Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
48 ชั่วโมง ที่ "แพร่" ไม่อยากให้เมืองนี้เป็นแค่ "ทางผ่าน" จังหวัดแพร่ (Phrae Province) จ.แพร่
    • Posts-1
    theTripPacker •  November 21 , 2017

    แพร่... 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด Plus

    ปกติเวลาใครจะขึ้นไปแอ่วเมืองเหนือ จังหวัดยอดฮิตในใจนักท่องเที่ยวก็คงจะหนีไม่พ้น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน แต่พอพูดถึง "แพร่" หลายคนยังนึกไม่ออกว่าจังหวัดนี้มีอะไรน่าสนใจ บางคนใช้เป็นแค่ทางผ่านไปจังหวัดอื่น ๆ เท่านั้น หนักกว่านั้น...บางคนอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจังหวัดแพร่อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จัก "แพร่" กันให้มากขึ้น เข้าถึงวัฒนธรรมของคนเมืองนี้ให้มากกว่าเดิม แล้วเราจะได้รู้ว่า ... เมืองแพร่แห่งนี้ ไม่ควรเป็นแค่ทางผ่านอีกต่อไป ... 

    • Posts-2
    theTripPacker •  November 21 , 2017

    การเดินทางที่คุณ ... เลือกได้ ...

    ทริปเที่ยวแพร่ในครั้งนี้เราเดินทางด้วย สายการบิน Nok Air ซึ่งเป็นสายการบินเดียวที่มีเส้นทางบินตรง จากดอนเมือง ไปยังจังหวัดแพร่ เมื่อเราได้วันเดินทางที่แน่นอนแล้ว เราก็เข้าเว็บไซต์เพื่อทำการจองตั๋วเครื่องบินกันเลย

    ตอนนี้เว็บไซต์ของ Nok Air ได้ปรับโฉมใหม่ ให้ใช้งานง่ายมากขึ้นกว่าเดิม และเมื่อเราได้วันที่เราต้องการเดินทาง และจุดหมายปลายทางของเราแล้ว ก็กดค้นหาเที่ยวบินกันเลยครับ

    เข้ามาถึงส่วนของการเลือกประเภทตั๋ว ทาง Nok Air ก็ปรับให้ง่ายมากขึ้นกับการจองตั๋วรูปแบบใหม่ ที่เราสามารถเลือกได้ตามสไตล์ของเราเลยครับ โดยประเภทตั๋วจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 

    • บินเบา ๆ (Nok Lite) ที่เหมาะกับคนที่เน้นความคล่องตัวในการเดินทาง มีเป้ใบเดียวหนักไม่เกิน 7 กิโล ก็พร้อมลุยได้เลย 
    • บินสบาย (Nok X-tra) ที่นอกจากจะได้นำหนัก 7 กิโลสำหรับถือขึ้นเครื่องแล้ว ยังโหลดกระเป๋าเดินทางได้อีก 15 กิโลอีกด้วย ใครของเยอะต้องเลือกแบบนี้ไปเลยครับ  
    • บินเพลิดเพลิน (Nok Max) อันนี้จัดเต็มทุกอย่างตั้งแต่สัมภาระขึ้นเครื่อง 7 กิโล โหลดกระเป๋าได้อีก 15 กิโล และยังอิ่มอร่อยกับเมนูอาหารที่พร้อมเสิร์ฟร้อนบนเครื่องอีกด้วย

      **ตั๋วทุกประเภทมาพร้อมบริการน้ำดื่มบนเครื่อง และสามารถเลือกที่นั่งล่วงหน้าได้ครับ

    สำหรับคนข้าวของเยอะอย่างเรา ไหนจะกระเป๋าเดินทาง กระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้อง โน๊ตบุ๊ค ทริปนี้เราเลยเลือก ตั๋วประเภท บินสบาย (Nok X-tra) จะได้ไม่ต้องกังวลกับของมากมายที่เราจะเอาไปด้วยครับ แอบเสียดายนิดหน่อยที่เส้นทางไปแพร่ไม่มีตั๋วประเภทบินเพลิดเพลินให้เลือก เลยอดได้ชิมอาหารอร่อย ๆ บนเครื่องก่อนเริ่มทริปกันเลย

    และหากใครต้องการซื้อบริการเสริมเพิ่มเติม ก็สามารถเลือกเพิ่มได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักกระเป๋า ประกันเดินทาง หรือบริการอื่น ๆ ที่สามารถเลือกได้ในแต่ละเที่ยวบิน เมื่อเลือกจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เตรียมตัวจ่ายค่าตั๋วครับ ซึ่งก็มีช่องทางการชำระเงินให้เลือกมากมายตามความสะดวก หลังจากได้ Booking Number มาแล้ว ก็สามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้ 90 วันก่อนการเดินทาง แค่นี้ทริปแพร่ของเรา ก็พร้อมออกเดินทางแล้ว

    • Posts-3
    theTripPacker •  November 21 , 2017

    วันที่ 1 : บินตรงมุ่งสู่...ประตูแห่งล้านนา (09.00 น.)

    เรามาถึงสนามบินดอนเมืองล่วงหน้าเกือบ 2 ชั่วโมง จะได้มีเวลาเหลือ ๆ ให้เช็คอิน โหลดกระเป๋า หาอะไรรองท้องตอนเช้า เผื่อว่าคนเยอะจะได้ไม่รนมากครับ เราตรงไปที่แถว 14 เคาน์เตอร์ของ สายการบิน Nok Air เพื่อทำการเช็คอิน โหลดสัมภาระ และรับบอร์ดดิ้งพาส อย่าลืมเช็คข้อมูลกันก่อนว่าเราต้องไปที่ Gate ไหน เวลาเรียกขึ้นเครื่องกี่โมง ทุกอย่างระบุใน Boarding Pass เรียบร้อยแล้วครับ

    เมื่อได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง เราก็รอให้เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่องตามลำดับที่นั่งในตั๋วครับ ไม่ต้องกลัวว่าเรียกหลัง ๆ แล้วจะหาที่ยืนในรถไม่ได้นะครับ พอเต็มหนึ่งคัน เค้าก็จะเอาคันใหม่มารอรับครับผม จากนั้นรถ Bus จะพาเราไปยังเครืองซึ่งวันนี้เราได้บินไปกับ "นกของขวัญ" สีสดใสลำนี้ครับ

    เครื่องที่เรานั่งไปวันนี้เป็นเครื่องใบพัด Q400 ปกตินั่งแต่เครื่องลำใหญ่วันนี้เลยได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบ ถึงจะเป็นเครื่องเล็ก แต่ความกว้าง และระยะของที่นั่งก็ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด ผู้ชายตัวค่อนข้างสูงอย่างผมยังนั่งได้สบาย ๆ ครับ เจ้าหน้าที่ของ Nok Air ในชุดยูนิฟอร์มสีเหลืองสดใสให้บริการเราด้วยรอยยิ้ม ก่อนขึ้นบินก็ต้องทำความเข้าใจกับข้อปฎิบัติบนเครื่องกันก่อน เมื่อเครื่อง Take off เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาบริการน้ำดื่มนกชื่นใจ และเตรียมช็อปปิ้งบนฟ้ากันได้เลย นั่งอ่านนิตยสาร Jib Jib เพลิน ๆ  ยังไม่ทันจบดี เราก็ได้ยินสัญญาญเตรียม Landing กันแล้ว พอมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เป็นการย้ำเราว่า "ถึงเมืองแพร่แล้วจริง ๆ นะ"

    • Posts-4
    theTripPacker •  November 21, 2017
    • Posts-5
    theTripPacker •  November 23 , 2017

    48 ชั่วโมง ที่...เมืองแพร่ ทริปนี้เราจะพาไปแอ่วที่ไหนกันบ้าง?

    เพื่อให้ทุกคนเข้าใจง่าย และตามเราไปเที่ยวได้สนุกมากขึ้น เราเลยทำเป็นแผนที่ทริปนี้ขึ้นมา เผื่อใครติดใจอยากไปเที่ยวแบบเดียวกับเราก็เซฟแผนที่ หรือเซฟรีวิวนี้เก็บไว้ได้เลยครับ

    เรามาถึงแพร่ไฟลท์เช้าประมาณ 10.30 น. และเนื่องจากทริปนี้เรามีเวลาแค่ 48 ชั่วโมง เราจึงไม่อยากพลาดสถานที่ต่าง ๆ ทีเราได้ลิสไว้ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวกันเองครับ ซึ่งที่สนามบินแพร่ก็มีให้บริการอยู่ 2-3 บริษัทด้วยกัน แนะนำว่าให้โทรจองล่วงหน้าไว้เลยดีกว่าครับ ส่วนใครที่กลัวเรื่องเส้นทาง กลัวหลง กลัวรถติด บอกตรงนี้เลยครับว่า เมืองแพร่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีความหนาแน่น และรีบเร่งอะไรเลย แค่ศึกษาเส้นทางมาล่วงหน้าซักหน่อยก็ถือว่าไม่มีอะไรยากแล้วครับ

    • Posts-6
    theTripPacker •  November 23 , 2017

    ร้านน้ำย้อยเมืองแป้ กาดน้ำทอง (11.30 น.)

    หลังจากที่เรารับรถมาเรียบร้อยแล้ว ดูเวลาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง และแน่นอนว่าอย่างแรกที่ร่างกายโหยหา คือ อาหารเหนือแบบฉบับเมืองแพร่ และไม่ไกลจากสนามบินแพร่มีร้านขนมจีนเจ้าอร่อยตั้งอยู่ในบริเวณกาดน้ำทอง เราไม่รอช้าขับรถมุ่งหน้าไปยังร้าน ไม่เกิน 5 นาทีเราก็มาถึง "ร้านน้ำย้อยเมืองแป้"

    ที่นี่เป็นร้านขนาดใหญ่เลือกนั่งได้ 2 ฝั่ง ลักษณะเป็นเพิงไม้ชั้นเดียวตกแต่งสไตล์ล้านนา หาที่นั่งได้แล้วเราก็เริ่มเลือกเมนูจากกระดานเมนูด้านบน เราเลือกมาเฉพาะเมนูแนะนำของร้าน ได้แก่ น้ำย้อยเมืองแป้ โดยในชุดจะมีขนมจีนเส้นสดที่บีบ และรวบเส้นขึ้นมาแบบสด ๆ ทำให้ได้เส้นที่เล็ก เหนียวนุ่ม และไม่แห้งเกินไป ทานคู่กับน้ำซุปใสกระดูกหมู และเลือดหมู เติมน้ำพริกน้ำย้อยลงไปด้วยอีกหน่อยเพิ่มความหอม โดยคนแพร่เรียกขนมจีนว่า ขนมเส้น และขนมเส้นน้ำใสแบบนี้มีให้ทานแค่ที่จังหวัดแพร่ที่เดียวเท่านั้นครับ เมนูอื่น ๆ ที่เราลองสั่งมาทานก็ยังมีอีกมายมาย เช่น ข้าวกั้นจิ้น ตำน้ำปู แคบหมู ซึ่งร้านนี้เค้าไม่หวงเครื่องเคียงนะครับ มีผักสด และผักลวกให้เราตักเติมได้ไม่อั้นอีกด้วย

    เพลินกับการทานขนมเส้นเมืองแป้ รู้ตัวอีกทีคนก็เต็มร้านแล้ว เราสังเกตได้ว่าลูกค้าเกือบจะทั้งร้านใส่ชุดหม้อห้อม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อ หรือจะเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดแพร่เลยก็ว่าได้ นับเป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกภูมิใจไปกับคนที่นี่จริง ๆ ครับ ที่ยังคงรักษาประเพณี และวิถีชีวิตของคนรุ่นเก่าเอาไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน 

    • Posts-7
    theTripPacker •  November 23, 2017
    • Posts-8
    theTripPacker •  November 23 , 2017

    ร้านกล้วยทอดป้าอุไร (13.00 น.)

    ทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่มแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือโซนเมืองเก่า ซึ่งน่าจะใช้เวลาทั้งวัน ดังนั้นเราจึงต้องหาของทานเล่นระหว่างทางตุนไว้ด้วย ออกจากร้านน้ำย้อยเมืองแป้ เลี้ยวซ้ายแล้วเดินลัดเลาะริมถนนมาไม่เกิน 500 เมตร เราจะได้กลิ่นหอมที่ลอยมาเชื้อเชิญเราแต่ไกล ตามกลิ่นไปจนถึงเราจึงได้รู้ว่าต้นตอของกลิ่นหอมนี้มาจาก ร้านกล้วยทอดป้าอุไร ดูจากคิวลูกค้าที่มารอกันหน้าร้านแล้ว ทำให้เรามั่นใจได้ว่าต้องเป็นของเด็ดของที่นี่แน่นอน 

    ร้านนี้มีทั้งกล้วย มัน เผือก ฟักทอง ราคาก็ตั้งแต่ 20 - 50 บาท แล้วแต่ความหิวเลย ใครรักพี่เสียดายน้องไม่สามารถเลือกได้ก็สั่งรวมได้เลย ลุงกับป้าใจดี ยิ่งถ้าหากเป็นนักท่องเที่ยวแกก็จะแถมให้พิเศษด้วย และขอบอกว่ารสชาตินั้นโดนใจสุด ๆ กล้วยชิ่้นใหญ่ แป้งกรอบนอก เนื้อนุ่มใน หวานมัน ขึ้นแท่นร้านกล้วยทอดอันดับหนึ่งในใจของผมไปเลยครับตอนนี้ นอกจากกล้วยทอดแล้วยังมีกล้วยปิ้งด้วย แต่พอดียังปิ้งไม่ทันสุกเลยอดชิม หากได้มาอีกครั้งหน้าคงต้องกลับมาลองให้ครบซะแล้ว  

    ร้านเปิดทุกวัน เริ่มขายตั้งแต่ 9 โมง ไปจนถึงบ่าย 3 โมง แต่ก็วางใจไม่ได้ เพราะบางวันเพิ่งจะบ่าย 2 ของก็หมดซะแล้ว ถือว่าเป็นร้านที่พลาดไม่ได้ ถ้ามาเที่ยวแพร่ต้องได้มาลองสักครั้งครับ

    • Posts-9
    theTripPacker •  November 24 , 2017

    คุ้มเจ้าหลวง (13.30 น.)

    มาเยือนเมืองแพร่ทั้งที เราก็ต้องมาศึกษาประวัติ และความเป็นมาของจังหวัดนี้กันให้ถึงแก่น และสถานที่ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ และศึกษาความเป็นมาของเมืองนี้มากขึ้นก็คือที่นี่ครับ "คุ้มเจ้าหลวง หรือคุ้มหลวงนครแพร่" ซึ่งปัจจุบันได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองแพร่เพื่อให้นักท่องเที่ยว และคนรุ่นหลังได้มาเยี่ยมชมกันครับ 

    คุ้มเจ้าหลวง หรือ คุ้มหลวงนครแพร่ แต่เดิมเคยเป็นที่ประทับของเจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ องค์สุดท้าย และเป็นคุ้มเจ้าหลวงเพียงไม่กี่แห่งในแผ่นดินล้านนาที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน คุ้มแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิง หลังคามุงด้วยไม้ เรียกว่า "ไม้แป้นเกล็ด" ไม่มีหน้าจั่ว ตัวอาคารมีความโอ่โถง มีประตู หน้าต่างทั้งหมดรวม 72 บาน งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน้ำ แค่เราเดินเข้ามาด้านหน้าเราก็รู้สึกได้ถึงความสง่างาม และมีเสน่ห์เป็นอย่างมากของอาคารหลังนี้

    ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. แต่ก็ขอความร่วมมือให้เคารพสถานที่กันด้วยนะครับ ทั้งในส่วนของการแต่งกาย และการปฎิบัติตามข้อกำหนดของสถานที่อย่างเคร่งครัด

    เราเดินชมไปทีละห้อง ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นของเก่าหายาก และเต็มไปด้วยเรื่องราว ข้าวของเครื่องใช้ในยุคก่อนที่สะท้อนถึงความเป็นล้านนาในแบบฉบับเมืองแพร่ที่หาดูได้ยาก เราโชคดีที่วันที่เราไปมีคณะของเด็ก ๆ มาทัศนศึกษากันที่นี่พอดีโดยได้ติดต่อไกด์ไว้แล้ว เราก็เลยทำตัวกลมกลืน และเดินตามเค้าไปด้วยครับ หรือหากใครต้องการติดต่อไกด์พาชมสถานที่ สามารถติดต่อที่สำนักงานด้านในได้เลยนะครับ

    ใต้ตัวอาคารมีห้องที่เชื่อว่าเป็นคุกใต้ดิน ซึ่งเวลาจะเข้าไปชมคนที่นี่เค้าจะมีเคล็ดว่าให้ถอยหลังเข้านะครับ โดยภายในจะเป็นห้องทึบแสงเข้าได้น้อยมาก ในอดีตเชื่อว่ามีไว้สำหรับคุมขัง ข้าทาส บริวาร ซึ่งกระทำความผิด ซึ่งก็ใช้งานมานานกว่า 50 ปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเลิกทาส คุกทาสจึงกลายมาเป็นที่คุมขังนักโทษทั่ว ๆ ไปของเจ้าหลวง หรือข้าหลวงในสมัยต่อ ๆ มา และเมื่อมีการสร้างเรือนจำเมืองแพร่ขึ้นใหม่ คุกแห่งนี้จึงว่างลง และคงหลงเหลือไว้เพียงตำนานมาถึงปัจจุบันครับ

    • Posts-10
    theTripPacker •  November 24, 2017
  1. View more