หลบฝนไปนอนฟินๆ บรรยากาศดีๆที่พักสวยๆที่ THE FLOATHOUSE RIVER KWAI
เข้าหน้าฝนแล้วไปไหนมาไหนก็ลำบาก เฉอะแฉะไปหมดนักเดินทางอย่างเราๆไม่รู้จะไปไหน อารมณ์อยากพักผ่อนชิลๆวันหยุด นั่งจิบเบียร์เย็นๆ นอนฟังเสียงน้ำไหลกับสายลมแผ่วๆ ถามน้ากู๋หาข้อมูลที่เที่ยวพักผ่อนสำหรับหน้าฝน ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี สุดท้ายตัดสินใจไปกาญจนบุรี ปีนี้ไปเที่ยวกาญฯบ่อยมากไปมัน3เดือนติดกันเลย 555+ แต่ยังไม่เคยมานอนแพริมน้ำแควน้อยเลย ครั้งนี้เลยจัดซักหน่อย มาสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
ทริปนี้ออกเดินทางจากบ้านลพบุรีแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เมืองกาญ ใช้เส้นทางผ่าน อ่างทอง สุพรรณฯ ถึงเมืองกาญใช้เวลาไม่มากไม่น้อยประมาณ3ชั่วโมงนิดๆก็ถึง มาเมืองกาญทั้งทีจุดแรกที่แวะเที่ยวถ่ายภาพต้องที่นี่เลย สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ที่อ.เมืองจ.กาญจนบุรี มากาญแล้วไม่ได้แวะที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงตัวเมืองกาญนะครัช บรรยากาศท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝน ท้องฟ้ามืดครึ้มไปหน่อยแต่ก็สวยไปอีกแบบ
สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่าย สัมพันธมิตร และกรรมกรชาวจีนญวน ชวา มลายูไทยพม่าอินเดียจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟแห่งนี้
ที่นี่ชาวต่างชาติมาเที่ยวชมกันค่อนข้างเยอะ เดินถ่ายรูปเล่นไปจนสุดทางสะพาน พอเหงือซึมๆก็กลับขึ้นรถไปที่อื่นต่อ
เดินชมสะพานเสร็จแล้ว สมควรแก่เวลาเราก็มุ่งหน้าสู่ สถานีต่อไปของเราคือ อ.ไทรโยค น้ำตกไทรโยคช่วงนี้น้ำน้อยครับไม่มีน้ำให้เล่นเลย ผิดแผนไปนิดหน่อยกะมาเล่นน้ำตกให้ฉ่ำปอด มาถึงไม่มีน้ำซะง้นทั้งๆที่เป็นช่วงหน้าฝนแท้ๆ ไม่เป็นไร เปลี่ยนแผนนิดหน่อยเลยไปเที่ยวชมช่องเขาขาดแทนแล้วกัน เลยทางเข้าที่พักไปไม่ไกล “ช่องเขาขาด” หรือ “ช่องไฟนรก” ตอนนี้สร้างเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ตั้งอยู่บริเวณ กม. 64–65 บนทางหลวง 323 สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ
แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ที่เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ปัจจุบันที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลออสเตรเลีย ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นได้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม
สวนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะที่เชลยศึกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัดเจาะภูเขาหินด้วยมือปราศจากเครื่องมืออันทันสมัย ให้เป็นช่องสำหรับสร้างทางรถไฟไทย-พม่า (เส้นทางรถไฟสายมรณะ) ทุกวันที่ 25 เมษายนของทุกปี จะมีชาวต่างชาติ และคนไทยเดินทางมาร่วมพิธีวันรำลึกถึงเชลยศึก ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งเรียกว่าวัน ANSAC DAY ซึ่งอาจเป็นบรรดาญาติพี่น้อง ครอบครัว และรวมถึงอดีตเชลยศึกชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายๆ ชาติ ที่รอดชีวิต ดอกไม้ แสงเทียน และพวงมาลา เป็นสิ่งแสดงความเสียใจ และแสดงความรำลึกนึกถึงการจากไปของผู้เป็นที่รัก ในเหตุการณ์ที่ตราตรึงของช่องเขาขาด
ธรรมชาติที่ปกคลุมเต็มสองข้างของช่องเขา ทำให้พื้นที่ศึกษาประวัติศาสตร์แห่งนี้ร่มรื่น และทำให้คนได้เดินชมประวัติศาสตร์แบบแอบอิงธรรมชาติ อย่างเย็นสบาย มีเรื่องราว ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ยังไม่เคยมา เราแนะนำว่าครั้งหนึ่งท่านต้องมาให้ได้ กับสถานที่แห่งนี้
เที่ยวชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์จนเพลิน บ่ายแกๆแล้วได้เวลาเดินทางเข้าสู่ที่พัก คืนนี้เราจะมานอนแบบชิดกับธรรมชาติกลางแม่น้ำแควน้อยที่ The FloatHouse River Kwai Resort สถานที่ทีได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดบูติครีสอร์ท Floating Villa ที่หรูและโรแมนติคที่สุดในแม่น้ำแควน้อย ท่ามกลางธรรมชาติสองฝั่งของขุนเขาอันเขียวขจี
การเดินทางมายังรีสอร์ท
จากเมืองกาญถนนเลี่ยงเมืองแยกแก่งเสี้ยน เดินทางตรงไป อ.ไทรโยค โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 323 ตรงไปตลอดเลยน้ำตกไทรโยคน้อยไปไม่ไกล ซ้ายมือประมาณหลัก กม. ที่ 129 จะมีป้ายบอกทางท่าเรือรีโซเทล เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมู่บ้าน อีก 2 กม. ซึ่งทางเล็กๆแคบๆเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขับไปจนถึงท่าเรือรีโซเทล (ริมแม่น้ำแควน้อย) ทางลงท่าเรือเป็นทางลงเขาชันนิดหน่อย ท่าเรือรีโซเทล มีที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบายมาก
ที่นี่จะมีเรือรับส่ง ลูกค้าจอดรออยู่โดยรับส่งให้ฟรีสำหรับลูกค้าที่เดินทางมาพัก จากท่าเรือใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที นั่งกินลมชมวิวไปแปบเดียวก็ถึง
เรือหางยาวจะรับส่งฟรีจนถึงเวลา 18.00 น. หลังจากนั้งต้องเสียตังเช่าเหมาลำเข้ารีสอร์ทนะครับ ราคา 1000 บ./เที่ยว ที่นี่ เช็คอิน 13.00 น. – 18.00 น. และเช็คเอาท์ 8.00 น. – 12.00 น.
บริเวณลอปบี้ด้านหน้า จัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว
พนักงานสาวสวยรอต้อนรับเป็นอย่างดี ^^ เชคอินเรียบร้อยแล้วได้เวลาเข้าห้องนอนพักผ่อนกันแระ วันนี้เรานอนกันที่ห้อง B1
ทางเดินจากลอบปี้ไปห้องพัก ชอบมากคือสร้างไว้ด้านหลังห้อง คนจะไม่เดินพลุกพล่านผ่านหน้าห้องเหมือนที่อื่น
ที่นี้สร้างด้วยไม้หมดเลย แลดูคลาสสิคมีสไตล์เป็นของตัวเอง ทางเดินมีแผงไม้ไผ่กั้น สร้างความเป็นส่วนตัวให้แขกแต่ละห้องได้เป็นอย่างดี
ถึงแว้ววว ประตูหน้าบ้านนี่แนวดีใช้ได้เลย ชอบๆๆ
แค่เปิดประตูเดินผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาก็ตื่นเต้นแล้ววว
เปิดเข้ามาชมบรรยากาศภายในห้องนี่ฟินเรยยยย นี่มันสวรรค์ของคนเดินดินชัดๆ 555+
แต่ละห้องนี่ออกแบบมาค่อนข้างดี ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างเยอะ
ภายในห้องค่อนข้างกว้าง เมื่อเทียบกับแพทั่วๆ ไป มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดเป็นส่วนพอสมควร
เช่นมีทั้งมุมโต๊ะนั่งทำงาน เตียงนอน โชฟานั่งเล่นนอนเล่นดูทีวี และห้องน้ำ
จากตรงนี้นะนั่งหรือนอนชมวิวเขาวิวแม่น้ำด้านหน้าก็สามารถทำได้จากในห้องนี้เลย ฟินมากกกก
หรือจะออกมานอนรับลมเย็นๆ นั่งจิบเบียร์แกล้มบรรยากาศ ลมพัดเย็นๆสบายๆก็ทำได้สบายสุดๆเลย
บริเวณด้านหน้าห้องมีระเบียงให้นั่งเล่น ขวามือจะมีชิงช้าให้ทุกหลัง เวลาที่ออกมาเดินเล่น นั่งเล่น นอนเล่นที่ระเบียงเนี่ย จะมีความโคลงเคลงอยู่เล็กน้อยครับ
ด้านข้างมีโทรทานข้างให้ เผื่อว่าจะสั่งอาหารมาทานกันที่นี่ หลังโต๊ะนั้นเป็นประตูเปิดเข้าออกด้านข้างได้ด้วย
กลับเข้ามาสำรวจด้านใน มุมนี้จะเป็นมุมโต๊ะทำงาน เอาโน๊ตบุคมานั่งเล่นได้สบายๆ
ที่นี่ให้น้ำดื่มฟรี 4 ขวดนะ เค้าแถมให้อีก 2 ขวดแช่อยู่ในตู้เย็น ชา กาแฟฟรี นอกนั้นราคาตามบิลเลยครัช
ตู้เสื้อผ้า มีชุดคลุม รองเท้าแตะ ร่ม ตู้เซฟ พร้อม
ห้องน้ำแบ่งแยกเป็นสัดส่วนดีมาก ฝั่งซ้ายเป็นห้องส้วม และขวามือเป็นห้องอาบน้ำด้านนอก
ห้องน้ำก็จะแบ่งออกเป็นห้องสุขา และห้องอาบน้ำ เป็นสัดส่วน
อ่างล้างหน้า เครื่องใช้ต่างๆในห้องน้ำมีพร้อม
ในห้องอาบน้ำก็จะมีทั้งฝักบัว และ Rain Shower ให้เลือกตามใจชอบเลย
สุขาแยกออกมาจากห้องอาบน้ำ ชักโครกอย่างดีเลย
ออกมานั่งเล่นหน้าห้องบ้าง ชมบรรยากาศแม่น้ำแควน้อย กับขุนเขาที่โอบล้อมเราไว้ บรรยากาศแบบนี้ แค่ได้เบียร์เย็นๆ จิบเพลินๆ ซักกระป๋อง ก็ฟินสุดๆ แล้วครับ
บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน ในช่วงหน้าร้อน อาจจะร้อนเกินไปสักหน่อยสำหรับคนไทย
ช่วงที่ผมไปนี่เจอฝนนิดหน่อย แต่บรรยากาศดีไปอีกแบบครับแนะนำให้ลองมากันหน้าฝน หรือไม่ก็หน้าหนาวครับ
ถ้าโชคดีอาจจะเจอหมอกลอยเหนือน้ำในตอนเช้า คงสวยไปอีกแบบ
บรรยากาศในช่วงย่ำค่ำ
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ตื่นมาไม่มีแดดเลยเจอฝนโปรยปรายมาแต่เช้ากันเลย
สายแล้วหิวแว้ววว ออกไปทานอาหารเช้ากันครับ
สำหรับมื้อเช้าที่นี่จะเป็น Buffet ครับ มาดูที่ไลน์ Buffet สำหรับมื้อเช้ากัน อาหารไม่เยอะเท่าไหร่ เฟรนช์โทส ไส้กรอก เบคอน แฮม และมุมไข่ ผมว่าเบคอน และไส้กรอกถือว่าอร่อยตามมาตรฐาน ส่วนใครต้องการไข่ดาว หรือ Omlet ก็สามารถแจ้งพนักงานที่ห้องอาหารได้เลยเค้าทำกันสดๆ ตามออเดอร์ตรงนั้นเลย
มุมอาหารไทยๆ กินกันให้พุงกางกันไปเรยยยย ^___^
4โมงเช้า เรามาเชคเอ้าเพราะเราจาไปเที่ยวกันต่อ ^^
นั่งเล่นไป รอเรือหางยาวมารับกลับท่าเรือที่จอดรถ
โดยรวมแล้วรู้สึกประทับใจกับที่พักเดอะ โฟลทเฮ้าส์ ห้องพักสวย แพสวย คือดีมากอ่ะ ชอบเลยล่ะ เหมาะแก่การมาพักผ่อน หนีความวุ่นวาย อยู่เงียบๆ มานอนฟังเสียงลมเสียงน้ำ จิบเบียร์เย็นๆไป โอ้ยยย ชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วววว ประมาณนั้นเรยยยย
ออกจากที่พักมาสี่โมงเช้า เวลายังเหลือๆ แวะนี่ก่อนเลยครับ ทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ มาไทรโยคทั้งทีถ้าไม่แวะน้ำตกก็ต้องมานี่ล่ะครับ พอดีน้ำตกแวะแล้วไม่มีน้ำก็ต้องที่นี่เลย Unseen ไทรโยค
แวะไหว้พระขอพรภานในถ้ำซะหน่อย
วิวแพริมน้ำ
มาถูกช่วงเวลาพอดีเลย รถไฟมาประมาณ5โมงกว่าๆ
ลานจอดรถมีร้านค้า ของฝากของที่ระลึกมากมาย
ถัดมาไม่ไกลกันจากทางรถไฟสายมรณะ เรามาแวะกันต่อที่ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือใน เขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรีแวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ
บ่ายกว่าๆหาอะไรใส่ท้องแล้วออกเดินทางกลับบ้านกัน
ทางผ่านกลับบ้านเอาอีกซักหน่อย กับวัดถ้ำเสือ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
กราบนมัสการพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีตัวองค์ พระสวยงามประดับ ด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์
วิวด้านล่างของวัดถ้ำเสือกับท้องนาอันเขียวขจีในฤดูเพาะปลูก
เลยวัดถ้ำเสือไปประมาณ 10 กม. จะมีต้นจามจุรียักษ์ หรือต้นก้ามปูยักษ์ อีกหนึ่ง Unseen เมืองกาญอีกเช่นกัน มาถึงต้องตะลึงในความใหญ่โตของต้นไม้และกิ่งก้านสาขาสวยงามร่มรื่น ต้นจามจุรียักษ์มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาด 10 คนโอบ
กว่าจะได้ออกจากเมืองกาญทริปนี้เล่นเอาเย็นเลย กลับถึงบ้านประมาณ2 ทุ่มกว่าๆ พร้อมกับความสวยงามและความประทับใจกับทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน มีเวลาแค่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คุณก็สามารถออกเดินทางไปค้นหาชีวิต ในแบบของคุณได้
กาญนะจ๊ะบุรี สวรรค์แดนตะวันตกจริงๆ มีโอกาสคงได้กลับไปเที่ยวอีกบ่อยๆ ^___^