ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Nittaya •  กุมภาพันธ์ 01 , 2559

    อยากไปภูกระดึงอ่ะ ไปด้วยกันมั้ย ? 

    ผู้หญิงสองคนเองนะ มันอันตรายไปป่าว  

    พี่ๆ หยุดปีใหม่ไปเที่ยวภูกระดึงกันมั้ย ?

    ไปไม่ได้แล้วอ่ะ เพื่อนเพิ่งนัดทำงาน T_T

    หยุดกีฬามหาลัย มีใครว่างป่าว หาเพื่อนร่วมทริปไปภูกระดึง ?

    ติดค่ายครุอ่าาา T_T

                                                                   กลับบ้านอ่าาา T_T                                                                                                               

          นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราถึงตัดสินใจไปภูกระดึงคนเดียว ไม่ใช่อารมณ์ติสท์หรืออินดี้อะไรหรอก ( จริงๆคือไม่มีเพื่อน + อารมณ์เฮิร์ท บ้างเล็กน้อย T_T )  

          แต่ความจริงก็ทำใจไว้ตั้งแต่ทริปล่มครั้งแรกแล้ว ว่ายังไงอาจจะต้องได้ไปคนเดียว ก็เลยต้องเตรียมตัวให้ดี ถึงจะเฟี้ยวหรือใจเด็ดขนาดไหน ยังไงก็อย่าลืมว่าเราเป็นผู้หญิง  

    ขั้นที่ 1  : เตรียมใจ                                         

    ขั้นนี้ต้องหาข้อมูลค่ะ แต่ปรากฎว่า ยังไม่เห็นกระทู้ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวภูกระดึงเลย (หรืออาจจะมีแต่เราไม่เห็น) ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่อยากไปเที่ยวคนเดียวและมาขอคำแนะนำ เราก็เลยอาศัยอ่านคอมเม้นที่คนอื่นเข้ามาตอบ ว่าไปแล้วจะเจออะไร และต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง นอกจากนี้แล้ว เราก็หาอ่านพวกวิธีป้องกันตัวของผู้หญิงเวลาไปเที่ยวคนเดียว ( แนะนำให้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx? NewsID=9570000126837&Html=1&TabID=2& )  

          อ่านถึงจุดนี้ อาจจะมีคนแอบคิดว่าเราวิตกจริตเกินไปรึเปล่า 5555 แต่เราคิดว่าป้องกันไว้แหละ ดีที่สุดแล้ว อย่าลืมว่าบางอย่างถ้าเราเสียไปแล้ว มันเอากลับคืนไม่ได้นะ    

    ขั้นที่ 2  : เตรียมตัว                                                                                                                      

     ขั้นนี้ก็ต้องหาข้อมูล เช่น การจองที่พักทำยังไง สภาพอากาศ ไปตอนนี้จะมีตัวทากมั้ย T_T ฯลฯ ( ซึ่งถ้าใครมีอะไรสงสัย แนะนำให้เข้าไปในกลุ่ม รักภูกระดึง https://www.facebook.com/groups/LovePhukradung/ แล้วสอบถามน่าจะชัวร์กว่าค่ะ เพราะจะมีคนที่เพิ่งไปมา หรือบางทีอาจจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตอบเองเลย )

    ขั้นที่ 3 : เตรียมของ ( ขั้นนี้จะบอกเฉพาะของที่นอกเหนือจากของใช้ส่วนตัวนะคะ )

    1. ไฟฉาย : ต้องสว่างในระดับนึงเลยนะ เพราะที่อุทยานเขาจะปิดไฟตอนสี่ทุ่ม เผื่อเอาไว้ส่องทางเวลาจะเดินไปทำธุระส่วนตัว และส่องทางเวลาเดินกลับมาจากดูพระอาทิตย์ตกค่ะ                                                                   

    2. ยาคลายกล้ามเนื้อ : เพราะวันๆนึงต้องเดินเยอะมาก ทั้งตอนขึ้นภูที่ว่าโหดแล้ว พอขึ้นไปแล้วถึงจะเจอทางราบแต่ระยะทางที่เดินก็ไกลอยู่ดี สรุปคือขึ้นไปแล้วต้องเดินเยอะมากอ่ะ                                                                

    3. อุปกรณ์ป้องกันตัว : อันนี้เป็นของจำเป็นสำหรับเราเอง -_- พอไว้ให้อุ่นใจค่ะ ( เราพกกรรไกรที่ใช้เล็มผมหน้าม้าไปด้วย  )

     

    พอศึกษาข้อมูล ( อ่านกระทู้ ) + เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางได้ค่ะ ...

    • K Yothin  เราก้อชอบไปคนเดว อยากมีคนที่ชอบเที่ยวแนวนี้ออกทริปด้วยกันจัง 14 เมษายน 2559 15:36:34
    • โพสต์-2
    Nittaya •  กุมภาพันธ์ 01 , 2559

    DAY 0 : 12/01/2016

    เราเดินทางไปเลยโดยรถทัวร์ค่ะ ของบริษัทแอร์เมืองเลย ซื้อตั๋วได้ที่หมอชิตช่องที่ 6 ส่วนเวลาเดินทาง เราเลือกเวลา 21.30 เพราะไปถึงที่นั่นจะเกือบเช้าพอดี ( เวลาจองตั๋ว อย่าลืมบอกว่าไปลง ผานกเค้า นะคะ )

       ค่าโดยสาร 340 บาทค่ะ ( ใช้บัตรนิสิตเป็นส่วนลดไม่ได้นะ 5555 ) แต่ถ้าเทียบกับบริการเราว่าคุ้มนะ เราขอแยกรีวิวส่วนของรถทัวร์ไว้ต่างหาก เพราะขากลับเรากลับของภูกระดึงทัวร์ จะได้เปรียบเทียบให้เห็นได้สะดวกค่ะ 
    • K Yothin  http://pantip.com/topic/34779778 14 เมษายน 2559 15:39:02
    • โพสต์-3
    Nittaya •  กุมภาพันธ์ 01 , 2559

    DAY 1 : 13/01/2016

    รถทัวร์จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมงค่ะ พอถึงจุดลงรถผานกเค้ารถจะจอดตรงข้ามร้านเจ้กิม หมายความว่า พอเราลงจากรถเเล้ว ให้ข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อรอรถสองแถวสีแดงแล้วนั่งต่อไปที่ภูกระดึงค่ะ

    สองรูปนี้ เราถ่ายไว้วันจะกลับซึ่งเป็นตอนเย็น เพราะถ้าถ่ายตอนลงรถวันรกจะมืดมากค่ะ

    รถสีแดงจะออกประมาณตีห้ากว่าๆเกือบหกโมงนะคะ เราสามารถขึ้นไปนั่งรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มได้เลย หรือจะเหมารอบละสามร้อยก็ได้ หมายความว่า เขาคิดเที่ยวละสามร้อยค่ะ                                                           

    ขึ้น 1 คนก็คิด 300    

    ขึ้น 2 คนก็คนละ 150  

    ขึ้น 3 คนก็คนละ 100                                                                                                                     

    แต่ถ้าขึ้น 4 คนก็คิดคนละ 75 ค่ะ ( ไม่มีไร เราอยากหารเลขโชว์เฉยๆ :3 )

    แต่ปกติ ขึ้นได้มากสุด 10 คนค่ะ ตกคนละ 30 บาท

    ** สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองตั๋วรถขากลับ สามารถจองได้ที่ตรงข้ามร้านเจ้กิมค่ะ (ลงรถแล้วอย่าเพิ่งข้ามกลับมา หรือจะข้ามมาก่อนแล้วค่อยข้ามกลับไปจองตั๋วรถก็ได้ค่ะ )

     ตั๋วของภูกระดึงทัวร์จะแพงกว่าแอร์เมืองเลย 10 บาทค่ะ แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่กี่คืนก็สามารถจองในวันที่เดินทางกลับได้ แต่ต้องยอมเสี่ยงหน่อยเพราะอาจจะไม่มีที่นั่ง ทางที่ดีเราว่าจองไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไม่มีรถกลับเนาะ 

     

    @ร้านเจ้กิม

    - ใครที่ลงรถมาแล้ว สามารถแวะรับประทานอาหารที่ร้านได้ แล้วทางร้านก็มีของฝากขายด้วยนะ แต่ค่อยซื้อตอนขากลับก็ได้แล้วแต่สะดวกค่ะ

    - หลังร้านเจ้กิม มีห้องน้ำไว้บริการค่ะ ลงจากรถแล้วสามารถเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า แต่งหน้า ทำผม ฯลฯ ได้

    - ทางร้านมีบริการใช้ชาร์จแบตเตอร์รี่ด้วยนะ ให้ชาร์จได้ประมาณสองชั่วโมงค่ะ ค่าบริการ 20 บาท

      ทางร้านจะให้บัตรหมายเลขมาค่ะ เวลาไปติดต่อก็ให้นำบัตรกลับไปคืน เพราะฉะนั้นต้องเก็บไว้ดีๆ ห้ามทำหายนะ

     

    @สถานีตำรวจ

    ข้างร้านเจ้กิมจะเป็นสถานีตำรวจค่ะ สามารถใช้บริการห้องน้ำได้เช่นกัน

    ปล.เรามีโอกาสได้ใช้ห้องน้ำตอนรอรถขากลับ เนื่องจากร้านเจ้กิมปิดก่อน ขอบอกว่าที่นี่สะอาดมากกกกจริงๆค่ะ พื้นห้องน้ำแห้งสนิท ถ้ามีเสื่อกับหมอนนี่จะปูนอนตรงนั้นเลย

     

    @ร้านขายหมวก + อุปกรณ์กันหนาว

     ร้านนี้จะอยู่ตรงข้ามร้านเจ้กิมนะคะ ถ้าลงรถมาจะเห็นเลย อยู่ข้างที่จองตั๋วรถของภูกระดึงทัวร์ค่ะ จะมีสองร้านใหญ่ๆด้วยกัน ส่วนมากจะขายพวกหมวกไหมพรม ผ้าพันคอ อุปกรณ์กันหนาว สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมมา แนะนำให้ซื้อขึ้นไปก็ดีนะคะ เพราะข้างบนนั้นหนาวมากๆๆๆ และราคาก็แพงกว่าด้วย  ( อันนี้สำหรับกรณีที่เดินทางไปภูช่วงหน้าหนาวหรือต้นปีค่ะ )

     

    ปฎิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็นั่งรถสองแถวขึ้นภูเลยค่ะ เย่ๆ :3 ....................

     

    @อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

       รถแดงจะจอดตรงหน้าอุทยาน พอลงไปถึงก็นั่งพัก รอที่ทำการเปิดเพื่อจองเต๊นท์และซื้อบัตรเข้าอุทยานค่ะ 

       ส่วนของเครื่องนอน ถุงนอน ผ้ารองนอน หมอน ผ้าห่ม ต้องขึ้นไปจองบนภูนะ

     เราจองเต๊นท์หนึ่งหลังสำหรับนอนสามคนค่ะ ( แต่นอนคนเดียวนะ :3 ) ราคาคืนละ 225 บาท

    เราพักอยู่บนนั้นสองคืน คือวันที่ 13,14 รวมราคาทั้งหมดก็ 450 ค่ะ

    * ถ้านำเต๊นท์มาเองต้องเสียค่าพื้นที่เช้าเต๊นท์ 30 บาท ต่อคนต่อคืนนะ

    * ใบเสร็จต้องเก็บไว้ดีดี เพราะต้องนำไปเป็นหลักฐานยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ข้างบนเมื่อเดินไปถึงค่ะ

       จองเต๊นท์เสร็จ ก็ไปต่ออีกแถวเพื่อซื้อตั๋วค่ะ ราคาตั๋วก็อยู่ที่ 40 บาทต่อคน (ถูกมาก) ก่อนขึ้นภูต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว และลงชื่อ ข้อมูลส่วนตัวเล็กๆน้อยๆลงในสมุดค่ะ ( จะได้ตรวจสอบได้สะดวกกรณีมีคนหาย )

       แต่ก่อนจะขึ้นภู ใครมีสัมภาระหนักก็สามารถจ้างลูกหาบได้ ราคากิโลกรัมละ 30 บาท พอชั่งน้ำหนัก + ติดแท็กชื่อ เขียนชื่อ เบอร์โทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ก็เก็บหางตั๋วไว้ชำระราคาและรอรับกระเป๋าข้างบนที่พักได้เลยค่ะ

     

    @ขึ้นภูกระดึง

     ต่อไปนี้ จะเริ่มมีการเล่าประสบการณ์แทรกเข้ามารวมกับการรีวิวเรื่อยๆนะคะ อาจมีการพาดพิงถึงคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ซึ่งเราขออนุญาตเจ้าตัวเรียบร้อยแล้วค่าา:3  นี่คือป้ายตรงทางขึ้นค่ะ อาจบั่นทอนกำลังใจใครหลายๆคนได้มากทีเดียว 55555 มาถึงจุดนี้ ใครจะกลับก็ยังไม่สายนะคะ รถสีแดงยังมีบริการเรื่อยๆจนถึงประมาณหกโมงเย็นค่ะ     พอเห็นทางขึ้นก็เริ่มเตรียมใจได้เลยค่ะ เหนื่อยมากๆแน่นอน แต่การเดินขึ้นครั้งนี้ เราไม่ได้เดินคนเดียวนะ ต้องขอเล่าย้อนไปถึงตอนลงรถโดยสารตรงข้ามร้านเจ้กิม คือเราได้มีโอกาสรู้จักพี่คนนึงค่ะ มากับแฟนสองคน ซึ่งพี่เขาดูเหมือนจะแปลกใจว่าทำไมเราถึงมาคนเดียว 55555 จากนั้นมาเราก็มีเพื่อนร่วมเดินทางค่ะ ตั้งแต่ร้านเจ้กิม ขึ้นรถสองแถว จองที่พัก ซื้อบัตร จ้างลูกหาบ จนถึงตอนเดินขึ้นภู เอาเป็นว่าตอนนี้มีเพื่อนเเล้วค่ะ แต่เพราะว่าพี่เขามากับแฟนเนาะ บางทีเราก็มีความรู้สึกเกรงใจ แล้วก็อยากให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง เราเลยทำชิล ถ่ายรูปวิวข้างทางไปเรื่อยๆ และรอให้พี่เขาเดินนำหน้าไปในระยะหนึ่งค่ะ ( ดูเป็นคนดีเนาะ 5555 )  ระหว่างที่ยังไม่เหนื่อย ก็ทำชิลถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ ก่อนที่จะเจอทางขึ้นที่โหดกว่านี้ T_T   ขนาดเดินตัวเปล่า ไม่มีสัมภาระติดตัวยังเหนื่อยขนาดนี้ พอเห็นลูกหาบเท่านั้นแหละค่ะ อยากจะตรงเข้าไปกราบ 5555 นี่คือซอร์ฟแล้วนะ บางคนแบกน้ำหลายลิตร ถังแก๊ส ฯลฯ ไม่เเปลกใจที่อาหารบนนั้นจะแพงกว่าปกติ

       ถ้าถามว่า ตรงไหนเหนื่อยที่สุด เราคิดว่าทางขึ้นซำแฮกค่ะ เหนื่อยสุดๆๆละ แต่ระหว่างทางเราก็ได้เพื่อนอีกแล้วนะ 5555 มาคนเดียวไม่เหงาเสมอไปหรอกค่ะ มิตรภาพไม่ได้เริ่มจากสระบุรี แล้วสิ้นสุดที่หนองคาย แต่หาได้ง่ายที่ภูกระดึงค่ะ  ( เนี่ยยยย :3 ) เพราะระหว่างทางที่เดินขึ้นภู เราจะเจอผู้คนที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ถ้าอยากมีเพื่อนใหม่ก็ต้องเปิดใจค่ะ ยิ้ม ชวนคุยก็ได้ ดีกว่าเดินเงียบๆเหงา คนเดียวนะ ^_^

       ระหว่างทางเดินขึ้นซำแฮก เราได้เจอกับพี่ที่น่ารักสองคนค่ะ คือพี่อร กับพี่เต้ย ( แต่งงานกันเเล้วนะ ) พี่สองคนมาเที่ยวด้วยกันค่ะ พอพี่อรรู้ว่าเรามาคนเดียวก็ดูเหมือนจะแปลกใจ 5555 พี่สองคนนี้คอยช่วยเหลือเราตลอดเลยค่ะ ระหว่างทางพี่อรก็ช่วยดึงมือเรา ตอนปีนขึ้นที่สูงๆ แบ่งทิชชู่ให้เรา คอยถามเราว่าอยู่ยังไง พกยาคลายกล้ามเนื้อมามั้ย เอายาดมน่อยมั้ย ไหวมั้ย สบายดีมั้ย จะไปทางไหน เดินมายังไง มากับใครหรือเปล่า ♫ ♬ ♪  (#ผิดๆ) ฯลฯ คือถ้าทริปนี้เราไม่เจอพี่ทั้งสอง ก็อาจจะไม่รอดกลับมาเขียนกระทู้อ่ะ 5555 หรือไม่ก็อาจจะไม่มีประสบการณ์ดีดีแบบนี้มาเขียนแชร์ค่ะ

      เราเดินตามหลังพี่ๆคู่นี้ตลอดเส้นทางค่ะ ( กลายเป็นน้องเนียน ) แต่บางทีก็เว้นระยะห่างให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง 5555 เวลาเจอวิวสวยๆก็เสนอตัวถ่ายรูปคู่ให้เขาเป็นการตอบแทนค่ะ ( ทำตัวเป็นคนดีอีกแล้ว :3 )

       เราเดินมาไกลมากค่ะ ( เหนื่อยด้วย ) ก็เลยตัดสินใจพักเอาแรงก่อนเดินต่อ แล้วเราก็เดินมาเจอกันโดยมิได้นัดหมายค่ะ ( เพราะทางเดินขึ้นมีแค่ทางเดียว -_- )     พอเดินถึงแต่ละซำจะมีร้านค้าขายอาหารค่ะ ราคาจะแปรผันตรงกับความสูง T_T แต่เรทของราคาไม่ต่างกันมากค่ะ ประมาณ 60 บาท ระหว่างทางเรากินเฉาก๊วยไปสองแก้วค่ะ แก้วละ 20 - 25 บาท   ร้านขายเสื้อผ้าก็มีนะ เรารู้สึกว่าร้านนี้ราคาจะถูกกว่าข้างบนภู ( นิดหน่อย ) แต่ต้องขออภัยจริงๆค่ะ เพราะจำไม่ได้ว่าอยู่ซำไหน ขอให้คำว่าซำแวร์แล้วกันนะคะ T_T    ระหว่างเดินทางมาเรื่อยๆ จุดมุ่งหมายคือหลังแป เราขอข้ามรายละเอียดส่วนนี้นะคะ เพราะไม่สามารถเก็บรูปได้ครบทุกซำ ประกอบกับความเหนื่อยด้วย อีกอย่างถ้าลงรายละเอียดมากเดี๋ยวมาเองจะไม่ตื่นเต้นเนาะ หรือถ้าเห็นภาพแล้วอาจจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจหลายๆคนก็ได้ค่ะ 5555 เอาเป็นว่า ประสบการณ์ในส่วนนี้ถ้าอยากเห็นต้องลองมาสัมผัสเองนะคะ #ยิ้มอ่อน

       เราเดินมาใกล้จะถึงหลังแปแล้วค่ะ ถ้าถึงข้างบนจะเป็นที่ราบ มีน้ำตกด้วย อย่าลืมพกข้าวเหนียวขึ้นไปทานด้วยนะคะ :3 ( ไม่งงนะ )

      อีกนิดเดียวค่ะ ก่อนจะถึงหลังแปจะต้องขึ้นบันไดประมาณสองครั้ง ยิ่งใกล้ถึงข้างบน เราจะยิ่งเจอคนที่เดินสวนลงมาค่ะ ทุกคนจะพูดประโยคเดียวกันเป็นแพทเทิร์นค่ะ

    อีกนิดเดียวๆ

    อีกนิดเดียวถึง ?

    อีกนิดเดียวจะเป็นลมแล้วค่ะ -_- 

    แต่ถ้าเห็นบันไดแบบนี้ มันก็เลยต้องปีนค่ะ ... ปีนให้สูงขึ้นไป ... จะยากเย็นเท่าไร ♫ ♬ ♪  ฮึบ !! อีกนิดเดียวค่ะทุกคน!

    ___________________________________________________________________________________

     

    @หลังแป

      ในที่สุดก็ถึงซักทีค่ะ ป้ายนี้เป็นซิกเนเจอร์ของภูกระดึงเลยก็ว่าได้ แต่กว่าจะเข้าไปถ่ายรูปได้ ต้องรอคิวนานหน่อยนะ เพราะคนที่เดินมาถึงก่อนกำลังถ่ายกันอยู่ค่ะ ใครขี้เกียจรอก็ค่อยกลับมาถ่ายตอนขากลับ ไม่ก็ตอนเช้าๆที่คนยังเดินมาไม่ถึงข้างบนก็ได้นะ ป้ายไม่หายค่าา :3

      เดินถึงหลังแปแล้ว ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณสามกิโลค่ะ กว่าจะถึงที่พัก แต่ทางไม่ลำบากเหมือนตอนขึ้นมาแล้ว เดินไปชิลๆ ชมวิวไปเรื่อย หรือถ้าใครขี้เกียจเดินก็สามารถเช่าจักรยานปั่นเข้าที่พักได้นะคะ ราคา 60 บาท สอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นได้เลยค่ะ   ทางเดินไปติดต่อที่พักค่ะ ไม่โหดเหมือนตอนเดินขึ้นมาแล้ว เย่ๆๆ แต่แดดแรงหน่อยนะคะ เพราะต้นไม้ตามทาง ( รู้สึกจะเป็นต้นสน ) เลยไม่สามารถบังแดดได้ดีเหมือนต้นไม้ตามทางที่เราเดินขึ้นมาค่ะ   ยังค่ะ เรายังไม่ไปไหน ยังทำตัวเป็น Insidious 3 วิญญาณยังตามติดพี่อรกับพี่เต้ยจนถึงที่พักเลยค่ะ 5555   เดินไปเรื่อยๆจะเจอต้นไม้ต้นนี้ค่ะ โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ต้นเดียว สำหรับเราเราคิดว่ามันทั้งสวยแล้วก็แปลกนะ ตอนนี้ทำได้แค่ถ่ายภาพเก็บไว้ก่อนเพราะยังไงเราต้องเดินกลับทางเดิมตอนจะลงจากภูค่ะ วันนั้นจะตรงกับวันที่ 15 พอดี ซึ่งหมายความว่าอีกหนึ่งวันหวยจะออก เราก็แอบหวังเล็กๆนะ ว่าการมาภูกระดึงครั้งนี้เราอาจจะได้โชคกลับไปบ้าง :3 ( ล้อเล่นค่ะ ) อ้าว !! ถึงละ 55555 สามกิโลสำหรับทางราบ เร็วมากค่ะ ( แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนนะ ) ยังเก็บใบเสร็จที่จ่ายค่าเต๊นท์ไว้ใช่มั้ย ? ถ้ายังอยู่ก็เข้าไปติดต่อที่พักและเช่าเครื่องนอนข้างในได้เลยค่ะ :3   บรรยากาศภายในค่ะ อย่างกับนิทรรศการอะไรซักอย่าง แต่แนะนำให้เดินอ่านดูนะคะ ข้อมูลบางอย่างมีประโยชน์มาก เผื่อเดินหลงทางเนาะ :3    แนะนำให้เช่าทั้งสามอย่างเลยนะคะสำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมมาเอง แต่ใครมีกระเป๋าและสามารถนอนหนุนกระเป๋าได้ก็ไม่ต้องเช่าหมอนก็ได้ค่ะ สำหรับถุงนอน ถ้าเช่าแล้วไม่ต้องเช่าผ้าห่มอีกก็ได้นะ เพราะค่อนข้างอุ่นระดับนึงเลยล่ะค่ะ

      * ที่นี่มีบริการให้ชาร์จไฟด้วยนะ โดยให้ชาร์จ 2 ชั่วโมง โทรศัพท์และกล้องถ่ายรูปคิดเครื่องละ 20 บาท ส่วนเพาว์เวอร์แบงค์แพงขึ้นมานิดนึง คือ 40 บาทค่ะ

       พอชำระเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่จะเย็บใบเสร็จของเต๊นท์และเครื่องนอนติดกัน และต้องนำใบเสร็จไปติดต่อเจ้าหน้าที่อีกจุดหนึ่ง เพื่อรับอุปกรณ์และเลือกเต๊นท์ที่ว่างได้ตามใจชอบเลยค่ะ ตอนที่นำเอกสารใบเสร็จไปยื่น เขาจะขอบัตรประชาชนเราไว้เป็นหลักฐานและให้เราเก็บใบเสร็จไว้กับตัวนะคะ เพราะฉะนั้น เก็บรักษาไว้ดีดี อย่าทำหาย เวลากลับจะได้นำอุปกรณ์มาคืน และยื่นใบเสร็จแลกกับบัตรประชาชนของเราคืนค่ะ :3

     พอรับถุงนอน หมอน ผ้ารองนอนเสร็จ ก็เลือกเต๊นท์ได้เลยค่ะ เต๊นท์ที่ว่างจะเปิดไว้ค่ะ เราเลือกเต๊นท์ที่อยู่ใกล้ทั้งร้านค้าแล้วก็ห้องน้ำ รู้สึกว่าจะเป็นโซนเอ เต๊นท์ของเราอยู่ตรงกลางระหว่างพี่สองคน ( ที่เราตามเขามาตั้งแต่ผานกเค้า ) และคู่พี่เต้ยพี่อรค่ะ ( ยังตามติดเขาอยู่ -_- )

     ส่วนสัมภาระของเราจะตามขึ้นมาถึงที่พักประมาณบ่ายสามกว่าๆค่ะ เราต้องไปรับที่ศาลาใกล้ๆที่เราติดต่อที่พัก และใช้หางตั๋วที่เราเก็บไว้ชำระราคาค่ะ ถ้าใครไม่ไปติดต่อรับ หรือยังไม่ทราบว่าสัมภาระตัวเองมาถึง ทางอุทยานจะประกาศให้มาติดต่อรับสัมภาระค่ะ

     ในระหว่างนี้ก็พักผ่อนค่ะ แต่วันแรกที่ไปถึง อากาศร้อนมากๆๆ แต่ด้วยความเหนื่อยค่ะ เลยสลบคาเต๊นท์ T_T จะได้มีแรงเดินไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นที่ผาหมากดูกค่ะ

        ทางเดินระหว่างทางไปผาหมากดูกค่ะ ต้องพกไฟฉายไปด้วยนะ เพราะตอนเดินกลับมาจะมืดมากค่ะ แทบมองไม่เห็นทางเลย   ระหว่างรอชมพระอาทิตย์ตกค่ะ บริเวณใกล้หน้าผาจะมีสัญญาณของดีแทค ( เราใช้ดีแทค ) แต่บริเวณที่พักไม่มีสัญญาณค่ะ แต่บนนั้นสัญญาณของ AIS และ True ถึงนะ ทีมดีแทคถ้าอยากเล่นเน็ตต้องเดินมาเล่นใกล้ๆผาค่ะ ระวังตกนะคะ    กลับมาถึงที่พัก ก็หาไรใส่ท้องค่ะ แต่เป็นคนไม่ค่อยทานอะไรหนักตอนเย็น ถ้าเป็นอาหารที่นี่ราคาก็อยู่ประมาณ 60 บาท ปาท่องโก๋ 6 ตัว 20 บาท น้ำเต้าหู้แก้วละ 25 บาทค่ะ หาอะไรอุ่นๆทาน เพราะอากาศตอนกลางคืนหนาวมากกกก

      * ร้านค้าให้ชาร์จแบตได้ฟรีค่ะ แต่เราต้องสั่งอาหารจากทางร้าน และต้องนั่งเฝ้าทรัพย์สินของเราเองค่ะ

         ก่อนเดินกลับเต๊นท์ แวะเล่นกับกวางค่ะ เหมือนจะเชื่องมาก ไม่กลัวนักท่องเที่ยวเลย ( เก่งมากเจ้ากวาง ) โดยเฉพาะกวางตัวนี้ นางดูเซเลปมาก นักท่องเที่ยวรอถ่ายรูปด้วยหลายกลุ่ม ถ้านางคิดค่าถ่ายรูปครั้งละ 20 ป่านนี้คงเก็บเงินไถ่ตัวเองออกจากการเป็นกวางได้แล้วค่ะ
    • โพสต์-4
    Pjbelife •  กุมภาพันธ์ 02, 2559
    • จุดเด่น:
    • จุดด้อย:
    • ข้อสรุป:
    คะแนน
    • โพสต์-5
    Nittaya •  กุมภาพันธ์ 02 , 2559

    DAY 2 : 14/01/2016

       อากาศตอนเช้าของวันนี้ ใครกล้าอาบน้ำถือว่าคิดสั้นมากนะ -_- ตอนเช้ามืด ประมาณตีสี่ตีห้า ทางอุทยานจะพานักท่องเที่ยวเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นค่ะ แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการขึ้นภูเมื่อวาน เราก็เลยขอพักผ่อนยาวๆค่ะ แพลนชมพระอาทิตย์ขึ้นเลยถูกเลื่อนไปเช้าวันพรุ่งนี้แทน :3

      * ควรนำรองเท้าเข้ามาเก็บภายในเต๊นท์ก่อนเข้านอนนะ หรือไม่ก็นำถุงพลาสติกห่อไว้ ไม่อย่างนั้นรองเท้าจะเปียกค่ะ เพราะหมอกลงหนักมากๆๆผ้าขนหนูก็ไม่ควรตากตอนกลางคืนเช่นกันค่ะ

       โจ๊กหมูราคา 50 บาท ถ้าใส่ไข่ด้วยบวกเพิ่มอีก 10 บาท วันนี้ต้องทานอาหารเช้าเพราะต้องเดินเยอะ ( มาก ) ค่ะ    วันนี้เราตัดสินใจว่าจะเดินไปเที่ยวคนเดียวค่ะหลังจากเกาะติดพี่อรและพี่เต้ยมานานแล้ว :3 ก็อยากให้พี่เขามีเวลาส่วนตัวเที่ยวด้วยกัน เป้าหมายแรกของเราคือ องค์พระพุทธเมตตา อยู่ห่างจากที่พักไม่มากค่ะ

      ระหว่างทางเดินจากพี่พักไปองค์พระพุทธเมตตา ไม่เปลี่ยวมากค่ะ สามารถเดินคนเดียวได้ ใครขี้เกียจเดินหรืออยากสัมผัสบรรยากาศใหม่ๆทางอุทยานมีจักรยานให้เช่านะคะ

        หลังจากสักการะองค์พระพุทธเมตตาเสร็จแล้ว เราก็เดินต่อค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าจะหลงทาง เพราะแต่ละจุดที่เราไปจะมีป้ายบอกทางทุกจุด แต่จากองค์พระพุทธเมตตาไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆทางค่อนข้างเปลี่ยวนะ ตอนนี้เราไม่กลัวหลงทางเพราะยังสามารถสังเกตรอยล้อรถจักรยานได้ แต่ที่เริ่มกลัวเพราะ นานๆทีถึงจะเห็นจักรยานปั่นผ่านเราไปและคนที่เดินนำหน้าหรือตามหลังเราแทบจะไม่มีเลยค่ะ ที่เห็นอยู่บางทีก็คิดสงสัยไปเองว่าใช่คนรึเปล่า -_- ถึงจุดนี้ เลเวลความวิตกจริตเริ่มอัพขึ้นมา 1 ขั้นแล้วค่ะ

        และแล้วเราก็สามารถหาเพื่อนร่วมเดินทางได้ค่ะ คือพี่เอก มาคนเดียวเช่นกัน ระหว่างทางเดินไปน้ำตกถ้ำใหญ่ เราเจอพี่ผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่งกำลังจะเดินกลับ เริ่มแอบใจเสียเพราะกลัวจะเดินไปถึงแล้วผิดหวัง เพราะได้ยินมาว่า ยังพอมีใบเมเปิ้ลอยู่ แต่น้ำเริ่มจะไม่มีแล้ว ...

        แต่เราก็ยังเดินต่อไปจนถึงน้ำตกค่ะ เพราะไหนๆก็ตั้งใจจะมาแล้ว พอมาถึงก็ไม่ผิดหวังเท่าไหร่นะ เพราะยังมีใบเมเปิ้ลอยู่ T_T ถ้าอยากมาเห็นใบเมเปิ้ลตอนที่ยังเยอะกว่านี้ ก็ต้องมาก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ และคนคงจะเยอะมากในช่วงนั้น

       การที่เราตัดสินใจมาตอนนี้ ตอนที่คนไม่เยอะมาก บรรยากาศค่อนข้างสงบ ได้มาทันเห็นใบเมเปิ้ล ถึงจะเหลือจำนวนไม่มากเท่าที่หวังไว้ เท่านี้ก็พอใจแล้วค่ะ :3 ( กลับเลยมั้ย ? )

      พอเดินออกมาจากน้ำตกถ้ำใหญ่จะเจอป้ายบอกทางค่ะ เป้าหมายต่อมาของเราคือสระอโนดาตซึ่งต้องเดินต่อมาอีกระยะนึง ทางเดินช่วงนี้ไม่ค่อยเปลี่ยวแล้วค่ะ เพราะยังพอเห็นกลุ่มคนที่เดินนำหน้าและเดินตามหลังเราอยู่

      เดินต่อมาเรื่อยๆก็ถึงแล้วค่ะ สระอโนดาต บรรยากาศกำลังดีถึงดีมาก ริมสระมีกลุ่มวิดวะจุฬานั่งทานข้าวกันอยู่ ( มากันเยอะมากกก ไม่สามารถเข้าไปแทรกซึมได้ T_T )

       จากที่สังเกต เราไม่รู้ว่าสระมีความลึกขนาดไหน จะให้โดดลงไปก็ไม่กล้า T_T มองลงไปไม่เห็นก้นสระจึงไม่แน่ใจว่าเพราะน้ำมันลึกหรือขุ่น แต่เราคิดว่าอย่าเสี่ยงโดดเลยดีกว่าเนาะ เพราะเราแอบได้ยินมาว่าสระนี้มีประวัติและความเชื่ออยู่นะ    หลังจากเก็บภาพสระอโนดาตเสร็จแล้ว ก็เดินต่อมาเรื่อยๆค่ะ ที่ต่อไปที่เราจะไปคือน้ำตกถ้พสอเหนือ ทางเดินค่อนข้างเปลี่ยวถึงเปลี่ยวมาก เหมือนสภาพป่าจะเปลี่ยนไปด้วย เพราะยิ่งเดินมาก็จะเริ่มเห็นต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้น อากาศเริ่มเย็นขึ้น ทางเดินเริ่มมืดลง ถ้าเราเดินมาคนเดียวคงจะตัดสินใจเดินกลับแล้ว T_T แต่พอเดินต่อๆมาก็เริ่มเห็นกลุ่มคนให้พออุ่นใจค่ะ เป็นคนจริงๆลงทุนแบกขากล้องเข้าป่า ซึ่งเราแค่เดินแบกเป้ใบเล็กๆก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว   เดินต่อมาอีกซักพักก็ถึงเเล้วค่ะ น้ำตกถ้ำสอเหนือ อ่านจากการเล่าเหมือนไม่นาน แต่ระยะทางจริงๆก็ค่อนข้างไกลจากสระอโนดาตอยู่นะ ใครที่เบื่อน้ำตกแล้ว สามารถตัดใจ เลี้ยวซ้ายไปผาแดงได้เลยค่ะ ระหว่างทางมีป้ายบอกทางปักอยู่ :3   น้ำตกถ้ำสอเหนือ ถึงตอนนี้ไม่ค่อยมีน้ำแล้ว แต่บรรยากาศโดยรวมสงบดีมากค่ะ กว่าจะพาตัวเองมายืนอยู่จุดนี้ได้ก็ลำบากพอสมควร เพราะหาทางลงค่อนข้างยาก พอถ่ายภาพมาได้ก็ถ่ายไม่ชัดอีก ( กรรม T_T ) ( แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนแบกขากล้องลงมาถ่ายภาพและทานข้าวที่น้ำตกนะ )

      หลังจากหาทางปีนขึ้นมาจากน้ำตกถ้ำสอเหนือได้แล้ว แพลนต่อมาคือผาแดงค่ะ ซึ่งต้องเดินย้อนกลับทางเดิมนิดหน่อย เมื่อเดินมาเรื่อยๆจะเจอป้ายบอกทางด้านขวาค่ะ เดินค่อนข้างไกล ( อีกแล้ว T_T ) และสภาพป่าก็เปลี่ยนอีกแล้วค่ะ ทางเดินไปผาแดงไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ข้อดีคือ มันดูไม่เปลี่ยวจนเกินไป ข้อเสียคือ แดดเเรงมากค่ะ

      เดินมาซักพัก ( นานพอสมควร ) ก็ถึงแล้วค่ะ ผาแดง เราตัดสินใจพักเหนื่อยที่นี่ก่อนเพราะเมื่อไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงเเล้ว แต่สิ่งแรกที่ไปถึงไม่ใช่พักรับประทานอาหารนะ ... ใช่ค่ะ พอเห็นหน้าผาแบบนี้เป็นนิมิตหมายอันดีว่าทีมดีแทคจะสามารถเล่นเน็ตได้แล้ว T_T

      พอหาสัญญาณเน็ตได้แล้ว ก็รีบส่งข้อความหาเพื่อนสนิทเลยค่ะ เพราะก่อนมาดันบอกไปว่า ถ้าติดต่อไม่ได้ภายในหนึ่งวันให้แจ้งคนหายได้เลย -_- อ้อ ... แล้วก็อย่าลืมส่งข้อความบอกทางบ้านด้วยนะ เดี๋ยวท่านเป็นห่วง :3

      เนื่องจากเวลาเราเหลือเยอะค่ะ จริงๆที่วางแผนไว้คือถ้าเดินมาถึงผาแดงสถานีต่อไปคือไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก แต่กว่าจะรอให้พระอาทิตย์ตกคงต้องรอนาน เราเลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปผาเหยียบเมฆ แล้วประมาณบ่ายสามค่อยเดินย้อนกลับมาผาแดง และเดินทางต่อไปผาหล่มสักค่ะ

      ทางเดินระหว่างผา ไม่เปลี่ยวแล้วค่ะ มีจักรยานขับสวนไปมาตลอดจึงสามารถเดินคนเดียวได้ เราเลยแยกกับพี่เอกตรงผาแดงแล้วอาจจะไปเจอกันตรงผาหล่มสักตอนเย็นเพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ตกค่ะ

        ทางเดินระหว่างผาค่ะ ไม่เปลี่ยว แต่ทรายค่อนข้างเยอะถึงเยอะมาก ถ้าสังเกตดีดีจะมีทางให้เลือกเดินนะคะ ใครที่ไม่อยากเดินบนทราย จะมีอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางที่จักรยานปั่นค่ะ แต่ก็ต้องเดินหลบๆหน่อยเวลาที่จักรยานปั่นสวนมา    ผาเหยียบเมฆเวลานี้คนค่อนข้างเยอะค่ะ มีลักษณะคล้ายๆเป็นลานหินค่อนข้างกว้างเหมาะสำหรับการยืนถ่ายรูป โพสท่าเก๋ๆ แต่ก็ต้องอยู่ในความระมัดระวังนะ เพราะหน้าผาสูงมากค่ะ    น้ำแข็งไสที่ผาเหยียบเมฆ ราคา 30 บาท กระทู้นี้เราจะไม่ขอรีวิวอาหารใดๆทั้งสิ้นนะคะ เพราะกินแค่พออิ่มให้มีแรงเดินต่อไปได้เท่านั้น * ไม่ได้หมายความว่าไม่อร่อยนะ T_T แต่เราเป็นคนกินได้หมด ไม่เลือก :3

       หลังจากนั่งพักที่ผาเหยียบเมฆจนหายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อค่ะ จุดหมายคือผาหล่มสัก เราต้องเดินย้อนกลับไปทางผาแดง แล้วเดินต่ออีกระยะหนึ่งก็จะถึงผาหล่มสัก

       ที่ผาหล่มสักมีร้านค้าเยอะกว่าผาอื่นๆ ร้านค่อนข้างใหญ่ หลากหลายกว่า มีห้องน้ำ ร้านขายของฝากด้วย อาจเพราะว่าผาหล่มสักเป็นจุดหมายของทุกคนที่จะต้องมาชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็นค่ะ

       บรรยากาศการรอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ( ถึงกับต้องปูเสื่อรอ ) ต้องขออนุญาตคนในภาพด้วยนะคะ

       ไฮไลท์ของผาหล่มสักคือก้อนหินที่ยื่นอยู่ริมผา ถ้าไปนั่งถ่ายภาพตรงจุดนั้น จะได้ภาพที่สวยมาก แต่ก็ต้องรอคิวนานเหมือนกันนะ เพราะคนต่อคิวเยอะมากเช่นกันค่ะ

       แสงสุดท้ายของวันนี้ เราเลือกนั่งดูพระอาทิตย์ตกริมหน้าผาอีกมุมนึง ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่พระอาทิตย์ตกที่นี่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยหมดนะ ( ถ้าไม่มีต้นไม้บัง ) แต่ที่เราชอบมุมนี้เพราะให้ความรู้สึกสงบกว่าเท่านั้นเองค่ะ :3

       หลังจากชมพระอาทิตย์ตกดินเสร็จ ก็ถึงเวลาเดินกลับที่พักค่ะ ที่สำคัญเลยคือต้องนำไปฉายติดตัวมาตั้งแต่เช้าเพราะทางเดินมืดมาก แต่ไม่เปลี่ยวเพราะจะมีคนเดินกลับจำนวนมากทั้งเดินเท้าและจักรยาน ระหว่างเดินกลับจะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานคอยดูแลนักท่องเที่ยวไม่ให้ตกหล่นค่ะ แต่ต้องขออภัยที่ไม่ค่อยได้เก็บภาพบรรยากาศตอนกลางคืนมาฝาก เพราะแบตเตอร์รี่หมดทั้งกล้องและโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากตื่นเต้นกับสัญญาณโทรศัพท์ เลยนั่งเล่นรอระหว่างรอชมพระอาทิตย์ตก ทำให้แบตหมดเร็วมาก T_T

      เส้นทางเดินกลับก็คือเส้นทางเดิมที่เรามาค่ะ ( เอ๊ะ ยังไง ? ) หมายถึงเราต้องเดินเลียบผาย้อนไปทางผาแดง ผาเหยียบเมฆ และเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงผาหมากดูก และเลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆจนถึงที่พัก ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินมาชมพระอาทิตย์ตกเมื่อวานนี้ค่ะ

       ระหว่างที่เราเดินกลับที่พัก ในช่วงแรกเราเดินคนเดียว เพราะยังไม่มืดเท่าไหร่ และคิดว่าเดินคนเดียวได้เพราะมีไฟฉายติดตัว แต่พอบรรยากาศเริ่มมืดเราก็เริ่มกลัวค่ะ บางทีเหลียวหลังไปก็เริ่มมองไม่เห็นใครเดินตามหลังมา ถึงทุกคนจะใช้เส้นทางนี้ในการเดินกลับที่พัก แต่บางทีระยะห่างที่เดินก็มีมาก เวลามองไม่เห็นใครแล้วรู้สึกใจแป้ว T_T ( เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว )

      แล้วเราก็เห็นคนกลุ่มนึงเดินนำหน้าเราไป กลุ่มนั้นมีผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน เราเดินตามหลังกลุ่มนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยังทิ้งระยะห่าง ( จริงๆคือเราเดินช้า ) จนบรรยากาศเริ่มมืด เราเลยตัดสินใจขอเดินไปกับเขาด้วย เพราะกลัวค่ะT_T

       ในที่สุดเราก็ได้เพื่อนร่วมทางใหม่อีกสามคน หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนจากสถาบันเดียวกัน แต่ต่างคณะ สองคนเป็นพี่ผู้หญิงผู้ชายซึ่งเป็นแฟนกัน แต่เนื่องจากเราไม่ได้ขอคอนแทคไว้ เลยถือโอกาสขอบคุณผ่านกระทู้นี้ ถ้าพี่ได้มาอ่านก็อยากจะขอบคุณมากๆนะคะ ที่ให้เดินเกาะกลุ่มกลับด้วยกัน และขอบคุณมากๆสำหรับยาคลายกล้ามเนื้อค่ะ ^_^

    • โพสต์-6
    Nittaya •  กุมภาพันธ์ 02 , 2559

    DAY 3 : 15/01/2016

       วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่บนภูกระดึงแล้ว ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกระทู้รีวิวของเราจนจบวันสุดท้ายนะคะ ^_^

       ภาพนี้เป็นภาพระหว่างรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ทางเจ้าหน้าที่อุทยานจะพาเราเดินมาที่นี่ โดยต้องไปรวมตัวกันที่บริเวณลานหน้าที่ทำการเวลาประมาณตีสี่ - ตีห้า ( ต้องเผื่อเวลาเดินด้วย ) หลังจากมาถึงที่นี่ก็จับจองที่นั่งรอชมแสงแรกของวันได้เลยค่ะ :3

       เราเกือบไม่ได้ชมภาพสวยๆแบบนี้เเล้วค่ะ ต้องขอบคุณพี่อรที่ปลุก เพราะโทรศัพท์เราแบตหมด ตั้งนาฬิกาปลุกไม่ได้ T_T

       หลังจากทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จ ล้างหน้า แปรงฟัน น้ำไม่อาบ เสื้อผ้ายังไม่เปลี่ยน -_- เราก็เดินตามพี่เขามาค่ะ ความรู้สึกเหมือนกึ่งเดินกึ่งละเมอมาจนถึงผานกแอ่น เมื่อมาถึงเราก็แยกกับพี่ทั้งสองและมานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานระหว่างเดินกลับจากผาหล่มสักค่ะ

       ตอนนี้เรามีเพื่อนใหม่อีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นลุงรหัสของเพื่อนคนนั้น และเป็นเจ้าของภาพถ่ายเซ็ทนี้ ไม่อย่างนั้นก็อาจไม่มีภาพสวยๆแบบนี้ประกอบรีวิว ขอบคุณมากน้าาพี่ปิง :)

       ที่ผานกแอ่นมีกาแฟ และโอวัลตินฟรี แต่น้ำร้อน 25 บาท -_- ( ไม่ได้กวนนะคะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ T_T )

       เราลองคิดเล่นๆว่า ถ้าไปขอแค่โอวัลตินกับกาแฟแต่ไม่เอาน้ำร้อน ลุงเขาจะให้มั้ย แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ ไม่กล้าทำ กลัวจะโดนน้ำร้อนสาดกลับมาแทนที่จะได้คำตอบ หรือใครสงสัยอยากลองถามดูได้นะคะ ได้ผลยังไงอย่าลืมมารีวิวด้วยนะ

       หลังจากเดินกลับถึงที่พัก ก็เตรียมตัว เก็บสัมภาระเพื่อลงจากภูกระดึงประมาณเที่ยงวันค่ะ เรากะเวลาเดินเพื่อให้ไปถึงที่นั้นก่อนที่รถแดงที่เราจะนั่งต่อไปร้านเจ้กิมจะหมดประมาณหกโมงเย็นถึงทุ่มนึง เวลาของเราวันนี้เหลือเฟือมากๆค่ะ ( นอนพักทุกซำยังได้เลย -_- ) เพราะรอบรถที่เราจองกลับ เป็นรถรอบสามทุ่ม ถ้าไปถึงร้านเจ้กิมเร็วก็ได้รอนานอยู่ดีอ่ะ

       สำหรับเรื่องที่ต้องทำก่อนลงจากภูคือเราต้องคืนอุปกรณ์เครื่องนอนค่ะ จำวันแรกที่เราบอกให้เก็บใบเสร็จไว้ได้มั้ย ? นั่นแหละค่ะ ก่อนที่เราจะเดินทางกลับ เราต้องหอบอุปกรณ์ที่เรายืมพวกนั้น ไปที่ลานหน้าที่ทำการ และนำใบเสร็จไปติดต่อรับบัตรประชาชนของเราคืนค่ะ

       ใครที่ฝากชาร์จแบตกล้อง โทรศัพท์หรือเพาวเวอร์แบงค์ อย่าลืมไปรับคืนนะคะ :3

       และแล้วก็ถึงเวลาที่เราเดินทางกลับค่ะ ระหว่างทางเห็นคนกำลังเดินขึ้นมากันเยอะ อาจเพราะวันนั้นเป็นวันศุกร์ด้วย เลยเป็นโอกาสเหมาะสำหรับการพักผ่อนยาวๆค่ะ    ทุกครั้งที่เราเห็นคนเดินสวนขึ้นมา ก็ถึงโอกาสของเราบ้างแล้วค่ะ ที่จะเป็นคนพูดว่า " อีกนิดเดียวๆ " #ยิ้มอ่อน :3    เราใช้เวลาเดินลงมาจากภูกระดึงประมาณสี่ชั่วโมงค่ะ ส่วนตัวเรารู้สึกว่าตอนลงสนุกกว่าตอนขึ้นนะ เพราะตอนขึ้นต้องออกแรงเยอะและเหนื่อยกว่า แต่ตอนเดินลงค่อนข้างชิลและพลิ้ว :3 แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูงค่ะ มีบางจุดที่พยายามจะวิ่งเเล้วสไลด์ลื่นเหมือนกัน นับว่าเป็นบุญที่ไม่กลิ้งตกภู T_T    หลังจากเดินลงมาถึงข้างล่างแล้ว พี่เต้ยกับพี่อรชวนเราไปติดต่อซื้อเกียรติบัตรค่ะ เราเคยเห็นเหมือนมีคนเขียนในรีวิวนะ แต่ต้องขออภัยเพราะเราไม่ทราบข้อมูลส่วนนี้จริงๆ ว่าต้องไปติดต่อรับยังไง ที่ไหน ใครมีข้อมูลส่วนนี้รบกวนช่วยแชร์ด้วยนะคะ แต่ใจจริงเราอยากได้โล่มากกว่านะ T_T #ล้อเล่น    นั่งพัก + ชาร์จแบตฟรีที่ร้านกาแฟได้สักพัก เราก็นั่งรถแดงไปร้านเจ้กิม เพื่อรอรถกลับ กทม. รอบสามทุ่มค่ะ

       รถเคลื่อนออกมาจากอุทยานได้สักระยะ ก็ยังมองเห็นภูกระดึงที่เราเพิ่งจากมา ตลอดเวลาที่อยู่บนนั้น เราได้ประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างจากที่นั่นเยอะมาก ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกแน่นอนค่ะ ( เพราะเรายังเที่ยวไม่หมดเลย -_- ) แต่คราวหน้าคิดว่าอาจจะไม่ได้มาคนเดียวแล้วแหละ :3

      เมื่อถึงร้านเจ้กิม เราก็นั่งรออยู่อย่างนั้นประมาณสี่ชั่วโมงค่ะ ยาวนานมาก T_T สิ่งที่เราทำเพื่อฆ่าเวลาคือ ฟังพี่ๆผู้มีประสบการณ์ขนหัวลุก เล่าเรื่องผีค่ะ ทั้งพี่เอก พี่อร พี่เต้ย เคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วทั้งนั้น หนึ่งในนั้นมีเรื่องภูกระดึงด้วยนะ เราคิดว่าถ้าได้ฟังก่อนที่จะมา คงไม่ตัดสินใจมาคนเดียวแน่ๆ T_T แต่ไม่ขอเขียนผ่านกระทู้นะ ติดตามได้ในเพจเดอะเฮ้าส์ค่ะ :3    สิ่งที่แตกต่างจากตอนมาคือ เราได้อะไรเยอะมากจริงๆ จากการตัดสินใจมาภูกระดึงคนเดียวในครั้งนี้ ...

       - เราเป็นผู้หญิง หอบกระเป๋ามาคนเดียว สิ่งแรกที่เราได้เลยคือมิตรภาพ ตั้งแต่รถทัวร์จอดตรงข้ามร้านเจ้กิม พี่ผู้หญิงผู้ชายคู่นึงเห็เรามาคนเดียวเลยชวนเราไปด้วยกัน ให้เราฝากกระเป๋าจ้างลูกหาบด้วยกัน ถือกระเป๋ามาให้เราที่เต๊นท์ ชวนเราไปกินข้าว ไปเที่ยวด้วยกัน  : )

       - พี่อรกับพี่เต้ย คู่ที่สองที่เราเจอระหว่างขึ้นภูกระดึง พี่เขาช่วยเหลือเราเยอะมากๆๆ มากกว่าที่เขียนไว้ในกระทู้ ถ้าให้เล่าประสบการณ์ดีๆที่เกิดจากพี่ทั้งสอง คงเล่าไม่หมด

       - พี่หนุ่ม พี่โม ให้เราเข้ากลุ่มเดินด้วยระหว่างกลับจากดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก และให้ยาคลายกล้ามเนื้อตอนที่กลับถึงที่พัก :3 ชวนเรากินหมูกระทะ ฯลฯ

       - เพื่อนวิดวะ + พี่ปิง หลานรหัสและลุงรหัสที่มาเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน และให้เรานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย + ใจดีให้เรายืมภาพถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น

       - เพื่อนจากจุฬา ที่เจอกันระหว่างเดินขึ้น ผู้ถามเราด้วยความเป็นห่วงว่าทำไมมาคนเดียว และคอยบอกเราว่าไปถึงบนนั้นต้องทำอะไรบ้าง ^_^

       - เพื่อนที่ให้คำปรึกษาก่อนมา + แนะนำอะไรหลายๆอย่าง ทั้งอาหารร้านเด็ดที่อยู่บนนั้น , คอยบอกว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ไปแล้วจะเจออะไร และขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าสัตว์ป่าบนภูกระดึงไม่ได้มีแค่เจ้ากวางน้อยอย่างที่เราเข้าใจ   -_-

       ขอบคุณมิตรภาพ และความช่วยเหลือ ขอบคุณมากจริงๆที่เข้ามาเป็นประสบการณ์และความทรงจำดีดีของเราในการไปภูกระดึงครั้งนี้ 

       ก่อนที่เราจะมา มีคนถามเราว่า " อ้าว ไม่มีเพื่อนไปแล้วยังจะไปอยู่เหรอ ? " ตอนนั้นเราตอบไปเล่นๆว่า " ค่อยไปหาเอาข้างหน้า :3 "

       ในใจตอนนั้นก็นึกกลัว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราจะทำยังไง เจอคนไม่ดีจะทำยังไง ถ้าโดนมุดเต๊นท์ล่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ    ( ? ) คนเดียวถ้าเกิดไรขึ้นจะทำยังไง สุดท้ายความฝันก็เอาชนะความกลัว เราตัดสินใจลองทำตามความฝันดู แต่พกเอาความระวังมาด้วย สรุปแล้วกรรไกรที่เอาไว้เผื่อป้องกันตัวก็ได้ใช้ค่ะ ... ใช้เล็มขนคิ้วในเต๊นท์แค่นั้นจริงๆ -_-

       ไม่รู้ว่าอาจเป็นเพราะเราโชคดี ได้เจอคนดีดีตลอดเวลาที่ขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เราอยากแชร์ประสบการณ์นี้ให้ทุกคนได้อ่าน เราเชื่อว่ามีหลายคนที่อยากมาที่นี่ แต่ไม่กล้า หรือกลัวเพราะเหตุอะไรหลายๆอย่าง เราอยากจะบอกว่า มาภูกระดึงคนเดียวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เราเชื่อว่าถ้าคุณไม่ได้เป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองจนเกินไป คุณจะได้มิตรภาพและสิ่งใหม่ๆกลับไปแน่นอนค่ะ :3

       

    ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ :3

    สามารถคอนเม้นท์ได้น้าา เพราะเราอาจจะมีการเขียนรีวิวแบบนี้อีกเรื่อยๆสำหรับทริปหน้า จะได้นำข้อผิดพลาดไปแก้ไขค่ะ ^_^

    • ยูโด  เก่งมากเลยค่ะ ปีหน้าพี่มีแพลนจะแบกเป้ขึ้นภูกระดึงคนเดียวเหมือนกัน แต่จะไปเดือนเมษา เข้าเขตป่าปิด ภูกระดึงน่ะ สวยทุกฤดูจริงๆนะ 24 สิงหาคม 2559 00:51:59
    • H.m.   "มิตรภาพไม่ได้เริ่มจากสระบุรี แล้วสิ้นสุดที่หนองคาย แต่หาได้ง่ายที่ภูกระดึงค่ะ "
      เยี่ยมเลยครับ ใจถึงจริงๆ
      03 กุมภาพันธ์ 2559 12:44:26
    • โพสต์-7
    H.m.  •  กุมภาพันธ์ 03, 2559
    • จุดเด่น:
    • จุดด้อย:
    • ข้อสรุป:
    คะแนน
    • Lee  ได้ลองหาข้อมูลเที่ยวภูกระดึง และเจอรีวิวของน้องค่ะ เขียนได้ละเอียดน่าติดตามมาก อ่านจนจบ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยสำหรับทริปภูกระดึง ที่คิดว่าโหดแน่ แต่ก็มีเรื่องราวน่าประทับใจมากมาย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ :-) 29 ตุลาคม 2559 15:50:41
    • โพสต์-8
    มะลิ •  กันยายน 19 , 2563

    ขออนุญาต แชร์เก็บใว้ในเฟสบุ๊คนะค่ะ เป็นแนวทางในการไปคนเดียว.