นุ่งซิ่นเดิน...ถิ่นอัมพวา
หลายๆคนอาจเคยได้ยินชื่ออัมพวา..อัมพวา...อัมพวา มานานเเล้ว.. เราเองก็เช่นกัน ได้ยินมาหลายๆทาง ทั้งรายการทีวี ทั้งจากปากเพื่อนบ้างล่ะมาเล่าให้ฟัง ว่ามันฟินอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น นั่งดูหิ่งห้อยบ้างเอย นั่งเรือล่องเเม่น้ำบ้างล่ะ เเถมของกินเพียบโน้นนี่นั่น ขนมโบราณๆ ที่ใครไม่ไปอัมพวา ก็หายากที่จะได้กิน ไม่เคยสงสารคนฟังบ้างเล้ยยยยยย ซึ่งเราไม่เคยไปมาก่อน ก็ทำให้อยากโหยหาที่จะไป
เมื่อถึงวันที่เรามีโอกาสได้ไปเยือนถิ่นอัมพวา...เราจึงอยากเเชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆได้ดูว่า มันจะจริงเหรอ เราเคยอ่านประสบการณ์เเชร์เที่ยวอัมพวามาหลายที่เลยนะ เชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะตะขิดตะขวนใจว่ามันจะจริงเหรออย่างที่ใครๆรีวิว การเที่ยวครั้งนี้ของเราเป็นประมาณเที่ยวลัดเลาะ..จุดหมายจริงๆเลย คือ อัมพวา เเต่ไม่รู้ว่าไปโผล่นครปฐมได้ยังไง 5555 เเวะเเล้วก็เเวะเลย..เลยเเวะกินซะก่อนละกัน
พูดถึงจังหวัดนครปฐม ก็มีที่เที่ยวหลายที่เลยนะ ทั้ง ตลาดน้ำดอนหวาย พระปฐมเจดีย์ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้นผึ้ง พระราชวังสนามจันทร์ ตอนเเรกก็คิดๆกันว่าจะไปไหนดี ถ้าเป็นสมัยเด็กๆก็จะมาทัศนศึกษาจังหวัดนี้บ่อย เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวที่จะไปซ้ำ 555 คิดไปคิดมาตกลงกันว่าจะไปพระราชวังสนามจันทร์ เพราะผู้ร่วมทริป 6 คน เคยไป 2 คน ที่เหลือไม่เคยไปเลย (รวมทั้งตัวเราด้วยอ่ะ)
เนื่องจากอย่างที่บอกไว้ พระราชวังสนามจันทร์อยู่ในความดูเเลของสำนักพระราชวัง เพราะฉะนั้นการเเต่งกายก็ต้องเเต่งกายให้เหมาะสม ให้เกียรติสถานที่ ไม่ใส่กางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อเเขนกุด เเต่สำหรับคนที่บังเอิญจริงๆ ทางเข้าซื้อบัตรมีผ้านุ่งขาย ผืนละ 80 บาทค่ะ
รูปปั้นนี้เราเชื่อว่ามีหลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเป็นสุนัข...สุนัขตัวนี้มีชื่อเรียกว่า "ย่าเหล" ย่าเหลเป็นสุนัขของรัชกาลที่6 ที่ท่านทรงรัก เเต่ตายเพราะโดนวางยา จึงได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงสุนัขในสมเด็จท่าน
ในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ จะมีองค์พระพิฆเนศประดิษฐานอยู่กลางสวนของพระราชวัง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะบูชาของเด็กศิลปกร ส่วนใหญ่ จะมาขอพร ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นะคะ
พวกเราออกจากพระราชวังสนามจันทร์กันประมาณบ่ายโมงกว่าๆ กว่าจะถึงอัมพวาก็บ่ายสาม มุ่งหน้าเข้าที่พักที่จองไว้ เราเชื่อว่า การหาที่พัก รีสอร์ท ไม่ใช่เรื่องยากที่ใครๆก็ทำได้ ที่ที่เราไปพักก็เหมือนกันค่ะ...คือ เราไม่รู้หรอกว่าที่พักที่เราพักมันจะสะอาด มันจะดีสักเท่าไหร่ การหาที่พักราคาไม่เเพงมาก เเละถูกใจ เชื่อว่าหลายๆคนค้นหาทาง Google (เราก็เช่นกัน) ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่พักที่เราเลือกนั้นมันจะดีจริงหรือไม่จริง ได้เเต่ภาวนาว่า...ขอให้สภาพมันดีเหมือนที่โปรโมทในเว็บไซต์ หรือ ดีเหมือนที่รีวิวด้วยเถ้อออออ 55555
พวกเราพักบ้านหลังนี้ค่ะ "บ้านเรือ" เป็นหลังเดียวที่มีในรีสอร์ท อยู่ติดริมเเม่น้ำ มีพื้นที่ไว้สำหรับให้เรานั่งเม้าท์มอย วิวดี มุมดี มีความเกิดความประทับใจค่ะ ^^ ราคาก็ไม่ถูกเเละไม่เเพงมากค่ะ หลังนี้ 3,000 บาทพักได้ 4 คน เเต่จะพักเกินก็ได้ค่ะ ที่รีสอร์ทจะคิดเตียงเสริมเพิ่มท่านละ 600 บาท มีอาหารบริการสำหรับมื้อเช้าค่ะ
ภาพบรรยากาศบริเวณรีสอร์ทค่ะ....ทางเลือกอีกทางหนึ่งถ้าเราไม่อยากนั่งทานอาหารบนบ้านพัก ทางรีสอร์ทเค้าจะมีที่นั่งไว้ให้บริการ สัมผัสอย่างใกล้ชิดริมเเม่น้ำค่ะ
หลักจากดูดดื่มกับวิวบริเวณรีสอร์ทได้สักพักหนึ่ง จุดหมายของเราคือ การเดินไปตลาดอัมพวา เพราะจากข้อมูลที่ทราบมา รีสอร์ทนี้อยู่ห่างจากตลาดน้ำ ประมาณ 400 เมตร เเต่เจ้าของรีสอร์ทเเนะนำเราให้ไปทางเรือจะดีกว่า สะดวกรวดเร็ว เเละตบท้ายด้วยการนั่งเรือชมหิ่งห้อยอัมพวา ซึ่งช่วงเดือนสิงหาเค้าว่ากันว่า เป็นเดือนที่มีหิ่งห้อยเยอะที่สุด เเต่เราก็ไม่รู้หรอกว่า หิ่งห้อยจริงหรือไม่จริง เพราะเคยอ่านๆดูหลายคนบอกว่าเป็นเเสงไฟที่เค้าเอามาเเต่งไว้ พวกเราตกลงเหมาเรือไปตลาดอัมพวา 700 บาทไทย โชคดีที่มาหลายคน หารๆกันเเล้วก็ยังอุ่นใจ ^^
เมื่อเรือเเล่นมาถึงตลาดอัมพวา คนขับเราอัธยาศัยดี๊ดี....นัดเเนะเรา ให้เดินตลาดน้ำ เเล้วเวลา 1 ทุ่ม เขาจะมารับเราไปล่องเรือชมหิ่งห้อย...ว้าวววววว
ร้านบางร้าน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชาวบ้านดั้งเดิมของที่นี่ ตกทอดกันมาเป็นรุ่นๆ ขนมโบราณอะไรที่เราไม่เคยเจอ หาทานได้ยาก ถ้าอยากทานก็ต้องชวนกันมาที่นี่ล่ะค่ะ
บางร้านก็เป็นนายทุนที่มาซื้อที่บริเวณนี้เเล้วเปิดร้านอาหาร เปิดที่พักให้นักท่องเที่ยว คือเรามองว่า ตามยุคสมัย มันก็ต้องเปลี่ยนเเปลงไป เป็นการผสมผสานระหว่าง 2 ยุค ที่เป็นเสน่ห์อีกเเบบหนึ่ง ร้านภวัตส้มตำไก่ย่าง นี้เป็นร้านที่ขายดิบขายดี...อันนี้ได้ข้อมูล มาจากคนขับเรือนำเที่ยว เขาเเนะนำมา ก็เลยจัดให้รู้เรื่องสักหน่อย ^^
เดินกันเพลินๆ เเวะร้านนั้นร้านนี้ซื้ออาหารตุนไว้สำหรับเสบียงในค่ำคืนนี้ ก็ปาเวลาเกือบจะทุ่มตรงพอดีที่นัดหมายกับคนขับเรือไว้ ซึ่งเขาจะไปเราล่องเรือไปชมหิ่งห้อยอัมพวา ตอนเเรกยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการไปดูหิ่งห้อย เพราะหลายๆคนบอกว่า สมัยนี้ไม่มีเเล้วหิ่งห้อย บางก็ว่ามีน้อย บางก็ว่ามีเเต่ไฟคริสมาสต์ เเต่พอเรือเเล่นไปได้ช่วงระยะหนึ่ง คนขับเรือเขาดับเครื่อง เเล้วให้มองไปที่ต้นลำพู เริ่มเห็นหิ่งห้อยบินวนเวียนอยู่ใต้ต้น พอเข้ายิ่งเเล่นเรือออกไปเรื่อยๆ เริ่มมีหิ่งห้อยเยอะขึ้นๆ พวกเราก็อดคิดเสียไม่ได้ เค้าเอาไฟมาประดับหรือป่าว หลอกเราเเน่ๆ ไม่ใช่หิ่งห้อยจริงหรอก สนทนาขอสงสัยกันซะเสียงดังลั่น 555 คนขับเรือเขาคงลำคาญ...รีบชี้เเจงให้ฟังพร้อมพิสูจน์เลยว่า ผมจะพิสูจน์ให้ดู ว่าเป็นหิ่งห้อยจริงหรือไม่จริง เขาค่อยๆร่องเรือไปใกล้ๆต้นลำพู เเล้วควักน้ำใส่ต้นลำพู โอ้โห!!! ของจริงแฮะ หิ่งห้อยบินหนีกันเป็นเเถวเลย..หลังจากได้รับการพิสูจน์เเล้ว ความตื่นเต้นก็กลับมา พวกเราไปช่วงเดือนสิงหาคม เค้าบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีหิ่งห้อยเยอะที่สุด เพราะว่าเป็นช่วงผสมพันธุ์ของมัน จริงค่ะ เยอะมากจริงๆ (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะคะ คือถ่ายนะ แต่ถ่ายไม่เห็นค่ะ เพราะต้องใช้ความมืดจริงๆ)
พอได้ชมหิ่งห้อยเสร็จ พวกเราก็เดินทางกลับที่พัก เเล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์ อาหารที่เราตุนไว้ กับความหิวโหยที่เก็บไว้ มารวมกันเเล้ว ณ ที่นี้ ลงมือ!!!! กินเเละคุย ^^ ลืมไม่ลงจริงๆว่า เสียงหัวเราะ บทสนทนาที่เราคุยกัน มันมีความสุขมากเเค่ไหน
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกคน ที่สร้างสีสัน สร้างเสียงหัวเรา ไม่รู้เลยจริงๆว่าจะจำความสุขนี้ได้ไปอีกนานเท่าไหร่ ^^
ฝากติชมกันได้นะค่ะ กับเพจน้อยๆของเค้าเอง กับเพจ "ขอแค่ได้เที่ยว" ค่ะ