สำหรับเมนูอื่นๆ ทางร้านก็ยังมีให้เลือกอีกเพียบ เด่นๆ ก็จะเป็นเมนูตระกูลปลาแม่น้ำโขง ที่แน่นอนว่าเจ้าของร้านวางอวนจับเอง (อีกแล้ว) เนื้อปลาจึงทั้งสดและหวานมาก ครั้งนี้เราเลือกเมนู “ต้มปลาลาว” ซึ่งเนื้อปลาชิ้นโตๆ ในหม้อไฟนี่พ่อครัวเค้าใส่มาแบบไม่หวง ส่วนรสชาติก็คล้ายคลึงกับต้มยำน้ำใสนี่แหละ แต่ใส่ใบมะขามอ่อนเพิ่มรสเปรี้ยวเข้าไป เสิร์ฟร้อนๆ ซดแล้วคล่องคอดีนัก อีกเมนูที่กินเล่นได้เพลินมากก็คือ “กุ้งฝอยชุบแป้งทอด” ถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะทอดมาได้กรุบกรอบ เคี้ยวแล้วหยุดไม่ได้ ยิ่งได้น้ำจิ้มรสหวานอ่อนๆ คล้ายน้ำอาจาดยิ่งเพิ่มรสชาติขึ้นไปอีก และก็มาถึงเมนูสุดท้ายที่เราเลือกในครั้งนี้ก็คือ “ตำมั่ว” มาถึงอีสานแล้วถ้าไม่ได้กินส้มตำก็คงจะแปลกพิลึก แต่น่าเสียดายที่วันนี้ตำมั่วของเราขาดเส้นขนมจีนไปหน่อย ไม่งั้นคงนัวกว่านี้แน่ๆ ถึงเส้นขนมจีนจะหมดแต่เรื่องรสชาติก็เป็นไปตามแบบฉบับส้มตำอีสานขนานแท้ ถ้าใครที่คุ้นชินกับส้มตำรสชาติแบบคนกรุงที่มีรสหวานผสม คงรู้สึกว่าส้มตำจานนี้รสชาติแข็งไปซักหน่อย แต่ถ้าเป็นลูกอีสานรับรองว่าแซบหลายเด้อ
นี่แหละนะที่เค้าว่า ถ้าจะกินอาหารท้องถิ่นให้ถึงรส ก็ต้องกินตามร้านอาหารพื้นบ้าน ที่ชาวบ้านเปิดครัวปรุงกันเองแบบนี้สิของจริง ไม่ต้องมีการตกแต่งหรูๆ มีพนักงานเต็มร้านให้มากเรื่อง วัดกันที่รสชาติก็ชนะขาด งานนี้เลยมีแต่คำว่า แซบอีหลี แซบคักคัก แซบคักหลายเด้อ ซิบอกให้....