่ปรากฏตัวออกมา

    ผมขอให้พี่จะสอสอนวิธีผิวปากกับอุ้งมือให้เป็นเสียงที่ลิงป่าใช้เรียกกัน แต่ทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จสักที

    ส่วนเพื่อนผมมันค้าน “อย่าเรียกมันมาสิวะ ขอเรากลับกันอย่างสวัสดิภาพดีกว่า” ...555 ตลกมันจริงๆ

    ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการเดินเท้า กำลังใจของเราก็มีมากขึ้น พร้อมกับเท้าที่ก้าวไวขึ้น

    ขาขึ้นดอย กำลังใจของเรามาจากความต้องการขึ้นไปชมความสวยงามของทิวทัศน์ที่หาตัวจับได้ยาก

    ขาลงดอย กำลังใจของเรามาจากความอยากกลับบ้าน แปลกแต่จริง...เราอยากหนีบ้านมาดอยนี่นา

    ผมรู้สึกว่า กำลังใจที่จะได้กลับบ้านนั้นมีมากกว่ากำลังใจที่จะได้ยลโฉมความสวยงามมากมายนัก

     

    เราถึงจุดสิ้นสุดของการเดินเท้าในเวลาประมาณ 10.45 น. รถโฟร์วีลมาจอดรอเราแล้ว

    ก่อนขึ้นรถ เราเดินไปยังพระพุทธรูปเพื่อสักการะและขอบคุณที่ท่านมอบความราบรื่นและปลอดภัยให้

    หลังขึ้นรถ เรานึกขึ้นได้ว่า การผจญภัยของเรายังไม่จบ เราต่างแย่งชิงพื้นที่ๆน่าจะสบายที่สุดบนรถกัน

    เรายังเหลือการผจญภัยบนรถคันนี้อีก 1 ชม. “เอาวะ ทนเจ็บอีกนิด จะได้กลับบ้านแล้ว”

     

    แม้จะอยากกลับบ้านมาก แต่พอรถออกวิ่งไปสักพัก กลับมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจผม

    ...

    ...

    ...

    ...

    “ทำไมเราถึงค้างบนดอยแค่คืนเดียวเองนะ”

    • Posts-10
    Archineer •  January 30 , 2016

    สิ้นสุดการเดินทาง

    ในการเดินทางครั้งนี้ ผมได้เรียนรู้ที่จะเป็นจอมอู้ที่ดีขึ้น

    ส่วนเพื่อนสถาปนิกของผมก็คงได้เรียนรู้ความช่างฝันของผมไปบ้าง

    นอกจากนี้ เราทั้งคู่ยังได้เรียนรู้ทักษะการเดินทางแบบหมู่คณะมากขึ้น

    การเดินทางคนเดียวอาจให้ทำให้เราได้ทำอะไรทุกอย่างที่เราต้องการก็จริง

    แต่ถ้ามีเพื่อนร่วมทาง เราจะสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคนเดียวทำได้

     

    ผมได้เห็นแผ่นหลังของไดโนเสาร์แล้ว

    ส่วนคำถามที่ผมถามตัวเองก่อนเดินทางนั้น ผมก็ได้คำตอบแล้ว

    มันแฝงอยู่ในเรื่องราวการเดินทางด้านบน ทั้งในตัวอักษรและในรูปถ่าย

     

    ประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันคงทำให้ป่าสอนเราได้ไม่เหมือนกัน และคำตอบของผมคงไม่เหมือนใคร

    ...

    ...

    ...

    ...

    แล้วคุณล่ะครับ ป่าสอนอะไร?

     

    พบกันใหม่ในครั้งหน้ากับการเดินทางของพวกเรา Archineer (อาร์ขิเนียร์) ครับ

  1. View more